สลับชะตา ชายามือสังหาร - ตอนที่ 418 ไม่มีคนที่ชอบ เช่นนั้นก็ชอบข้าเสียสิ
เขาชอบเธออย่างนั้นหรือ
ทั้งยังเริ่มต้นมาตั้งหลายปีแล้วด้วย
เหตุใดเธอจึงรู้สึกว่าคำพูดของกิเลนเพลิงช่างเชื่อไม่ได้เอาเสียเลย
คิดๆ ดูแล้วพวกเขาสองคนก็เพิ่งเคยพบหน้ากันเพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้นมิใช่หรือ เหตุใดเจ้าคนผู้นี้จึงชอบตนได้เล่า นอกจากนี้สำหรับเขาแล้ว เธอในตอนนั้นน่าจะเป็นยิ่งกว่าเศษของเศษฝุ่น ไม่ควรเข้าตาเขาสักนิดเลยมิใช่หรือ
แต่เธอก็รู้สึกว่ากิเลนเพลิงไม่น่านำเรื่องนี้มาล้อเล่นสิถึงจะถูก
นอกจากนี้วิญญาณของเขายังอ่อนแอมากจริงๆ ไม่อย่างนั้นคงไม่กลายเป็นสภาพนี้เพียงเพราะโมโหเล็กน้อยหรอก
เธอคิดว่าเขาได้รับบาดเจ็บมาจากเบื้องบน คิดไม่ถึงว่ากลับเป็นเพราะถูกกักขังจนมิอาจกินน้ำทิพย์วิญญาณได้ตรงเวลา
“เฮ้อ…” เธอถอนหายใจยาว ตนใช้ชีวิตมาเนิ่นนานขนาดนี้ แต่ดูเหมือนว่านี่จะเป็นครั้งแรกที่มีคนบอกชอบตน นอกจากนี้ยังเป็นคำพูดของสัตว์อสูรผูกพันธสัญญาอีกด้วย
ด้วยลักษณะนิสัยของเขา หากตนไม่รู้เอง เขาก็คงไม่พูดไปตลอด
แต่ดูเหมือนว่าเธอเองก็ไม่ได้หัวไวในเรื่องนี้มากนัก ใช้ชีวิตมานานขนาดนี้ ยังไม่เคยตกอยู่ในห้วงรักเลยสักครั้ง
“จริงๆ เลยนะ เอาชีวิตตัวเองมาเสี่ยงทำเรื่องเช่นนี้ หากท่านอาจารย์รู้เข้าจะถลกหนังท่านหรือไม่”
เธอยื่นมือไปแปะบนใบหน้าอูหลิงอวี่ ใบหน้าทรงเสน่ห์ราวกับมารร้ายซีดขาวไปหมด
“เฮ้อ…”
เมื่อนึกถึงคำพูดของกิเลนเพลิง เธอก็ถอนหายใจอีกครั้ง
เธอไม่เคยจัดการกับเรื่องพรรค์นี้มาก่อนเลย พอเขาฟื้นขึ้นมาแล้วจะเผชิญหน้ากับเขาอย่างไรดี
ในชาติก่อน ผู้ที่มีความรักเหล่านั้น ถ้าไม่ปฏิเสธก็อยู่ด้วยกันไปเลย แล้วตนจะเลือกอย่างไรดีเล่า
ปฏิเสธเขาหรือ แต่เขาก็ไม่ได้สารภาพกับเธอด้วยตัวเองนี่
ให้รับรักเขาหรือ ก็ดูเหมือนว่าตนจะไม่เต็มใจนัก
“เรื่องนี้มันช่างยุ่งยากเสียจริง”
เธอขยี้หัวตัวเอง หลังจากนั้นจึงถลึงตาใส่อูหลิงอวี่อย่างแรง แต่เมื่อเห็นหน้าเขาแล้วก็ยิ่งสับสน จึงไม่มองเสียดีกว่า
