สลับชะตา ชายามือสังหาร - ตอนที่ 398 ราชันมารปะทะแม่ทัพมาร
ซือหม่าโยวเย่ว์เห็นหมัวซาแล้วสะดุ้งคราหนึ่งก่อนจะพูดว่า “ขอบคุณท่านมาก”
แต่หมัวซากลับไม่รับไมตรีแล้วเอ่ยว่า “คราวหน้าหากอ่อนแอเช่นนี้อีก ข้าจะไม่ช่วยเจ้าแล้วนะ”
ซือหม่าโยวเย่ว์เองก็คิดไม่ถึงว่าเสียงร้องของเจ้าสัตว์อสูรเขมือบวิญญาณนี่จะร้ายกาจถึงเพียงนี้ เพียงแค่เสียงร้องชั่วขณะสั้นๆ ก็ทำให้เธอต้านทานไม่ไหวแล้ว
ลองคิดดูก็ใช่ ตอนที่พบกันเหนือพื้นสมุทร เมฆครึ้มกลุ่มนั้นก็เป็นเพียงแค่ส่วนเดียวของสัตว์อสูรเขมือบวิญญาณเท่านั้น แต่เสียงร้องนั้นก็ทำให้พวกเขาทั้งหมดได้รับบาดเจ็บ ยิ่งไม่ต ต้องพูดถึงร่างจริงนี้ที่ร้ายกาจกว่าร่างแยกที่เป็นเมฆครึ้มโอบล้อมมากมายนัก
“นางไม่ต้องการให้เจ้าช่วยหรอก” เพลิงชาดบินเข้ามารับตัวซือหม่าโยวเย่ว์ ร่างของหมัวซากลับกลายเป็นโปร่งแสงอีกครั้ง
เปลวเพลิงบนร่างของเพลิงชาดแผดเผาความมืดมิดทั้งหมดไป แต่ตอนที่สัมผัสหมัวซานั้นกลับเพียงแค่กระโจนขึ้นลงสองสามครั้งเท่านั้น โดยที่มิได้แผดเผาเขา
แต่หมัวซาก็ยังรักษาระยะห่างกับเพลิงชาด ถึงแม้ว่าทั้งสองจะทำพันธสัญญากับซือหม่าโยวเย่ว์ในวันเดียวกัน แต่ก็เพิ่งเคยพบหน้ากันเป็นครั้งแรกในช่วงเวลาหลายปี
“จิ๊บๆ”
“แคว่กๆ”
วิหคเพลิงดูคล้ายจะโมโหที่สัตว์อสูรเขมือบวิญญาณทำร้ายซือหม่าโยวเย่ว์ จึงกระพือปีกแล้วพุ่งไปยังข้างกายสัตว์อสูรเขมือบวิญญาณ โอบล้อมมันเอาไว้ทั้งหมดในทันใด
สัตว์อสูรเขมือบวิญญาณถูกแผดเผา จึงคิดจะต้านทานและดิ้นรนอย่างต่อเนื่อง แต่กลับถูกเปลวเพลิงแผดเผาจนตัวเล็กลงเรื่อยๆ
เพลิงชาดอยู่ข้างกายซือหม่าโยวเย่ว์ เขายื่นมือมาอุดหูเธอเอาไว้พลางพูดว่า “อย่าฟัง”
ไม่รู้ว่าเพราะมือของเขามีเวทมนตร์หรือไม่ หลังจากที่เขาอุดหูเธอแล้วก็ดูเหมือนว่าเธอจะไม่ได้ยินเสียงของสัตว์อสูรเขมือบวิญญาณแล้วจริงๆ
หมัวซาเหลือบมองสัตว์อสูรเขมือบวิญญาณที่ถูกเปลวเพลิงแผดเผาจนตัวเล็กลงเรื่อยๆ ก่อนจะเบนสายตาไปยังกลุ่มคนที่กำลังต่อสู้อยู่
“เป็นแม่ทัพมารจริงด้วย” เขามองแม่ทัพมารแล้วกวาดแขน สายลมอ่อนหอบหนึ่งก็แยกคนที่กำลังต่อสู้อยู่ออกจากกัน
พวกอวิ๋นอี้เห็นหมัวซาออกมาก็รู้ว่าภารกิจของตนเสร็จสิ้นลงแล้ว จึงรีบถอยออกมา กลับไปอยู่ข้างกายซือหม่าโยวเย่ว์ แม่ทัพมารมองหมัวซา นัยน์ตาฉายแววสงสัย แต่ที่มีมากกว่าคื อความระแวดระวังและความหวาดหวั่นในใจ
ใช่แล้ว วิญญาณดวงหนึ่งถึงกับทำให้เขารู้สึกกดดันอย่างไร้ที่สิ้นสุดและเกิดความหวาดกลัวอย่างล้ำลึก!
