สลับชะตา ชายามือสังหาร - ตอนที่ 409 หนังหน้าช่างหนาเสียจริง
“ความคิดนี้ของท่านเจ้าหุบเขาน้อยไม่เลวเลย ถึงอย่างไรคนเหล่านั้นก็กลับมาไม่ทันอยู่แล้ว มิสู้ให้พวกเขาเข้าไปทลายรังของตระกูลจานและตำหนักผู้วิเศษเสียดีกว่า” อวิ๋นจิ่นเว่ยสองตาเปล่งประกาย
“เช่นนั้นก็ตกลงตามนี้แหละ ข้าจะส่งคนไปแจ้งคนที่กลับมาไม่ทันเหล่านั้นเดี๋ยวนี้” กัวซือหมิงพูด
“อืม พวกท่านไปเถิด ถ้าหากมีข่าวอะไรข้าค่อยแจ้งให้พวกท่านทราบแล้วกัน” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
ในระหว่างกระบวนการทั้งหมด เธอต้องทำเพียงแค่ส่งคนเข้าไปในช่วงสุดท้ายเท่านั้น เรื่องอื่นๆ ล้วนต้องให้สองตระกูลหารือกันเอง ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเธอแล้ว
พวกเขาย่อมเข้าใจเจตนาของซือหม่าโยวเย่ว์ดี จึงออกไปเพื่อจัดการเรื่องอื่นๆ ด้วยกัน
หลายวันมานี้ซือหม่าโยวเย่ว์มิได้ฝึกยุทธ์เลย หากแต่อ่านหนังสือที่มารเฒ่ามอบให้เธอก่อนจากไป สิ่งเหล่านี้คือตำราล้ำค่าเกี่ยวกับการหลอมยาวิเศษระดับสูง ซึ่งเธอเสริมความรู้เหล่านี้อย่างต่อเนื่องในระยะนี้
หลายวันมานี้ เมืองที่ตระกูลอวิ๋นและตระกูลกัวอยู่มีคนระดับเทพจำนวนไม่น้อยมากันอย่างต่อเนื่อง แต่เมื่อออกจากสมาคมปรมาจารย์วิญญาณแล้วพวกเขาก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
คนที่รับผิดชอบสังเกตการณ์สองตระกูลย่อมต้องส่งข่าวนี้กลับมายังตระกูลอยู่แล้ว หลังจากที่อวิ๋นจิ่นเว่ยและกัวซือหมิงได้ทราบข่าวแล้วก็มีความสุขไม่น้อย
โชคดีเหลือเกินที่ซือหม่าโยวเย่ว์ได้ข่าวมาก่อน ไม่อย่างนั้นตอนนี้พวกเขาก็คงยังไม่รู้ความผิดปกติในเมือง และคงมิได้เตรียมการป้องกันเช่นนี้
ในวันนี้เอง ซือหม่าโยวเย่ว์เก็บตำราลงไปแล้วออกจากห้องในที่สุด
เมื่อเธอออกมาก็เห็นอวิ๋นอี้รออยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ในลานบ้าน ครั้งเห็นเธอออกมา เขาจึงลุกขึ้นแล้วเอ่ยว่า “ท่านพ่อให้ข้ามาพาเจ้าไปข้างหน้าน่ะ”
“ได้สิ” ซือหม่าโยวเย่ว์พยักหน้า
พวกเว่ยจือฉีต่างเตรียมตัวกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว คนกลุ่มหนึ่งเคลื่อนตัวออกจากลานบ้าน ตรงไปยังลานหลัก
