สลับชะตา ชายามือสังหาร - ตอนที่ 410 ตระกูลอี้หลิน
คนของตระกูลอวิ๋นต่างไม่รู้เรื่องสัตว์อสูรเหนือเทพ ตอนที่เห็นตำหนักผู้วิเศษมา ต่างก็กังวลใจไม่น้อย คิดว่าคราวนี้ตระกูลอวิ๋นคงจบสิ้นเสียแล้ว
แต่คิดไม่ถึงว่าจะมีสัตว์อสูรเหนือเทพมากมายถึงเพียงนี้ ขวัญกำลังใจของทุกคนพุ่งสูงขึ้นในทันที เมื่อได้รับคำสั่งของประมุขตระกูลตน ทุกคนจึงพร้อมใจกันโจมตีเข้าใส่คนของตำหนักผู้ว วิเศษ
ส่วนคนของตำหนักผู้วิเศษที่เดิมทีมีขวัญกำลังใจสูงยิ่ง หลังจากได้เห็นสัตว์อสูรเหนือเทพแล้วต่างขวัญกระเจิงกันไปหมด เมื่อเผชิญกับคนตระกูลอวิ๋นที่บุกเข้ามา จึงได้แต่ป้องกันเ เพียงอย่างเดียวเท่านั้น
ผู้แข็งแกร่งระดับเทพเหล่านั้นถูกบรรดาสัตว์อสูรเหนือเทพจับตัวไป ผลปรากฏว่ามีราวหนึ่งต่อสอง ย่อมมิอาจเทียบกันได้อยู่แล้ว ไม่นานนักคนของตำหนักผู้วิเศษก็ถูกสังหารจนหมด
ฝนโลหิตและหมอกโลหิตปกคลุมทั้งตระกูลอวิ๋นเอาไว้ ลานบ้านเต็มไปด้วยรอยเลือด ในอากาศเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดอันเข้มข้น
หลังจากที่การต่อสู้สิ้นสุดลง อวิ๋นจิ่นเว่ยก็ให้ปรมาจารย์วิญญาณธาตุไฟใช้เปลวเพลิงแผดเผารอยเลือดเหล่านั้นจนหมด หลังจากนั้นก็ให้ปรมาจารย์วิญญาณธาตุน้ำชำระล้างอีกหลายรอบจึงเก็บกวา าดเสร็จ
ตอนที่คนของตำหนักผู้วิเศษมาถึงตระกูลอวิ๋น มีคนจำนวนไม่น้อยซ่อนตัวแอบดูอยู่ เดิมทีคิดว่าจะได้เห็นฉากการต่อสู้อันยิ่งใหญ่สะท้านฟ้า และตระกูลอวิ๋นก็จะหายสาบสูญไปจากดินแดนไร้ กลิ่นอายด้วยเหตุนี้ แต่คิดไม่ถึงว่าการต่อสู้จะสิ้นสุดลงอย่างรวดเร็วเช่นนี้ นอกจากนี้ผลปรากฏว่ายังอยู่นอกเหนือความคาดหมายของพวกเขาอีกด้วย
ตำหนักผู้วิเศษถูกกวาดล้างจนสิ้น!