“เจ้าเป็นคนของเผ่ามารนี่!” แม่ทัพมารพูด
“ถูกต้อง” หมัวซายอมรับ “คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะทำลายสิ่งกีดขวางระหว่างภพมารกับที่นี่ได้ น่าเสียดายที่คงมีเพียงแค่เจ้าคนเดียวที่ได้ข้ามมา ไม่อย่างนั้นคงจะช่วยเจ้าตัวข้างล่างนั่นออก กมาได้จริงๆ”
แม่ทัพมารสีหน้าเคร่งขรึม อีกฝ่ายทำให้เขารู้สึกว่าช่างแข็งแกร่งเหลือเกิน แม้จะเป็นวิญญาณดวงหนึ่งก็ไม่แน่ว่าตนจะเป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้
“เจ้าคิดว่าอย่างไรเล่า” แม่ทัพมารถามเสียงเข้ม
“เห็นแก่ที่พวกเราต่างก็เป็นคนของเผ่ามาร ข้าจะให้โอกาสเจ้าครั้งหนึ่งแล้วกัน จงกลับไปยังภพมารเดี๋ยวนี้” หมัวซาพูด “ไม่ง่ายเลยกว่าเจ้าจะบำเพ็ญมาจนถึงระดับแม่ทัพมาร ถ้าหากมาถู กข้าสังหารเช่นนี้ก็ออกจะน่าเสียดายไปหน่อย”
“ข้ามาเพื่อช่วยเหลือราชันมาร” แม่ทัพมารพูด
“นั่นก็เท่ากับไม่ยอมเลือกเส้นทางที่ข้ามอบให้เจ้าสินะ” หมัวซาพูดแล้วกลายร่างเป็นหมอกดำโจมตีเข้าใส่แม่ทัพมาร
เขาให้โอกาสคนเพียงแค่ครั้งเดียวมาตลอด ในเมื่ออีกฝ่ายบอกว่าไม่ เขาก็จะไม่ออมมือให้อีกอีกเช่น
แม่ทัพมารก็ใช้หมอกดำห่อหุ้มตัวเองเอาไว้เช่นเดียวกัน หมายจะทำให้ตำแหน่งของตนเลือนรางไม่แน่ชัด ให้อีกฝ่ายมิอาจลงมือได้
แต่วิธีนี้ไม่ได้ผลกับหมัวซาเลย เห็นเพียงแค่ว่าหลังจากที่หมอกดำสองกลุ่มพบกันแล้วก็ผสานรวมเป็นหนึ่ง กลายเป็นหมอกดำกลุ่มหนึ่งที่มีขนาดใหญ่ขึ้นจนแทบจะบดบังทั่วฟ้าดิน
พวกอวิ๋นอี้มองดูฉากตรงหน้าแล้วตะลึงงันไปในทันใด การต่อสู้นี้ชวนให้คนตกใจเกินไปแล้ว
“การต่อสู้นี้ช่าง…เหนือคำบรรยายนัก” อวิ๋นอี้พูด “การดวลของภพมารเป็นเช่นนี้ทั้งหมดเลยหรือ ยิ่งใหญ่กว่าการดวลของดินแดนโบราณเหล่านั้นเสียอีก!”
