สลับชะตา ชายามือสังหาร - ตอนที่ 400 ราชันมารผู้อยู่เหนือความคาดหมาย
ซือหม่าโยวเย่ว์จ้องมองหมัวซาแล้วเอ่ยว่า “ท่านคิดจะไปกินราชันมารผู้นั้นด้วยสินะ”
“เจ้าจะเข้าใจเช่นนี้ก็ได้” หมัวซาเลิกคิ้ว “ถึงอย่างไรเจ้าก็ต้องจัดการเรื่องนี้ ข้าก็แค่ช่วยเจ้าจัดการให้ราบคาบเท่านั้นเอง”
ซือหม่าโยวเย่ว์เบ้ปากน้อยๆ แล้วเอ่ยว่า “ท่านมิได้ทำเพื่อตัวท่านเองหรืออย่างไร”
“เช่นนั้นพวกเราไปกันเถิด” อวิ๋นอี้พูด
“รอประเดี๋ยว” ซือหม่าโยวเย่ว์โบกมือเก็บผงดำทั่วทั้งเกาะเข้าไปภายในเจดีย์วิญญาณ
“เจ้าเอาของพวกนี้ไปทำไมกัน” อวิ๋นอี้ถาม
“ถ้าหากฝุ่นผงเหล่านี้อยู่ที่นี่แล้วปลิวลงไปในทะเลก็คงวุ่นวายแน่ นอกจากนี้เมล็ดพันธุ์ใหม่ก็จะได้งอกออกมา ที่นี่อาจกลายเป็นเกาะร้าง มิสู้เก็บมันขึ้นมาเสีย ไม่แน่ว่าอาจจะนำ เจ้าสิ่งผุกร่อนนี่มาหลอมยาพิษได้ในอนาคต” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดพลางหยิบเอาเมล็ดพันธุ์จำนวนหนึ่งขึ้นมาแล้วหว่านออกไปอย่างสุ่มๆ
อวิ๋นอี้มองเธออย่างจนคำพูด นำสิ่งนี้มาหลอมยาพิษ ก็มีเพียงแค่เธอเท่านั้นที่จะคิดออกมาได้
หลังจากเก็บเสร็จเรียบร้อยแล้วเธอจึงโบกมือแล้วเอ่ยว่า “ไปกันเถิด”
คราวนี้เพลิงชาดมิได้รีบร้อนกลับไป เขาติดตามเธอจนจบกระบวนการ
ชายหนุ่มผู้มีพลังยุทธ์กล้าแกร่ง รูปโฉมหล่อเหลา ทั้งยังมีบุคลิกโดดเด่นกลุ่มหนึ่งอยู่กับเธอ สงครามครั้งนี้ช่างสะกดสายตายิ่งนัก
พวกเขามาถึงบริเวณศูนย์กลางของเกาะซึ่งก็คือปากปล่องภูเขาไฟแห่งหนึ่ง มองดูก้อนหินบนปากปล่อง นี่คือภูเขาไฟที่มิได้ปะทุมากว่าหมื่นปีแล้ว
“ด้านล่าง” หมัวซาพูด
ซือหม่าโยวเย่ว์ยืนอยู่บนยอดเขาแล้วมองลงไปทั่วทั้งเกาะ ปรากฏว่าก็เป็นค่ายกลที่มิอาจใช้ประโยชน์ได้ชนิดหนึ่งเช่นกัน
เพียงแต่ว่าที่นี่มีระดับต่ำกว่าเทือกเขาหมื่นอสูรตั้งไม่รู้กี่เท่า
พวกเขากระโดดลงจากปากปล่องภูเขาไฟแล้วร่วงหล่นลงไปข้างล่างเกือบครึ่งชั่วโมงจึงถึงก้น
“สวบๆ”
เสียงโซ่เหล็กลากบนพื้นก้องกังวานเป็นพิเศษภายในภูเขาไฟอันเงียบสงัด ดึงความสนใจของทุกคนไปจนหมด
ภายในถ้ำภูเขาอันมืดมิด กักขังไม่ให้เห็นเดือนเห็นตะวันไปตลอดกาล
ซือหม่าโยวเย่ว์คิดว่าจะได้เห็นสัตว์มารหรือเผ่ามารอันดุร้าย แต่ยามที่เปลวเพลิงของเพลิงชาดส่องให้เบื้องล่างของภูเขาทั้งหมดสว่างไสวขึ้นมานั้น สิ่งที่พวกเขาเห็นกลับกลายเป็ นม้าตัวน้อยความสูงครึ่งฟุตที่มีสีดำเมี่ยมตลอดร่างตัวหนึ่ง
