สลับชะตา ชายามือสังหาร - ตอนที่ 412 แต่งกายเป็นสตรีครั้งแรก
ซือหม่าโยวเย่ว์ออกไปก็เห็นอวิ๋นอี้
“เจ้ามาได้อย่างไรกัน” เธอถาม
“ข้ามาร่ำลาเจ้าน่ะสิ” อวิ๋นอี้พูด
ซือหม่าโยวเย่ว์นิ่งงันไป ข่าวนี้ออกจะกะทันหันอยู่บ้าง
“เจ้าจะกลับไปยังเบื้องบนแล้วหรือ”
“อืม” อวิ๋นอี้พยักหน้าแล้วเอ่ยว่า “ข้าจากหุบเขามารเทพมานานพอสมควรแล้ว หากยังไม่กลับไปอีก เกรงว่าท่านอาจารย์ของข้าคงจะจับข้าหันหน้าเข้าหากำแพงสำนึกผิด”
ซือหม่าโยวเย่ว์รู้ว่าท่านอาจารย์ของเขาคือผู้อาวุโสหุบเขาในท่านหนึ่งซึ่งมีอำนาจไม่น้อย นอกจากนี้เขายังบอกว่าอุปนิสัยแปลกประหลาดอยู่บ้าง
“แล้วเจ้าจะออกเดินทางเมื่อใดหรือ” เธอถาม
“บอกลาเจ้าเสร็จก็จะจากไปแล้วล่ะ” อวิ๋นอี้มองซือหม่าโยวเย่ว์ เกิดความมิอาจตัดใจได้ขึ้นมา ติดตามเจ้าหุบเขาน้อยก็ไม่เลว เพียงแต่ยากที่จะฝืนคำสั่งของอาจารย์ได้
“เจ้าก็เดินทางระวังด้วยล่ะ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
“ข้าจะระวัง” อวิ๋นอี้พยักหน้า
“ใช่แล้ว เจ้ารอก่อน” ซือหม่าโยวเย่ว์หยิบหยกพกชิ้นหนึ่งออกมาแล้วเอ่ยว่า “เจ้ารู้จักหยกพกชิ้นนี้หรือไม่”
อวิ๋นอี้รับหยกพกมาแล้วพูดว่า “ลักษณะของหยกชิ้นนี้คุ้นตาอยู่บ้าง แต่ไม่แน่ใจว่าเคยเห็นมาก่อนหรือไม่ นี่คือสิ่งใดหรือ”
“นี่คือหยกพกที่ท่านอาจารย์ของข้ามอบให้ข้าก่อนจะจากไป บอกว่าในภายหน้าให้ใช้สิ่งนี้ตอนไปหาเขาที่เบื้องบน” ซือหม่าโยวเย่ว์นึกถึงเฟิงจือสิงขึ้นมา แล้วเกิดความคิดถึงอยู่บ้า าง จึงเกิดความเป็นห่วงขึ้นมา
“ท่านอาจารย์ของเจ้าชื่ออะไรหรือ เป็นคนของตระกูลใด” อวิ๋นอี้มองดูหยกพกอย่างละเอียดถี่ถ้วน ยิ่งดูก็ยิ่งรู้สึกคุ้นตา
“ท่านอาจารย์ของข้าชื่อเฟิงจือสิง”
“ตระกูลเฟิง…” อวิ๋นอี้ลองคิดดูก่อนพูดอย่างไม่แน่ใจอยู่บ้างว่า “ข้าไม่รู้ว่าตระกูลเฟิงอยู่ที่ไหน แต่ข้านึกขึ้นมาได้ว่ามีสถานที่หลายแห่งในดินแดนของพวกเราที่มีกิจการที่ใช้ สัญลักษณ์รูปร่างเช่นนี้ ได้ยินว่าเบื้องหลังของกิจการเหล่านั้นร้ายกาจอย่างยิ่ง ขุมอำนาจโดยทั่วไปล้วนไม่กล้าไปหาเรื่อง ดังนั้นข้าจึงเดาว่าน่าจะเป็นตระกูลเขตชั้นใน”
“เขตชั้นใน…”
ซือหม่าโยวเย่ว์ก้มหน้าลง ถ้าหากเฟิงจือสิงเป็นคนของเขตชั้นใน เช่นนั้นท่านพ่อที่เติบใหญ่มาพร้อมกันกับเขาก็ควรจะเป็นคนของเขตชั้นในด้วยเช่นกัน
ท่านพ่อ… ท่านแม่…