ซือหม่าโยวเย่ว์ไร้ซึ่งคำพูด นอกจากหมอกดำเต็มท้องฟ้านี้แล้ว เหตุใดเธอจึงมองไม่ออกเลยว่าการต่อสู้ใหญ่โตตรงไหน
แต่บางทีอาจเป็นเพราะพลังยุทธ์ของเธอต่ำเกินไป จึงมองไม่ออกอยู่บ้าง
ในขณะเดียวกันที่อีกฟากฝั่งของพื้นสมุทร ดูคล้ายว่าสัตว์อสูรทะเลทั่วทั้งพื้นสมุทรต่างมารวมตัวกันอยู่ที่นี่ เตรียมตัวทำการโจมตีครั้งใหญ่ที่สุดต่อมนุษย์
อันที่จริงแล้วก็มีสัตว์อสูรทะเลโจมตีอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่สามวันก่อนแล้ว ทว่ากองทัพใหญ่สุดท้ายยังคงรอคอยคำสั่งอยู่กลางทะเล
“รองหัวหน้าพันธมิตร พวกเราใกล้จะต้านรับไม่ไหวแล้วนะขอรับ!” บนกำแพงเมืองเย่ ชายหนุ่มวัยเยาว์ผู้หนึ่งรีบวิ่งขึ้นมาอย่างเร่งร้อนแล้วพูดตะกุกตะกัก
ตั้งแต่พวกซือหม่าโยวเย่ว์จากไปได้ไม่นาน สัตว์อสูรทะเลก็เริ่มรวมตัวกัน ซือหม่าไท่ก็อยู่บัญชาการรบที่นี่มาโดยตลอด
ในขณะเดียวกันนั้นคนอื่นๆ ก็กลับมาอยู่ข้างกายซือหม่าไท่แล้วเอ่ยว่า “รองหัวหน้าพันธมิตร ทางด้านตระกูลหั่วก็ใกล้จะต้านไม่ไหวแล้วขอรับ!”
“ตระกูลซางก็ใกล้จะถูกกำราบแล้วด้วยขอรับ”
“ตระกูลหลี่บอกว่ายาที่นักหลอมยาของพวกเขาหลอมกำลังจะสลายแล้วขอรับ”
“รองหัวหน้าพันธมิตร แนวป้องกันของพวกเราทุกหนแห่งถูกกำราบหมดแล้ว สัตว์อสูรทะเลแกร่งกล้ายิ่งกว่าที่พวกเราจินตนาการเอาไว้มากมายนัก”
“รองหัวหน้าพันธมิตร เพิ่งได้รับข่าวมาว่าห่างออกไปไม่กี่สิบลี้ทะเลยังมีสัตว์อสูรเทพกลุ่มใหญ่รวมตัวกันอยู่ ส่วนใหญ่มีพลังยุทธ์ระดับสี่ขึ้นไปด้วยขอรับ”
“อะไรนะ!”
ทุกคนตกใจ ข่าวสุดท้ายนี่ต่างหากที่กระทบต่อชีวิตมากที่สุด!