ดวงตาคู่นั้นกลมแป๋ว มิได้เต็มไปด้วยความกระหายเลือดและแววเข่นฆ่าเหมือนกับเผ่ามารอื่นๆ แต่กลับดูแล้วใสบริสุทธิ์เป็นอย่างยิ่ง
กีบเท้าทั้งสี่ของม้าน้อยถูกโซ่เหล็กแปดเส้นพันธนาการเอาไว้ ปลายอีกด้านของโซ่เหล็กล้วนทะลุเข้าไปในกำแพง เกี่ยวพันกันไปมากลางอากาศ
“นั่นก็คือราชันมารผู้นั้นหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์มองหมัวซาอย่างไม่อยากเชื่อ
“น่าจะใช่กระมัง ก่อนหน้านี้ตอนที่แม่ทัพมารผู้นั้นลงมาก็มิได้เห็นร่างจริงของมัน ข้าเองก็ไม่รู้ว่าจะเป็นเจ้านี่” หมัวซาพูด
“เจ้ารู้จักมันหรือ” เพลิงชาดถาม
“ไม่รู้จักมันหรอก แต่รู้จักบรรพบุรุษของมัน” หมัวซาพูด “เผ่าพันธุ์สัตว์อสูรแห่งฝันร้ายมีบุญคุณต่อข้า ดูท่าทางวันนี้คงจะกินมันมิได้เสียแล้วสิ”
“นี่คือสัตว์อสูรแห่งฝันร้ายในตำนานอย่างนั้นหรือ มิได้ว่ากันว่าสัตว์อสูรแห่งฝันร้ายเป็นสัตว์อสูรที่ดุร้ายมากหรืออย่างไร” ซือหม่าโยวเย่ว์มองเจ้าม้าน้อย ดวงตาของมันเผยแว ววขลาดกลัวเพราะเห็นพวกซือหม่าโยวเย่ว์
ท่าทางน่ารักน่าชังนั้นไม่เหมือนกับเผ่ามารเลยแม้แต่น้อย
หมัวซาลอยเข้าไปมองเจ้าม้าน้อยตัวนั้นอย่างละเอียดก่อนจะลอยกลับมาแล้วพูดว่า “นี่คือสัตว์อสูรแห่งฝันร้ายกลายพันธุ์ สิ่งที่พิเศษที่สุดก็คือไม่มีกลิ่นอายดุร้ายของเผ่ามารเลย ช ช่างแปลกประหลาดเสียจริง นอกจากนี้สัตว์อสูรแห่งฝันร้ายตนนี้ยังเป็นระดับราชันมารตั้งแต่วัยเยาว์อีกด้วย ดูเหมือนว่าเกิดมาก็จะเป็นเช่นนี้แล้ว”
“เกิดมาก็มีพลังยุทธ์ระดับราชันมารแล้วอย่างนั้นหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์มองเจ้าม้าน้อยโดยไม่มีความกลัวเลยสักนิด แต่กลับรู้สึกว่ามันช่างน่ารักเหลือเกิน
“ฮี้…” เจ้าม้าน้อยตัวนั้นถอยหลังไปก้าวหนึ่ง ก่อนจะแยกเขี้ยวและส่งเสียงพึมพำใส่ซือหม่าโยวเย่ว์ พยายามข่มขู่ให้เธอกลัว
ฟันอันแหลมคมนั้นยังพอจะทำให้คนตกใจได้อยู่บ้าง
“ฟันไม่เหมือนกับม้าทั่วไปเลย” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “แต่มันพูดไม่ได้ใช่หรือไม่”
“มันพูดแล้วล่ะ แต่เจ้าฟังภาษาเผ่ามารไม่เข้าใจเท่านั้นเอง” หมัวซากล่าว
“แต่ข้าทำพันธสัญญากับท่านแล้วมิใช่หรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “พอข้าทำพันธสัญญากับนางพญาผึ้งแดงแล้วยังฟังภาษาผึ้งแดงเข้าใจเลย แล้วเหตุใดจึงฟังมันไม่เข้าใจเล่า”