สัตว์อสูรเหนือเทพเผ่าพันธุ์หมาป่าหิมะและเสือเขี้ยวดาบถูกเธอส่งตัวออกมาตั้งแต่สองวันก่อนแล้ว หนึ่งตระกูลหนึ่งเผ่าพันธุ์สัตว์อสูรวิเศษ หมาป่าหิมะรออยู่ที่ตระกูลอวิ๋น
ตอนที่พวกซือหม่าโยวเย่ว์เดินเข้ามา ก็เห็นว่าท้องฟ้าเหนือลานหลักเต็มไปด้วยผู้คน ล้อมทั้งตระกูลอวิ๋นเอาไว้ด้านในสามชั้น ด้านนอกอีกสามชั้น
อวิ๋นจิ่นเว่ยนำบรรดาผู้อาวุโสมายืนอยู่ในลานบ้าน เมื่อเห็นซือหม่าโยวเย่ว์เข้ามาจึงทำความเคารพเธอ
ซือหม่าโยวเย่ว์พยักหน้า หลังจากนั้นจึงมองคนที่สวมอาภรณ์สีขาวพิสุทธิ์ตลอดร่างบนท้องฟ้าแล้วพูดว่า “นี่คือคนของตำหนักผู้วิเศษหรือ”
“ใช่แล้ว ท่านเจ้าหุบเขาน้อย คนตระกูลจานไปยังตระกูลกัว ส่วนคนของตำหนักผู้วิเศษมาหาพวกเราที่นี่” อวิ๋นจิ่นเว่ยกล่าว
“ผู้จัดการมาหรือยัง” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม
“เจ้าตำหนักของพวกเขามิได้มาด้วย รองเจ้าตำหนักเป็นผู้พาท่านผู้วิเศษมา” อวิ๋นจิ่นเว่ยเอ่ยตอบ “คนวัยเยาว์ตรงกลางนั่นก็คือผู้วิเศษ”
ซือหม่าโยวเย่ว์มองผู้วิเศษผู้นั้นแล้วเอ่ยว่า “เพิ่งจะเลื่อนไปถึงระดับจ้าววิญญาณเท่านั้น พลังยุทธ์ต้อยต่ำถึงเพียงนี้ ก็ยังกล้ามาหาเรื่องอีก”
ผู้วิเศษผู้นั้นเห็นซือหม่าโยวเย่ว์มาแล้วอวิ๋นจิ่นเว่ยเคารพนบนอบต่อเธอเป็นอย่างยิ่ง จึงสงสัยในสถานะของเธออยู่บ้าง คิดจะวิเคราะห์ตัวตนของเธอจากบทสนทนาระหว่างคนทั้งสอง แต่กลับคิดไม่ถึงว่าเธอจะดูหมิ่นพลังยุทธ์ของตนตรงๆ จึงเอ่ยอย่างเดือดดาลว่า “เจ้าเป็นใครกัน ถึงได้กล้าบอกว่าพลังยุทธ์ของผู้วิเศษอย่างข้าต่ำต้อย”
ซือหม่าโยวเย่ว์ไม่ชอบแหงนหน้าพูดกับใคร จึงดีดร่างทะยานขึ้นสู่กลางอากาศแล้วพูดว่า “ถ้าหากข้าเป็นเจ้า ก็คงจะซ่อนตัวอยู่ภายในตำหนักวิเศษไม่ออกมา มิฉะนั้นจะต้องตายเช่นไรก็ยังไม่รู้เลย!”
“เฮอะ ไม่ว่าเจ้าจะเป็นใคร วันนี้อยู่กับตระกูลอวิ๋นก็ต้องนับว่าเจ้าเป็นศัตรู วันนี้คนของตระกูลอวิ๋นอย่าได้คิดว่าจะมีชีวิตรอดออกไปแม้แต่คนเดียว!” ผู้วิเศษส่งเสียงเฮอะอย่างเย็นชา
“จุ๊ๆๆ มิได้ว่ากันว่าตำหนักผู้วิเศษประกาศตัวเองว่าเป็นผู้ส่งสารของเทพแห่งแสงสว่าง รักถนอมปวงประชาหรอกหรือ จะสังหารใครก็ใจคอเหี้ยมโหดดีนี่!” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