ทุกคนที่เห็นผลสรุปเช่นนี้ต่างตกอกตกใจกันเป็นอย่างยิ่ง ทั้งยังสนอกสนใจในตัวสัตว์อสูรเหนือเทพที่จู่ๆ ก็โผล่มาอย่างกะทันหันเป็นที่สุด
ตระกูลอวิ๋นมีสัตว์อสูรเหนือเทพมากมายถึงเพียงนี้ได้อย่างไรกัน
ตำหนักผู้วิเศษถูกทำลายไปแล้ว หลังจากนี้เกรงว่าสถานการณ์ของทั้งดินแดนจะเปลี่ยนแปลงไปอีกแล้ว
ในขณะที่ตระกูลอวิ๋นและตำหนักผู้วิเศษต่อสู้กันอยู่นั้นเอง ตระกูลกัวและตระกูลจานที่อีกด้านก็เริ่มเปิดศึกแล้วเช่นกัน
คนตระกูลจานคิดว่าฉวยโอกาสเริ่มก่อนจะสังหารคนของตระกูลกัวได้ทั้งหมด แล้วอาศัยโอกาสช่วงชิงทรัพย์สินของพวกเขา คิดไม่ถึงว่าจะมิได้ล้างผลาญอีกฝ่ายเท่านั้น แต่กลับทำให้ตัวเองเข ข้าสู่หายนะ
เห็นอยู่ชัดๆ ว่าคนของพวกเขายังไม่กลับมา นี่คือโอกาสอันดี แต่กลับถูกสัตว์อสูรเหนือเทพฝูงหนึ่งทำลาย
จนกระทั่งขณะที่พวกเขาตายไปก็ยังไม่เข้าใจว่าทั้งหมดนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร
ทั้งสองฝ่ายล้วนจัดการคู่ต่อสู้ได้หมดในวันเดียว หลังจากนั้นผู้ที่ยังไม่กลับมาซึ่งเปลี่ยนเส้นทางไปจัดการผู้ที่อยู่เบื้องหลัง ก็ส่งข่าวกลับมาว่าจัดการหมดแล้วเช่นเดียวกัน
สองขุมอำนาจใหญ่อย่างตำหนักผู้วิเศษและตระกูลจานถูกทำลายล้างในระยะเวลาสั้นๆ เพียงสองวัน ข่าวนี้ก่อให้เกิดคลื่นลมอันใหญ่โตไปทั่วดินแดน
นั่นคือขุมอำนาจที่แข็งแกร่งที่สุดสองแห่งในดินแดนไร้กลิ่นอายเชียวนะ!
ถึงแม้ว่าตระกูลอวิ๋นและตระกูลกัวจะเป็นขุมอำนาจชั้นหนึ่งเช่นเดียวกัน แต่ทั้งสองแห่งนั้นยังห่างชั้นกันอยู่มากพอสมควร
ถึงแม้ขุมอำนาจชั้นหนึ่งสักแห่งอยากจะกลืนกินขุมอำนาจชั้นสองก็ยังต้องใช้เวลาสักระยะ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการจัดการกับขุมอำนาจที่ร้ายกาจกว่าตนเลย
ต่อมาผู้คนก็ล่วงรู้เรื่องของสัตว์อสูรเหนือเทพมากขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุดพวกเขาก็เข้าใจว่าเหตุใดจึงได้รวดเร็วถึงเพียงนั้น แต่กลับเริ่มสงสัยอีกว่าสัตว์อสูรเหนือเทพเหล่านั้นมาจาก กไหน
แต่ที่ทำให้พวกเขาใคร่รู้ยิ่งกว่าก็คือต่อมามีตระกูลอี้หลินเพิ่มขึ้นมาอีกตระกูลหนึ่ง
ผู้คนไม่น้อยรู้จักดินแดนอี้หลิน แต่ทุกคนกลับเพิ่งเคยได้ยินชื่อตระกูลอี้หลินเป็นครั้งแรก ทำให้พวกเขาอยากรู้อยากเห็นไม่น้อยเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อได้ยินว่าคนของตระกูลนี้มา าจากหลายตระกูลรวมกัน
นอกจากนี้พวกเขาเพิ่งจะมาก็ได้รับความคุ้มครองจากสองตระกูลใหญ่อย่างตระกูลอวิ๋นและตระกูลกัวเสียแล้ว และที่ทำให้คนรู้สึกประหลาดใจที่สุดก็คือทรัพย์สินของตระกูลพวกเขาก็คือสมบั ติของตระกูลจานก่อนหน้านี้นั่นเอง!