“ถ้าอย่างนั้นก็แกล้งทำเป็นไม่รู้ไปแล้วกัน ถึงอย่างไรถ้าเจ้านี่ไม่พูด ข้าก็จะทำเป็นไม่รู้” เธอตัดสินใจเช่นนี้ออกมาในท้ายที่สุดแล้วมองดูพระอาทิตย์ตกดินที่อยู่ไกลออกไปพลางพึมพำกับตัวเอง
“ข้าชอบเจ้า” คำพูดเธอเพิ่งหลุดออกจากปาก เสียงของอูหลิงอวี่ก็ดังขึ้นจากทางด้านหลังในทันใด
“ว้าย…”
เธอตกใจจนผุดลุกขึ้นยืนในทันที แล้วยืนมองคนที่ฟื้นขึ้นมาอย่างฉับพลันจากบริเวณที่ห่างออกไปหนึ่งเมตร
“ท่าน… ท่านฟื้นขึ้นมาตั้งแต่เมื่อใดกัน” เธอพูดตะกุกตะกักเล็กน้อยเป็นครั้งแรก
“ตั้งแต่ตอนที่เจ้ากระซิบกระซาบอยู่คนเดียวว่าจะแกล้งโง่นั่นแหละ” ถึงแม้ว่าอูหลิงอวี่จะฟื้นขึ้นมาแล้ว แต่เสียงยังคงเบาอย่างยิ่ง แสดงให้เห็นว่าเขายังคงอ่อนแอมาก
“ท่านฟื้นแล้วก็ไม่รู้จักส่งเสียงสักหน่อยเล่า” ซือหม่าโยวเย่ว์ถลึงตาใส่เขา
“หากพูดแล้วข้าจะรู้ความคิดของเจ้าได้อย่างไร” อูหลิงอวี่พูด “ตอนนี้ข้าบอกเจ้าแล้วว่าข้าชอบเจ้า แล้วเจ้าล่ะ”
“ข้า… ข้าทำไมหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์ตะลึงงัน
อูหลิงอวี่เห็นปฏิกิริยาเช่นนี้ของซือหม่าโยวเย่ว์แล้วอดหลั่งเหงื่อเยียบเย็นมิได้
เจ้าเด็กนี่ช่าง…
เรียกว่านางมีความฉลาดทางอารมณ์ต่ำแล้วกัน ความฉลาดทางอารมณ์เรื่องความรักเพื่อนรักครอบครัวนั้นสูงยิ่ง มีเพียงแค่ความรักนี่เท่านั้นที่ไม่รู้ความเอาเสียเลย
แต่เมื่อเห็นนางเป็นเช่นนี้ ความโมโหเพราะนางแต่งกายเป็นสตรีในใจเขาก็หายวับไปในทันที
เธอหัวช้ากับเรื่องความรักเช่นนี้แล้วจะไปหลงรักผู้อื่นได้อย่างไร
“เจ้าทำไมน่ะหรือ ข้าก็บอกไปแล้วว่าชอบเจ้า แล้วเจ้าจะไม่แสดงออกสักหน่อยหรือ” เขาลุกขึ้นจากพื้น
แสดงออกหรือ
ซือหม่าโยวเย่ว์กะพริบตาปริบๆ แล้วเข้าใจในความหมายของเขา เธอคิดไปคิดมาแล้วเอ่ยปากปฏิเสธ “ข้าไม่ชอบท่านหรอก”
ประกายความหวังอันริบหรี่ในดวงตาอูหลิงอวี่ดับวูบลง เจ้าเด็กนี่ไม่ชอบตนสินะ
“เจ้ามีคนที่ชอบแล้วหรือ”
ซือหม่าโยวเย่ว์ส่ายหน้า
“ในเมื่อเจ้าไม่มีคนที่ชอบ เช่นนั้นก็มาชอบข้าเสียสิ” อูหลิงอวี่มองเธอด้วยสายตาอันจริงจังอย่างยิ่ง
“หา?” ซือหม่าโยวเย่ว์มองเขา ไม่มีคนที่ชอบ ก็มาชอบเขาอย่างนั้นหรือ
นี่มันตรรกะอะไรกัน!