“ท่านประมุขตระกูล ตอนนี้พวกเราจะทำเช่นไรกันดีเล่า” ซือหม่าหลินก็มายังเมืองเย่เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระของซือหม่าไท่ด้วย
“ท่านปู่ ติดต่อโยวเย่ว์เถิดขอรับ ถ้าหากเขายังหาสาเหตุไม่พบก็ให้กลับมาก่อน ให้ภัยในคราวนี้ผ่านพ้นไปแล้วค่อยว่ากัน” ซือหม่าโยวหยางเอ่ย
“ก็คงได้แต่เป็นเช่นนี้แล้วล่ะ” ซือหม่าไท่กล่าว
“เช่นนั้นข้าจะติดต่อเขาเอง” ซือหม่าโยวหยางพูด
เขาหยิบหินแม่ลูกออกมาแล้วใส่ปราณวิญญาณเข้าไป ก่อนจะเริ่มรอคอยการตอบรับจากอีกฝ่ายอย่างกระวนกระวาย
“โยวหยางหรือ”
เสียงของซือหม่าโยวเย่ว์ดังขึ้น ทำให้ผู้คนในที่นั้นมีขวัญกำลังใจขึ้นมา
“โยวหยาง เกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือไม่” ซือหม่าโยวเย่ว์รับแล้วถามขึ้น
“ใช่” ซือหม่าโยวหยางสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนจะเล่าสถานการณ์ในตอนนี้ให้ฟังแล้วเอ่ยว่า “ตอนนี้เจ้าอยู่ที่ไหน กลับมาได้หรือไม่”
“หัวหน้าพันธมิตร หากท่านยังไม่กลับมาอีก พวกเราก็จะต้านไม่ไหวกันแล้วนะขอรับ!” คนที่อยู่ข้างๆ ตะโกนเสียงดัง
ซือหม่าโยวเย่ว์คิดไม่ถึงว่าสถานการณ์ของที่นี่จะหนักหน่วงถึงเพียงนี้ ทางนั้นเงียบงันไปสักพัก ในขณะที่ทุกคนคิดว่าขาดการติดต่อไปกลางคันแล้วนั้นเอง เสียงของเธอก็ดังขึ้นอีกครั้ง ง “ข้าว่าแล้วว่าเหตุใดตั้งเนิ่นนานแล้วเจ้านี่ยังไม่ถูกเผาตายเสียที ที่แท้ก็ชดเชยพลังจากทางนั้นอยู่ตลอดนี่เอง”
ชดเชยพลังหรือ
“โยวหยาง เจ้าดูทีสิว่าท้องฟ้าเหนือพวกเจ้ามีเมฆครึ้มอยู่หรือไม่” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม
ซือหม่าโยวหยางเงยหน้าขึ้น ปรากฏว่าเห็นเมฆครึ้มประหลาดกลุ่มหนึ่งอยู่จริงๆ ซึ่งดูเหมือนจะปกคลุมทั้งแผ่นฟ้าเอาไว้
คนอื่นๆ ก็เงยหน้าขึ้นด้วยเช่นกัน ก่อนหน้านี้ทุกคนต่างก็มิได้สังเกตเห็นเมฆครึ้มกลางอากาศกลุ่มนั้น ตอนนี้เมื่อได้ยินซือหม่าโยวเย่ว์พูดถึงขึ้นมา ถึงได้รู้สึกว่าประหลาดอยู่บ้าง งจริงๆ
“พวกเราทางนี้จัดการกับร่างจริงของสัตว์อสูรเขมือบวิญญาณได้อย่างราบคาบแล้ว เจ้าดูสิว่าเมฆครึ้มนั่นสลายตัวไปแล้วหรือยัง” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม
“ดูเหมือนว่าจะสลายไปแล้วนะ” ซือหม่าโยวหยางเพ่งมองเมฆครึ้มนั้น “แต่โยวเย่ว์ เมฆครึ้มนี้เกี่ยวข้องกันอย่างไรหรือ”
“เมฆครึ้มนี้เป็นส่วนหนึ่งของสัตว์อสูรเขมือบวิญญาณ และเจ้าสัตว์อสูรเขมือบวิญญาณนี่แหละที่ควบคุมสัตว์อสูรทะเล พวกมันจึงโจมตีมนุษย์ได้” ซือหม่าโยวเย่ว์อธิบาย ซึ่งคนทางนี้ฟั งแล้วตกใจไม่น้อยเลย
“สลายแล้ว! สลายแล้ว!” มีคนพบว่าเมฆครึ้มนั้นสลายตัวไปอย่างรวดเร็ว จึงร้องขึ้นมาอย่างดีใจ
เห็นเพียงแค่ว่าเมฆครึ้มนั้นสลายตัวไปอย่างช้าๆ ห่อหุ้มสิ่งมีชีวิตดำทะมึนเอาไว้ตรงกลาง หลังจากที่สิ่งมีชีวิตนั้นดิ้นรนอยู่กลางอากาศสองสามครั้ง ก็กลายเป็นควันดำแล้วจางหายไปโดยสิ้น นเชิง