หรือจะบอกว่าสัตว์อสูรเหนือเทพเหล่านี้เป็นของตระกูลอี้หลินเล่า ดังนั้นพวกเขาจึงได้รักษามารยาทต่อพวกเขาเช่นนี้
ไม่ว่าผู้คนภายนอกจะอยากรู้อยากเห็นเพียงใด แต่กลับไม่มีข้อมูลแพร่ออกมาจากตระกูลอี้หลินมากนัก
ในขณะนี้เอง ภายในเมืองแห่งหนึ่งที่อยู่ไม่ห่างจากตระกูลอวิ๋นและตระกูลกัวมากนัก พวกซือหม่าโยวเย่ว์อยู่ภายในคฤหาสน์ใหญ่หลังหนึ่ง กำลังชี้แนะเด็กรับใช้ให้นับสมบัติในเรือน แต่ละหลังให้ชัดเจน
นี่คือกิจการของตระกูลจานภายในเมืองโม่ ว่ากันว่าเป็นจุดที่ที่ค่อนข้างใหญ่เลยทีเดียว คฤหาสน์หลังนี้ก็คือเรือนหลังหนึ่งของตระกูลจาน
แต่ตอนนี้ตกเป็นของพวกซือหม่าโยวเย่ว์แล้ว พวกเขาคิดว่าจะให้เรือนหลักของตระกูลอี้หลินอยู่ที่นี่
ที่นี่อยู่ไม่ไกลจากตระกูลกัวและตระกูลอวิ๋นมากนัก อยู่ในลักษณะสามเหลี่ยม ถ้าหากตระกูลอี้หลินมีเรื่องอันใด ตระกูลอวิ๋นและตระกูลกัวก็รีบมาได้โดยไม่ห่างไกลมากนัก
และตระกูลอี้หลินนี้เป็นการตัดสินใจของทุกคน
เมื่อนึกถึงว่าหลายวันก่อนหน้านี้ พวกซือหม่าโยวเย่ว์และซือหม่าโยวหลินได้ไปยังสถานที่หลายแห่ง ในที่สุดก็ตัดสินใจเลือกเมืองโม่ หลังจากนั้นจึงบอกกับอวิ๋นจิ่นเว่ยรวมทั้งกัวซื อหมิงให้พาทุกคนมาที่นี่ อยู่ที่หุบเขาแห่งหนึ่งนอกเมือง คนที่ถูกซือหม่าโยวเย่ว์ทำให้หมดสติเหล่านั้นล้วนถูกพาออกมาทั้งหมด
เธอหยิบยาถอนพิษออกมาแล้วให้ทุกคนพ่นไปในอากาศ เมื่อทุกคนได้กลิ่นหอมนี้ต่างก็ฟื้นขึ้นมาอย่างช้าๆ
“ซือหม่าโยวเย่ว์ ที่แท้นี่มันเรื่องอันใดกันแน่” คนของตระกูลหั่วและตระกูลจานฟื้นขึ้นมา เมื่อเห็นซือหม่าโยวเย่ว์จึงตะคอกใส่ เห็นได้ชัดว่าความทรงจำของทุกคนยังคงอยู่ในตอน นก่อนที่จะหมดสติไป
“ก่อนหน้านี้ข้าก็บอกแล้วว่าจะพาทุกท่านมา กระบวนการนี้เป็นความลับ นอกนั้นก็ไม่มีอะไรหรอก” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
คนเหล่านั้นเห็นคนของตระกูลซือหม่าก็ถูกปฏิบัติเช่นเดียวกันกับพวกเขา ทั้งยังเห็นสถานที่แปลกตา และสัมผัสได้ถึงปราณวิญญาณอันเข้มข้น จึงถามอย่างดีใจว่า “ที่นี่คือดินแดนไร้กลิ นอายอย่างนั้นหรือ”
“อืม” ซือหม่าโยวเย่ว์พยักหน้า จากนั้นจึงให้ซือหม่าโยวหยางเล่าสถานการณ์ในตอนนี้ให้ทุกคนฟัง
หลังจากคนที่มายังดินแดนอี้หลินได้ฟังจนจบแล้วต่างก็เบิกตาโตมองซือหม่าโยวเย่ว์อย่างตกใจ เธอไม่เพียงแต่พาพวกเขามาเท่านั้น แต่ยังจัดการเรื่องการใช้ชีวิตในอนาคตไว้ให้แล้ว อีกด้วย
เดิมทียังคิดว่าข้ามมาแล้วจะกลายเป็นคนเร่ร่อน ตอนนี้มีกิจการที่มีฐานะทางการเงินแน่นหนา และมีความคุ้มครองจากสองขุมอำนาจชั้นหนึ่ง การที่พวกเขาจะสร้างรากฐานอันมั่นคงที่นี่ก็ม มิใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้!