“เฮอะ พวกเจ้าตระกูลอวิ๋นแอบซ่องสุมกองกำลังคิดลอบทำร้ายคนตระกูลจาน ทำลายความสมดุลของขุมอำนาจในดินแดน พวกเราเป็นถึงผู้คุ้มครองดินแดน ย่อมต้องผดุงความยุติธรรม ล้างผลาญผู้คิดทำร้ายสรรพชีวิตอย่างพวกเจ้าอยู่แล้ว!” ผู้วิเศษตะคอก
ประมุขตระกูลอวิ๋นก็ขึ้นมาด้วยเช่นกัน เขาเหลือบมองคนของตำหนักผู้วิเศษด้วยสายตาเย็นชาพลางพูดว่า “ตำหนักผู้วิเศษของเจ้ากับตระกูลจานร่วมมือกันคิดจะผลาญทำลายตระกูลอวิ๋นของข้า แล้วยังมีหน้ามาพูดว่าพวกเราคิดทำร้ายสรรพชีวิตอะไรนั่นอีก จะหาข้ออ้างทั้งทีก็หาให้มันดีๆ หน่อยสิ แต่ไหนๆ วันนี้พวกเจ้าก็มากันแล้ว พวกเราก็ขอรับไว้ มาทั้งทีก็จงอยู่ที่นี่เสียเถิด”
“อวิ๋นจิ่นเว่ย เจ้าคิดว่าพวกเราไม่รู้เรื่องที่พวกเจ้าแอบทำกันหรือไร” รองเจ้าตำหนักยืนอยู่ข้างกายผู้วิเศษพลางมองอวิ๋นจิ่นเว่ยแล้วเอ่ยว่า “พวกเจ้าคิดทำลายตระกูลจาน บั่นทอนกำลังของตำหนักผู้วิเศษของข้า พวกเราย่อมไม่มีทางรับได้แน่นอน พวกเรารู้ว่าพวกเจ้าลอบเรียกตัวคนระดับเทพของพวกเจ้ากลับมา แต่พวกเขากลับมาไม่ได้แล้วล่ะ! วันนี้พวกเราจะทำลายล้างตระกูลอวิ๋นของเจ้า หลังจากนั้นจึงค่อยเก็บกวาดเศษซากของพวกเจ้า!”
“ลำพังแค่พวกเจ้าก็คิดจะล้างผลาญตระกูลอวิ๋นของข้าแล้วอย่างนั้นหรือ ช่างน่าขันนัก!” อวิ๋นจิ่นเว่ยพูดอย่างไม่หวั่นกลัวเลยแม้แต่น้อย
“เฮอะ อย่าคิดว่าพวกเราไม่รู้ว่าพวกเจ้าได้จัดวางคนเอาไว้ในตระกูลจานและตำหนักผู้วิเศษแล้ว” รองเจ้าตำหนักกล่าว “พวกเจ้าคิดไม่ถึงหรอกว่าพวกเราจะหนามยอกเอาหนามบ่ง ให้พวกเขาส่งข่าวผิดๆ กลับมา ตอนนี้พวกเราก็ได้จัดวางคนเอาไว้กับพวกเจ้าแล้วเช่นเดียวกัน จึงรู้ว่าคนของพวกเจ้ากลับมาไม่ทัน”
อวิ๋นจิ่นเว่ยมองรองเจ้าตำหนักที่กำลังลำพองใจด้วยสายตาว่าเจ้าช่างโง่นักพลางเอ่ยว่า “เจ้ารู้จักหนามยอกเอาหนามบ่ง แล้วพวกเราทำมิได้หรืออย่างไร พวกเราพบตัวคนของพวกเจ้าตั้งนานแล้ว ขอคืนให้พวกเจ้าเลยแล้วกัน”
เมื่อเขาพูดออกไป คนหลายคนก็ถูกโยนตัวออกมา ล้วนสิ้นลมไปแล้วทั้งหมด
รองเจ้าตำหนักก้มหน้าลงมอง คนเหล่านั้นก็คือไส้ศึกที่ตำหนักผู้วิเศษจัดวางเอาไว้นั่นเอง!