หมัวซาใบหน้ายับย่น เขายื่นมือไปเขกศีรษะเธอทีหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “ถึงแม้ว่าข้าจะเป็นเผ่ามาร แต่ข้าเป็นส่วนหนึ่งของเผ่ามนุษย์ เจ้าทำพันธสัญญากับข้า ย่อมต้องฟังภาษาเผ่ามารไม ม่รู้เรื่องอยู่แล้วสิ! แต่ถ้าเจ้าทำพันธสัญญากับมันแล้วก็อาจจะฟังเข้าใจได้”
ซือหม่าโยวเย่ว์คลำศีรษะบริเวณที่ถูกหมัวซาเขกจนเจ็บ เจ้านี่พลังยุทธ์แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ วิญญาณเริ่มทำอะไรได้ตามใจชอบแล้ว
“นี่คือเจ้าตัวที่กลืนกินสิ่งมีชีวิตทั่วทั้งเกาะเป็นอาหารในตอนนั้นจริงๆ น่ะหรือ ดูไม่เหมือนเลยนะ” เธอมองสัตว์อสูรแห่งฝันร้ายซ้ำไปซ้ำมา ดวงตากลมโตใสบริสุทธิ์คู่นั้นมิอาจท ทำให้เธอนึกเชื่อมโยงกับเจ้าสิ่งมีชีวิตอันโหดเหี้ยมในสมองของตนได้เลยจริงๆ
“สัตว์มารมีรูปลักษณ์ใสซื่อเพียงใดก็ยังเป็นสัตว์มาร ไม่มีทางขจัดความดุร้ายในสายเลือดออกไปได้หรอก” เพลิงชาดพูดอย่างเย็นชา
“แต่มันบอกว่าเรื่องในตอนนั้นเกิดขึ้นโดยบังเอิญ” หมัวซาแก้ตัวแทนเจ้าม้าน้อย
“แล้วตอนนี้พวกเราจะทำเช่นไรกันดีเล่า” อวิ๋นอี้ถาม
เดิมทีหมัวซาบอกว่าจะกินราชันมารตนนี้เสีย แต่ตอนนี้บอกว่าเผ่าพันธุ์สัตว์อสูรแห่งฝันร้ายมีบุญคุณต่อเขา ไม่อาจกินได้ เช่นนั้นหากซือหม่าโยวเย่ว์ต้องการขจัดภัยร้ายนี้แล้ วจะทำเช่นไรดีเล่า
ซือหม่าโยวเย่ว์เองก็ลำบากใจ จึงมองหมัวซาแล้วถามว่า “จะจัดการกับเจ้านี่เช่นไรดี”
“ฆ่าไม่ได้ แต่ก็ปล่อยเอาไว้ที่นี่ไม่ได้เช่นกัน มิสู้เจ้าเก็บมันเข้าไปดีกว่า” หมัวซาพูด
“เก็บมันเข้าไปหรือ จะได้อย่างไรกัน” อวิ๋นอี้ชิงปฏิเสธก่อน “มันเป็นสัตว์อสูรวิเศษธาตุความมืด มีเพียงปรมาจารย์วิญญาณธาตุความมืดเท่านั้นถึงจะทำพันธสัญญาด้วยได้ ถ้าหากให้โยวเย่ ว์ทำพันธสัญญา จะไม่เป็นการเอาชีวิตนางหรอกหรือ”
ซือหม่าโยวเย่ว์มองสัตว์อสูรแห่งฝันร้ายแล้วพูดว่า “ข้าทำพันธสัญญาได้หรือไม่”
หมัวซาพยักหน้าแล้วพูดว่า “ขอแค่เจ้าดึงมันออกมาจากในค่ายกลได้เท่านั้น”
ซือหม่าโยวเย่ว์มองเส้นค่ายกลใต้ร่างเจ้าม้าน้อยแล้วเอ่ยว่า “เช่นนั้นท่านไปพูดกับมันให้ดีๆ หน่อยสิ ข้าจะช่วยมันออกมา แต่มันจะต้องยอมรับข้าเป็นเจ้านาย ไม่อย่างนั้นพอมันอ ออกมาแล้ว ข้าจะจัดการมันเสีย!”
