สลับชะตา ชายามือสังหาร - ตอนที่ 416 เพื่อความก้าวหน้าของตระกูล (2)
ซือหม่าไท่เห็นสีหน้าของซือหม่าโยวเย่ว์ก็รู้ว่าเธอมีความคิดบางอย่าง แต่ก็มิได้ถามเซ้าซี้
ถ้าหากความคิดนี้ใช้ได้ นางก็คงพูดออกมาเอง ถ้าหากใช้ไม่ได้ ถามไปนางก็ไม่บอกอยู่ดี
ดูเหมือนว่านางจะเย็นชาไม่สนใจเรื่องของตระกูล แต่ขอเพียงแค่ได้รับการยอมรับจากนางแล้วเธอก็จะพยายามช่วยเหลือตระกูลอย่างสุดความสามารถ
ดังนั้นตอนที่เพิ่งมาถึงตระกูลซือหม่า ถึงแม้ว่าจะไม่ฟังไม่ถามเรื่องของตระกูล และไม่เคยคิดถึงอนาคตของตระกูล ต่อให้มียาวิเศษร้อยโคจร แต่ก็ไม่เคยมอบให้กับคนในตระกูลมาก่อนเลย
แต่ตอนนี้ซือหม่าโยวเย่ว์ผ่านประสบการณ์กับทุกคนมามากมายถึงเพียงนี้ ยอมรับตระกูลนี้แล้ว ทั้งยังคิดว่าจะยกระดับพรสวรรค์ของคนวัยเยาว์ เพราะคนวัยเยาว์ก็คืออนาคตของตระกูล
หลังจากที่ซือหม่าโยวเย่ว์เขียนตำรับยาพื้นบ้านของยาวิเศษร้อยโคจรเรียบร้อยแล้วจึงมอบให้กับผู้อาวุโสหลี่พลางถามว่า “ตระกูลของเรามีนักหลอมยามากน้อยเพียงใด”
ผู้อาวุโสหลี่ไม่รู้ว่าซือหม่าโยวเย่ว์ถามเรื่องนี้ไปทำไม แต่ก็ยังระงับความตื่นเต้นในใจเอาไว้แล้วเอ่ยว่า “ตระกูลหลี่ของข้ามากันสามร้อยคน ในบรรดานั้นมีนักหลอมยาหนึ่งร้อย ยเจ็ดสิบแปดคน บวกกับตระกูลอื่นๆ ก็มีทั้งสิ้นสองร้อยสามสิบห้าคน”
นักหลอมยาสองร้อยกว่าคน!
ต่อให้เป็นตระกูลอวิ๋นและตระกูลกัวก็มิได้มีนักหลอมยามากมายถึงเพียงนี้!
“ระดับขั้นเล่า” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม
“มีขั้นหกสามคน ขั้นห้าสิบคน ขั้นสี่สามสิบคน ขั้นสามเจ็ดสิบคน ส่วนที่เหลือก็เป็นขั้นหนึ่งขั้นสองกัน” ผู้อาวุโสหลี่เอ่ยตอบ
ซือหม่าโยวเย่ว์ลูบคาง ดูเหมือนว่าตระกูลเหล่านี้จะมีความสามารถอันแข็งแกร่งอย่างยิ่ง มีทั้งนักหลอมยาและนักฝึกสัตว์อสูรจำนวนไม่น้อย
แต่เธอก็มิได้กังวลใจมากนัก จุดเริ่มต้นของพวกเขาต่ำต้อย ทั้งยังถูกกดดัน รอให้เวลาผ่านไป ปัญหานี้ก็จะมิใช่ปัญหาอีกต่อไปแล้ว
“ข้ามีตำรับยาพื้นบ้านอยู่จำนวนหนึ่ง หากข้าจัดการเรียบร้อยแล้วจะแบ่งให้พวกท่านชุดหนึ่ง นอกจากนี้ยังมีประสบการณ์ในการหลอมยาของข้า รวมทั้งสิ่งที่ท่านอาจารย์บอกกับข้า ข้าจะ ะเรียบเรียงเขียนออกมาเป็นตำราแล้วมอบให้ทุกคนได้ศึกษา” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
“จริงหรือ”บรรดาผู้อาวุโสตื่นเต้นกันขึ้นมา
“ขอเพียงแค่ทุกคนมีใจเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในภายหน้า ทุกคนก็จะได้แบ่งปันผลประโยชน์ร่วมกัน” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
“พวกเราล้วนมาจากสถานที่แห่งเดียวกัน ความรู้สึกนั้นย่อมคล้ายคลึงกันอยู่แล้ว” ผู้อาวุโสหั่วพูด
ก่อนหน้านี้พวกเขาก็เคยคิดจะปลีกตัวออกไปจากตระกูลซือหม่า แต่หลังจากเปรียบเทียบดูแล้วการอยู่กับพวกเขาย่อมดีกว่า
นอกจากนี้ตระกูลซือหม่าก็มิได้ทำกับพวกเขาเหมือนเป็นกาฝาก ปฏิบัติต่อทุกคนเหมือนกันหมด
“เช่นนั้นดีที่สุด” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “มิฉะนั้นสิ่งที่ข้ามอบให้ไป ก็ย่อมมีวิธีนำกลับมาได้เช่นกัน ถ้าหากในภายหน้าทุกคนช่วยเหลือซึ่งกันและกันได้ ข้าก็ยังมีของดีที่จะมอบให้ก กับทุกคนอีก”
ผู้อาวุโสทั้งสามหัวเราะขมขื่นอยู่ในใจ เจ้าเด็กนี่มอบรางวัลล่อใจไม่ขาดเลยจริงๆ!