“ถ้าหากต้องการ พอข้าขึ้นไปแล้วจะไปบอกท่านเจ้าหุบเขา ให้ศิษย์หุบเขาในช่วยตรวจสอบดู” อวิ๋นอี้เห็นซือหม่าโยวเย่ว์สีหน้าผิดปกติจึงเอ่ยถามขึ้น
ซือหม่าโยวเย่ว์พยักหน้าพลางเอ่ยว่า “ก็ดีนะ”
ก่อนหน้านี้มารเฒ่าจากไปอย่างรีบร้อน เธอจึงไม่ทันคิดจะถามเรื่องของเฟิงจือสิง เขาหูตากว้างไกลในโลกเบื้องบน ย่อมต้องรู้อะไรมากกว่าอวิ๋นอี้ที่เพิ่งขึ้นไปเพียงไม่กี่สิบปีเท่านั นแน่นอนอยู่แล้ว
“เช่นนั้นข้าไปก่อนละ” อวิ๋นอี้พูด “เจ้าก็รีบขึ้นไปให้เร็วหน่อยล่ะ และอย่าลืมว่าข้าเป็นคนของเจ้าแล้ว…”
ซือหม่าโยวเย่ว์สีหน้าดำทะมึน พลางยกเท้าเตะไปทางเขา
อวิ๋นอี้กระโดดไปทางด้านข้าง หลบเลี่ยงการโจมตีของเธอ จากนั้นจึงหยิบสิ่งที่ดูเหมือนเข็มทิศออกมาแล้วเปิดอุโมงค์ทางเดินสายหนึ่ง ก่อนจะเดินเข้าไปพลางหัวเราะเสียงดัง
“อวิ๋นอี้ ฝากไว้ก่อนเถิด รอดูว่าข้าขึ้นไปแล้วจะจัดการกับเจ้าเช่นไร!” ซือหม่าโยวเย่ว์ตะคอกใส่อุโมงค์ทางเดินที่ปิดสนิทลง
คนในลานบ้านปากอ้าตาค้างมองซือหม่าโยวเย่ว์อาละวาด
เมื่อครู่พวกเขาพูดอะไรออกมาน่ะ เขาเป็นคนของเขาอย่างนั้นหรือ บุรุษอกสามศอกอย่างพวกเขาสองคนพูดจากันเช่นนี้ หรือว่าจะมีความสัมพันธ์ที่มิอาจให้ผู้อื่นล่วงรู้ได้กันเล่า
ซือหม่าโยวเย่ว์ได้สติกลับคืนมา เมื่อเห็นสายตาแปลกประหลาดของทุกคน จึงจากไปด้วยสีหน้าดำทะมึน เธอเดินไปพลางขบเขี้ยวเคี้ยวฟันพูดอะไรบางอย่าง
รอจนเธอจากไปแล้ว สายตาแปลกประหลาดของทุกคนจึงเปลี่ยนเป็นตกใจ เพียงเพราะมีคนพูดประโยคเดียวเท่านั้น ตอนนั้นมิได้ว่ากันว่าคุณชายห้าชมชอบไม้ป่าเดียวกันหรอกหรือ…
ทุกคนระลึกขึ้นมาได้ในทันใดว่าตอนนั้นเรื่องที่ซือหม่าโยวเย่ว์ชมชอบชายงามนั้นเล่าลือกันสนั่นไปทั่วทั้งอาณาจักรตงเฉิน เขาในตอนนั้นเป็นคนไร้ค่า หลงใหลไม่ลืมหูลืมตา ชื่อเสียง งที่ชมชอบไม้ป่าเดียวกันฉาวโฉ่ไปทั่ว ทว่าหลายปีมานี้ จู่ๆ เขาก็กลายเป็นผู้มีพรสวรรค์ ทั้งยังมิได้ทำเรื่องเหล่านั้นอีก ทุกคนจึงค่อยๆ ลืมเลือนเรื่องราวเหล่านั้นไป
ตอนนี้มีคนยกประเด็นขึ้นมาอย่างกะทันหัน แม้จะมิใช่คนของอาณาจักรตงเฉินก็ยังล่วงรู้เรื่องนี้ ทุกคนต่างรู้สึกไม่ปลอดภัยขึ้นมาในทันใด คุณชายห้าคงจะไม่ทำอะไรพวกเขากระมัง
ทุกคนในที่นั้นต่างตัดสินใจว่าต่อจากนี้หากไม่มีเรื่องอันใด ก็จะอยู่ให้ห่างจากคุณชายห้าสักหน่อย เพื่อมิให้ไปถูกตาต้องใจเขาเข้า เจ้าดูสิว่าคุณชายอวิ๋นอี้ผู้นั้นหน้าตาดีเก กินไปไหมเล่า!