“โยวเย่ว์…” อวิ๋นอี้มองซือหม่าโยวเย่ว์อย่างเป็นกังวล
“เจ้าวางใจเถิด ข้าไม่เป็นไรหรอก”
“ดี” หมัวซาลอยไปอีกครั้งแล้วพูดบางสิ่งบางอย่างกับสัตว์อสูรแห่งฝันร้าย พอพูดมาถึงตอนท้าย หมัวซาก็มองมาทางเธอ สัตว์อสูรแห่งฝันร้ายตนนั้นก็มองเธอด้วยเช่นกันพร้อมกับพยักหน้ า
“เช่นนั้นก็ดี เริ่มทำงานได้” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดพลางส่งคนทั้งหมดเข้าไปภายในเจดีย์วิญญาณ หลังจากนั้นจึงออกมาพร้อมกับซือหม่าโยวหลิน ก่อนที่ทั้งคู่จะเริ่มทำลายค่ายกลนี้
ทั้งสองวางแผนและทำลายค่ายกลด้วยกัน ใช้เวลาราวๆ หนึ่งเดือน หนึ่งเดือนให้หลัง เส้นค่ายกลใต้ร่างเจ้าม้าน้อยเหล่านั้นจึงหายไปจนหมด
เจ้าม้าน้อยกระโดดสองสามครั้งอย่างตื่นเต้นดีใจ โซ่เหล่านั้นขยับไหวส่งเสียงเคร้งคร้าง
คราวนี้ซือหม่าโยวเย่ว์เข้าไปใกล้มันได้ เธอเดินเข้าไปก่อนจะก้มตัวลงแล้วเอ่ยว่า “เจ้าอย่าเพิ่งรีบร้อนไปเลย ยังจัดการโซ่นี่ไม่เรียบร้อยเลยนะ!”
เธอเอื้อมมือไปจับโซ่แล้วใช้ไฟเผา แต่กลับพบว่าไม่ส่งผลกระทบเลยแม้แต่นิดเดียว
“เจ้าสิ่งนี้ทนทานน่าดูเลยทีเดียว” เธอรู้สึกเหนือความคาดหมายอยู่บ้าง จึงเปลี่ยนเปลวเพลิงให้กลายเป็นเปลวเพลิงของเพลิงชาด
“ฮี้ๆ…” สัตว์อสูรแห่งฝันร้ายเห็นเปลวเพลิงในมือซือหม่าโยวเย่ว์แล้วตกใจจนถอยหลังอย่างต่อเนื่องไปหลายก้าว
“เจ้าอย่ากังวลไปเลย เปลวเพลิงนี่ไม่เผาเจ้าหรอกน่า” ซือหม่าโยวเย่ว์เห็นความหวาดหวั่นในดวงตาของมัน จึงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
จากนั้นเธอจึงซัดเปลวเพลิงใส่บนโซ่ ให้มันเผาผลาญโซ่เหล็ก