“พวกเราเข้าใจแล้ว” ผู้อาวุโสซางพูด
“แล้วพวกเรามีนักฝึกสัตว์อสูรอยู่มากเพียงใด” เธอถาม
“มีนักฝึกสัตว์อสูรน้อยกว่า รวมกันแล้วไม่ถึงสี่สิบคนเลย นอกจากนี้ส่วนใหญ่ยังเป็นคนตระกูลเว่ยด้วย ระดับขั้นมิได้สูงมากนัก ที่สูงที่สุดก็เพียงแค่ฝึกสัตว์อสูรทิพย์ขั้นสุดยอด ให้เชื่องได้เท่านั้น” ผู้อาวุโสหั่วเอ่ยตอบ
ผู้อาวุโสหลี่เป็นผู้ดูแลทั้งนักหลอมยา นักฝึกสัตว์อสูร และนักหลอมวัตถุ
“นักฝึกสัตว์อสูรโดยทั่วไปต่างอยากยกระดับขั้นให้สูงขึ้น แต่เป็นเพราะพลังจิตตามไม่ทัน ถ้าหากยกระดับพลังจิตของพวกเขาได้ ระดับขั้นของการฝึกสัตว์อสูรก็ย่อมสูงขึ้นตามไปด้วย” ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “ต่อไปข้าจะเรียบเรียงวิธีการยกระดับพลังจิต อืม วิธีการนี้นักหลอมวัตถุและนักหลอมยาต่างใช้ได้ด้วย หากยกระดับพลังจิตของพวกเขาได้ ก็จะเพิ่มระดับขั้นของ พวกเขาให้สูงขึ้นได้ด้วยเช่นกัน”
“ใช่แล้ว ข้ายังมีตำราค่ายกลอยู่จำนวนหนึ่งด้วย ล้วนเป็นของโบราณทั้งสิ้น เจ้าอ้วนบอกว่าไม่เลวเลย ต่อไปข้าจะรวบรวมแล้วนำทั้งหมดมา…”
“นอกจากนี้ข้ายังมีวิธีฝึกสัตว์อสูรอยู่ด้วย ถ้าหากให้ทุกคนทำตามวิธีการนั้นตอนฝึกสัตว์อสูร หลังจากทำพันธสัญญากับสัตว์อสูรวิเศษแล้วก็จะเลื่อนระดับไปพร้อมกันด้วย จากนี้ไปมาทำ ด้วยกัน…”
“ยังมีอีก…”
คราวนี้ไม่เพียงแค่ผู้อาวุโสทั้งสามเท่านั้น แม้กระทั่งซือหม่าไท่ก็อยู่ไม่สุขแล้ว ทั้งสี่คนเห็นนางพูดออกมาเรื่องแล้วเรื่องเล่า หัวสมองก็แทบจะลืมประมวลผล
ที่แท้แล้วเจ้าคนผู้นี้มีสิ่งล้ำค่าอยู่กับตัวมากเพียงใดกัน!
มิน่าเล่าถึงได้มีพรสวรรค์ร้ายกาจ ที่แท้ก็มีของดีอยู่มากมายเช่นนี้นี่เอง!
ตระกูลซือหม่ามีสมบัติล้ำค่าอยู่มากมายถึงเพียงนี้ มีมากกว่ามรดกของพวกเขาหลายตระกูลรวมกันเสียอีก!