ถ้าหากซือหม่าโยวเย่ว์รู้ว่าพวกเขากำลังคิดอะไรอยู่ คงจะโมโหจนกระอักเลือดตายแน่ และจะต้องอยากเรียกตัวอวิ๋นอี้มาอธิบายให้คนอื่นฟังให้ดีๆ
วันต่อมาซือหม่าโยวเย่ว์กำลังจัดการธุระของตนดังเช่นที่เคยเป็นมา ถึงแม้ผู้ที่มายังเรือนแห่งนี้จะมีเพียงน้อยนิดมาโดยตลอด แต่พวกเว่ยจือฉีก็ยังพบว่าหากคนเหล่านั้นไม่มาที่นี ได้ก็คงไม่มา ตอนที่ต้องมาที่นี่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ต่างก็ตัวสั่นสะท้านกันอยู่บ้าง
นี่ทำให้พวกเขาฉงนใจไม่น้อย
คนเหล่านี้เป็นอะไรกันไปหมดแล้ว โดยเฉพาะสายตาของพวกเขา เหตุใดจึงแปลกประหลาดกันไปหมดเล่า
ต่อมาพวกเขาจึงไปสืบเสาะดู คนเหล่านั้นหลบสายตาทว่าไม่พูดอะไร หลังจากนั้นซือหม่าโยวหยางจึงได้บอกเหตุผลกับพวกเขา
เมื่อได้ฟังความคิดของคนเหล่านั้น พวกเว่ยจือฉีต่างก็อดเบ้ปากไม่ได้
มิน่าเล่าสายตาที่คนเหล่านั้นมองพวกเขาจึงได้แปลกประหลาดถึงเพียงนั้น ที่แท้พวกเขาก็รู้สึกว่าในเมื่อซือหม่าโยวเย่ว์ชมชอบบุรุษ และพวกเขาแต่ละคนก็มีรูปโฉมไม่เลว แล้วต้องมาอยู่ กับพวกเขาทุกวัน ดังนั้นพวกเขาจึงคิดว่าควรรักษาระยะห่างกับซือหม่าโยวเย่ว์สักก้าว
เจ้าอ้วนชวีแหงนหน้าโอดครวญ “พวกเราก็อยากรักษาระยะห่างกับเขาเช่นกัน! แต่น่าเสียดายที่มิตรภาพของพวกเราช่างเหนียวแน่นและแสนบริสุทธิ์เหลือเกิน เฮ้อ…”
มิตรภาพอันเหนียวแน่นและแสนบริสุทธิ์ นี่คือคำพูดของซือหม่าโยวเย่ว์
“จะปล่อยให้พวกเขาเข้าใจเจ้าผิดๆ เช่นนี้ต่อไปก็ไม่ดีหรอกนะ” เป่ยกงถังพูด “ถึงอย่างไรก็เป็นคนครอบครัวเดียวกัน”
“แล้วจะทำเช่นไรดีเล่า ให้บอกพวกเขาว่าโยวเย่ว์เป็นสตรีอย่างนั้นหรือ” เจ้าอ้วนชวีแสดงสีหน้าถูกใจ เขาเห็นด้วยกับความคิดนี้
คล้ายว่าพวกเขาจะยังไม่เคยเห็นซือหม่าโยวเย่ว์แต่งกายเป็นสตรีเลย!