“ข้ารู้ว่าท่านประมุขตระกูลบอกกับพวกท่านว่าหลังมาที่นี่แล้วจะต้องเชื่อฟังตระกูลซือหม่า แต่ตอนนี้ข้าขอบอกไว้ก่อนเลยว่าพวกเราวางแผนจะสร้างตระกูลอี้หลินขึ้นมา อาศัยทุกท่ านร่วมกันสร้างขุมอำนาจใหม่ เป็นที่พักพิงในการใช้ชีวิตให้แก่ทุกท่านในดินแดนอันไม่คุ้นเคยนี้”
ทุกคนมองหน้ากันไปมา เมื่อเห็นว่ามีสีหน้าเช่นเดียวกันหมดก็รู้ว่าทุกคนต่างไม่เคยทราบเรื่องนี้มาก่อน จึงพากันวิพากษ์วิจารณ์ขึ้นมา
ซือหม่าโยวเย่ว์โบกมือให้ทุกคนเงียบลงก่อนจะเอ่ยต่อไปว่า “สภาพแวดล้อมในการบำเพ็ญของที่นี่ดีกว่าดินแดนอี้หลิน แต่ในขณะเดียวกันก็โหดร้ายกว่าด้วย จะใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ก็จำเป็น นต้องช่วยเหลือดูแลซึ่งกันและกัน ดังนั้นพวกเราจึงไม่อาจเก็บคนที่มีใจเป็นอื่นเอาไว้ที่นี่ได้ ตอนนี้ข้าให้โอกาสทุกคนไปจากที่นี่ได้ พวกท่านจะไม่สนใจเงื่อนไขที่เสนอให้พวกท่านก่อน นหน้านี้ก็ได้ ากไปได้อย่างอิสระได้ทันที แต่ภายหน้าจะเป็นหรือตายก็ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับพวกเราแล้ว”
เธอเว้นจังหวะ ดูการตอบสนองของคนเหล่านั้น จากนั้นจึงเอ่ยต่อไปว่า “พวกท่านจากไปตอนนี้พวกเราจะไม่ว่าอะไรเลย แต่ถ้าหากไม่ไปตอนนี้แล้วทำเรื่องที่ผิดต่อทุกคนในภายหลัง พวกเราจ จะทำให้ท่านได้รู้ซึ้งว่าอะไรที่เรียกว่าอยู่ไม่สู้ตาย และได้รู้ว่าอะไรที่เรียกว่าร้องขอความตายยังไม่ได้!”
วาจาของเธอทรงพลัง ทำให้ทุกคนรู้ว่าไม่ได้พูดไปอย่างนั้น ถ้าหากใครทำเรื่องที่ผิดต่อทุกคนจริงๆ จะต้องมิได้มีจุดจบที่ดีอย่างแน่นอน
“พวกเรายินดีอยู่ร่วมกับทุกคน” คนจำนวนไม่น้อยแสดงจุดยืนออกมา
พวกเขาล้วนเป็นคนฉลาด ย่อมต้องรู้อยู่แล้วว่ามีความเป็นไปได้มากน้อยเพียงใดที่คนนอกอย่างพวกเขาจะใช้ชีวิตให้ดีๆ ในโลกเช่นนี้ได้
ไม่ง่ายเลยกว่าจะมีสภาพแวดล้อมที่ดีได้ แล้วพวกเขาจะทอดทิ้งไปได้อย่างไรกันเล่า!