ทั้งสามมองซือหม่าไท่อย่างอิจฉา แต่เมื่อเห็นว่าเขามีสีหน้าเช่นเดียวกันกับพวกตน จิตใจจึงสงบลง ที่แท้แล้วสิ่งเหล่านี้ก็มิใช่ของตระกูลซือหม่า
แม้จะบอกว่าจิตใจสงบลงแล้วแต่กลับยิ่งสงสัยหนักขึ้น สิ่งของของนางมิใช่สิ่งที่ตระกูลซือหม่ามอบให้ แล้วนางไปได้มาจากที่ไหนกัน
เป็นของบิดาบังเกิดเกล้าของนาง หรือจะบอกว่าเป็นของหุบเขามารเทพเล่า
“ข้าหมดหนทางกับค่ายกลแล้ว และตัวข้าเองก็ขาดแคลนทรัพยากรเช่นกัน” ซือหม่าโยวเย่ว์นึกขึ้นมาได้ว่าสิ่งที่ตนทำได้มีเพียงแค่สิ่งเหล่านี้แล้ว จึงพูดพลางมองพวกเขา ผลปรากฏว่าถู กสายตาร้อนแรงของพวกเขามองจนตกใจสะดุ้งตัวลอย “พวกท่านเป็นอะไรไปน่ะ”
“แค่กๆ ไม่มีอะไรหรอก” ซือหม่าไท่กระแอมกระไอแล้วเอ่ยว่า “พวกเราจะแบ่งยาวิเศษร้อยโคจรให้ทุกคนตามที่เจ้าบอก อ้อ เจ้ากลับไปจัดการกับข้าวของเหล่านั้นของเจ้าเถิด”
ซือหม่าโยวเย่ว์พยักหน้า เธอเองก็รู้ว่าหากตนพูดเช่นนี้ออกไปจะทำให้พวกเขาพรั่นพรึงเพียงใด แต่เธอก็ไม่มีวิธีอื่น
ด้วยพลังยุทธ์ของเธอในตอนนี้ คิดว่าภายในไม่กี่ปีก็จะต้องขึ้นไปเบื้องบนได้อย่างแน่นอน เผ่าพันธุ์หมาป่าหิมะและเผ่าพันธุ์เสือเขี้ยวดาบก็ต้องติดตามไปยังเบื้องบนด้วย ตนพาพวก มันไป พอถึงตอนนั้นหากตระกูลซือหม่ายังไม่พัฒนาขึ้นมา ต่อให้มีตระกูลกัวและตระกูลอวิ๋นคอยคุ้มครอง ก็มิใช่วิธีที่ถูกต้องในระยะยาวอยู่ดี
ดังนั้นจึงมีเพียงการที่เธอพยายามทำให้ตระกูลพัฒนาขึ้นมาอย่างสุดความสามารถตั้งแต่ตอนที่เธอยังอยู่ที่นี่เท่านั้น
ยังดีที่พวกเขาคือการผสานรวมระหว่างขุมอำนาจชั้นหนึ่งของดินแดนอี้หลิน มีจุดเริ่มต้นที่ไม่เลว อยากจะพัฒนาย่อมมิใช่เรื่องยาก ขอเพียงแค่มีวิธีก็พอแล้ว
ดังนั้นพวกเขาจะพรั่นพรึงก็พรั่นพรึงไปเถิด ถึงอย่างไรตาเฒ่าเหล่านี้แต่ละคนก็มิได้อ่อนปวกเปียก คงจะจัดการได้อย่างรวดเร็วยิ่ง
เมื่อนึกถึงเรื่องเหล่านี้ เธอจึงจากไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งให้ทั้งสี่คนค่อยๆ ย่อยข้อมูลกันไป
ทั้งสี่คนหยิบขวดหยกขึ้นมาคนละใบ ซึ่งภายในบรรจุยาวิเศษร้อยโคจรสิบกว่าเม็ด
ผู้อาวุโสหลี่มองดูยาวิเศษสีเหลืองทองแล้วดีใจจนแทบจะหลั่งน้ำตาออกมา
“สิ่งนี้แหละ สิ่งนี้แหละ เป็นยาวิเศษร้อยโคจรจริงๆ ด้วย เหมือนกับในตำนานไม่มีผิดเลย!”
“ในเมื่อโยวเย่ว์จัดการเสร็จเรียบร้อยหมดแล้ว เช่นนั้นพวกเราก็รีบให้เด็กเหล่านั้นมารับยาวิเศษพวกนี้ไปกินกันเร็วๆ เพื่อชำระเอ็นตัดไขกระดูกตามประสงค์ของนางเถิด” ประมุขตระกูล ลซางค่อนข้างสงบ แต่ก็ยังตื่นเต้นมากอยู่ดี
“อืม กินกันให้เร็วหน่อยก็ดี” ประมุขตระกูลหั่วพูด
“เช่นนั้นก็ให้เด็กที่โยวเย่ว์เลือกเอาไว้พวกนั้นมาก่อนแล้วกัน” ซือหม่าไท่พูด
“ได้”
ซือหม่าโยวเย่ว์กลับไปยังเรือนของตน เพิ่งเดินออกจากเรือนหลักได้ไม่นานเท่าใดก็เห็นใครบางคนยืนรอเธออยู่ตรงประตูเรือนด้วยสีหน้าดำทะมึน
“ศิษย์พี่ ท่านมาได้อย่างไรกัน” เธอมองข้ามสีหน้าบูดบึ้งของเขาไป
อูหลิงอวี่เพียงแค่จ้องมองเธอโดยไม่พูดไม่จา สีหน้านั้นมีความโกรธเคือง ทั้งยังมี… ความน้อยใจด้วย
ความน้อยใจหรือ มีความน้อยใจได้อย่างไรกัน
ซือหม่าโยวเย่ว์มองดูอย่างละเอียด เธอมิได้มองผิดไป เป็นความน้อยใจจริงๆ ด้วย
แต่เจ้าคนผู้นี้น้อยใจอะไรกัน
“ศิษย์พี่ ท่านอาจารย์ไม่ต้องการท่านแล้วหรือไร” เธอเอ่ยคาดเดา
อูหลิงอวี่ได้ฟังแล้วสีหน้าดำทะมึน
เจ้าคนผู้นี้รู้ว่าตนโกรธแล้วยังกล้าพูดเช่นนี้อีกหรือ!