นางมีรูปโฉมงดงามเช่นนี้ หากแต่งเป็นสตรีจะต้องน่าตกตะลึงจนชวนให้น้ำลายหกเป็นแน่
ในตอนแรกซือหม่าโยวเย่ว์มิได้นำเรื่องนี้มาใส่ใจเลย แต่ต่อมาเธอก็พบว่าทุกคนดูหวาดกลัวเธอมากขึ้นเรื่อยๆ จนถึงขนาดที่ส่งผลกระทบต่อจิตใจในการบำเพ็ญของทุกคนแล้ว
แม่กระทั่งบรรดาตาเฒ่าอย่างซือหม่าไท่ ยามที่มองเธอก็ยังแฝงไว้ด้วยการพินิจพิจารณาจางๆ
ซือหม่าโยวเย่ว์มองท้องฟ้าอย่างจนคำพูด สุดท้ายเมื่อถึงการประชุมตระกูลในวันหนึ่ง เธอจึงปรากฏตัวต่อหน้าทุกคนในเครื่องแต่งกายสตรีทั้งตัว
นี่คือครั้งแรกที่เธอสวมเครื่องแต่งกายสตรีตั้งแต่มาถึงโลกแห่งนี้ เมื่อเธอส่องกระจกหลังจากแต่งกายด้วยความช่วยเหลือของเป่ยกงถังเสร็จ แม้กระทั่งตัวเองก็ยังตะลึงงันไป
เป่ยกงถังมองซือหม่าโยวเย่ว์ นัยน์ตาเต็มไปด้วยความตกตะลึง
นางรู้ดีมาตลอดว่าซือหม่าโยวเย่ว์งดงามเป็นอย่างยิ่ง แต่ตอนนี้คำว่าผิวขาวราวน้ำนม ฟันงามราวฝักข้าวโพด รอยยิ้มพิมพ์ใจ นัยน์ตางามเย้ายวน อะไรเหล่านั้นต่างไม่พอให้บรรยายรูปโฉม ของเธอเลย
“ช่างงดงามเสียจริง!” นางอุทานจากใจจริง
ซือหม่าโยวเย่ว์ลุกขึ้นยืน เธอสวมชุดกระโปรงยาวสีแดงทับทิม เส้นผมส่วนบนเพียงแค่ใช้ปิ่นหยกม้วนเป็นมวยเอาไว้อย่างง่ายๆ แล้วปล่อยส่วนที่เหลือเอาไว้ด้านหลัง พร้อมกับทัดเครื่อง งประดับมณีสีแดงเอาไว้เหนือหูซ้าย บวกกับผิวพรรณอันขาวนวล ทำให้ตลอดร่างดูเปล่งประกายเจิดจรัสต้องตาคน
พอเปิดประตูออกไป ผู้คนที่รออยู่ด้านนอกได้เห็นเธอแล้วต่างพากันตกตะลึงไป จนเงียบงันไปทั่วทั้งลานบ้าน ถึงขนาดที่ได้ยินเสียงกลืนน้ำลายของเจ้าอ้วนชวีเลยทีเดียว
ผลตอบรับเช่นนี้มิได้อยู่นอกเหนือความคาดหมายของซือหม่าโยวเย่ว์เลย เธอยิ้มให้พวกเขาแล้วเอ่ยว่า “ไปกันเถิด ล่าช้าถึงเพียงนี้แล้ว หากยังไม่ไปอีกก็จะสายแล้วนะ”
เสียงของเธอดึงสติของทุกคนกลับมา ยังไม่ทันพูดอะไร เสียงของซือหม่าโยวหลินก็ดังแว่วมา
“เหตุใดพวกท่านยัง…”
เมื่อเห็นเงาร่างสีแดงเพลิงที่ยืนอยู่หน้าประตู เขาก็ตะลึงงันไปเสียแล้ว จนลืมเอ่ยวาจาที่เหลือไปเสียอย่างนั้น