เมื่อมองท่าทีสงบนิ่งของอวิ๋นจิ่นเว่ย ไม่เห็นความตื่นตระหนกที่พวกตนบุกโจมตีอย่างฉับพลันเลยสักนิดเดียว หัวใจก็เต้นระรัว ลางสังหรณ์ไม่ดีบางอย่างแผ่กระจายออกมา
แต่เมื่อนึกถึงว่าคนของตระกูลอวิ๋นกลับมาไม่ทันจริงๆ พวกเขามั่นใจในข้อมูลนี้ได้ จึงทำให้จิตใจสงบลง
แต่ความเคลื่อนไหวต่อมาของอวิ๋นจิ่นเว่ยทำให้เขาเหมือนร่วงหล่นลงไปในบ่อน้ำแข็ง
เห็นเพียงว่าอวิ๋นจิ่นเว่ยโบกมือ ระดับเทพกลุ่มหนึ่งก็ทะยานขึ้นมา มีราวๆ สิบคนเท่านั้น
“ระดับเทพไม่กี่คนแค่นี้ก็คิดจะสู้กับพวกเราแล้วหรือ” ผู้วิเศษไม่เห็นคนตระกูลอวิ๋นอยู่ในสายตาเลย
อวิ๋นจิ่นเว่ยแย้มยิ้มแล้วพูดว่า “พวกเจ้าดูด้านหลังพวกเจ้าสิ”
คนของตำหนักผู้วิเศษหันหน้าไปก็เห็นสัตว์อสูรเหนือเทพฝูงหนึ่งและสัตว์อสูรเทพระดับสูงที่ไม่รู้ว่ามาตั้งแต่เมื่อใดอยู่ด้านหลัง และกำลังล้อมพวกเขาเอาไว้
“สัตว์อสูรเหนือเทพยี่สิบตน!” รองเจ้าตำหนักผู้นั้นสีหน้าดำทะมึนขึ้นมาในทันใด
แค่สัตว์อสูรเหนือเทพเหล่านี้ก็ล้างผลาญพวกเขาได้แล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่ายังมีคนตระกูลอวิ๋นเหล่านั้นอีก
“มีสัตว์อสูรเหนือเทพมากมายถึงเพียงนี้ได้อย่างไรกัน!” ผู้วิเศษเห็นหมาป่าหิมะที่ล้อมพวกตนเอาไว้แล้วตกใจจนเกือบจะร่วงหล่นลงจากกลางอากาศ
“ตระกูลอวิ๋นที่หน้าไม่อาย ถึงกับกล้าเล่นเล่ห์เพทุบาย ล่อพวกเรามาติดกับ!” รองเจ้าตำหนักพูดพลางขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
“หนังหน้าช่างหนาเสียจริง!” เจ้าอ้วนชวีพูด
คนเหล่านี้หาเหตุผลมาอ้างเพื่อล้างผลาญตระกูลอวิ๋น แต่ถูกเหวี่ยงทีเดียวก็กลับกลายเป็นเหยื่อเสียแล้ว!
เคยเห็นผู้ที่หน้าไม่อาย แต่ก็ไม่เคยเห็นใครหน้าไม่อายเช่นพวกเขามาก่อนเลย!
“ยังมัวเปลืองน้ำลายอะไรอยู่อีกเล่า ไปล้างผลาญพวกเขาให้หมดเสียสิ!” เจ้าอ้วนชวีพูด
“ตระกูลอวิ๋นฟังคำสั่ง ให้คนของตำหนักผู้วิเศษเอาชีวิตมาทิ้งที่นี่ให้หมด!” อวิ๋นจิ่นเว่ยออกคำสั่ง
“ขอรับ!” คนตระกูลอวิ๋นรับคำพร้อมกันดังสนั่นดุจเสียงฟ้าร้อง
คนของตำหนักผู้วิเศษตื่นตระหนกเสียแล้ว รองเจ้าตำหนักตะโกนว่า “อวิ๋นจิ่นเว่ย หากเจ้ากล้าสังหารคนตำหนักผู้วิเศษของข้า ท่านเจ้าตำหนักของข้าจะต้องมาล้างแค้นให้พวกเราอย่างแน่นอน!”
อวิ๋นจิ่นเว่ยพูดพลางหัวเราะเสียงดังลั่น “ผู้อาวุโสตระกูลอวิ๋นของข้าไปที่ตำหนักผู้วิเศษของพวกเจ้ากันหมดแล้ว กลัวแต่ว่าเจ้าตำหนักของพวกเจ้าจะก้าวลงนรกนำหน้าพวกเจ้าไปก้าวหนึ่งแล้วน่ะสิ! ลุยเลย!”
………………………………….