“ว่าอย่างไรเล่า” เขาพึงพอใจกับข้อเสนอของตัวเองอย่างยิ่ง
ซือหม่าโยวเย่ว์มองค้อนเขาแล้วพูดอย่างเรียบเรื่อยว่า “ท่านช่างวาดฝันไว้สวยงามนัก หัวใจข้าเป็นของข้า จะมาชอบท่านเพียงเพราะไม่มีคนที่ชอบไม่ได้หรอก ตอนนี้ร่างกายท่านเป็นเช่นไรบ้าง”
“เจ้าเป็นหมอแล้วไม่มาดูให้ข้าเล่า” เขาพูดราวกับว่าร่างกายปวกเปียกเสียเต็มประดา แล้วนอนแผ่ลงไป
ตอนนี้เจ้าเด็กนี่ไม่รับรักตนก็ไม่เป็นไร ถึงอย่างไรตอนนี้นางก็ยังไม่ประสีประสา ตนยังมีเวลาเปิดใจนางอยู่
ซือหม่าโยวเย่ว์ลังเลอยู่ชั่วครู่ แต่เมื่อเห็นใบหน้าซีดขาวของเขาแล้วก็ยังเดินเข้ามา คุกเข่าลงแล้วจับมือเขาขึ้นมาตรวจชีพจร
“ท่านนี่ก็จริงๆ เลยนะ รู้อยู่แก่ใจว่าในตัวไม่มีน้ำทิพย์วิญญาณแล้ว แต่ก็ยังกล้าไปทำเรื่องอันตรายเช่นนั้นอีก ไม่รักชีวิตแล้วหรือไร” ระหว่างที่ตรวจร่างกายเขา เธอก็นึกถึงวาจาของกิเลนเพลิงขึ้นมา จนเพลิงโทสะปะทุขึ้นอีกครั้ง จึงเอ่ยปากด่าทอ
แต่อูหลิงอวี่ไม่โกรธ มุมปากกลับยกเป็นรอยยิ้มจางๆ
นางโมโหก็แสดงว่าตนยังมีความสำคัญในใจนาง ถ้าหากเป็นคนที่นางไม่สนใจ ถึงแม้จะตายไป นางก็คงไม่แม้แต่จะกะพริบตาด้วยซ้ำ
“ข้าเป็นใคร กล้าไปก็ต้องรู้อยู่แล้วว่าต้องไม่มีปัญหา” เขาพูดพร้อมรอยยิ้ม
ซือหม่าโยวเย่ว์มองดูรอยยิ้มที่มุมปากเขา สีหน้าก็ดำทะมึน เธอผลักเขาไปด้านหลังจนเขาล้มลงไปบนพื้นหญ้าอีกครั้งโดยไม่ทันตั้งตัว
“เจ้าอยากจะผลักข้าหรือ ตอนนี้ถึงแม้ว่าร่างกายข้าจะมิสู้ดีนัก แต่ถ้าหากเจ้าต้องการ ข้าจะทำให้ก็ได้นะ” เขาเอนตัวลงบนพื้นด้วยท่าทางยั่วยวน
หยาบช้านัก!
คนหยาบช้าอย่างที่สุดภายใต้เปลือกนอกอันศักดิ์สิทธิ์!
“ไม่รู้จริงๆ ว่าคนอย่างท่านไปเข้าตาประมุขตำหนักผู้วิเศษจนกลายเป็นผู้วิเศษได้อย่างไรกัน” ซือหม่าโยวเย่ว์อยากเข้าไปกระทืบเขาสักสองที
“สิ่งที่เข้าตาเขาก็มีเพียงแค่ร่างกายของข้าเท่านั้น ขอเพียงแค่ข้ารักษาท่าทีเช่นนี้ต่อหน้าผู้คน ในเวลาอื่นๆ ข้าจะทำอะไร เขาก็มาวุ่นวายกับข้ามิได้หรอก” อูหลิงอวี่พูดอย่างเรียบเรื่อย
ซือหม่าโยวเย่ว์รู้สึกได้ถึงแววเหน็บแนมในคำพูดของเขา ทั้งยังประโยคที่ว่าต้องการร่างกายของเขานั่นอีก จึงขมวดคิ้วแล้วเอ่ยว่า “หมายความว่าอย่างไร”
“ก็หมายความตรงตามที่พูดนั่นแหละ” อูหลิงอวี่ประสานมือทั้งสองเอาไว้ที่ท้ายทอย พลางมองท้องฟ้าที่ถูกแสงสายัณห์อาบไล้จนกลายเป็นสีแดง ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
หมายความตรงตามที่พูดหรือ
ซือหม่าโยวเย่ว์มองอูหลิงอวี่พลางขมวดคิ้วแน่นขึ้น เกิดความรู้สึกว่ามองเขาไม่ออกอยู่บ้าง
เธอเห็นเขานอนนิ่งไม่ไหวติงจึงนั่งลงดูพระอาทิตย์ค่อยๆ ลับขอบฟ้าไปพร้อมกัน
มายังโลกแห่งนี้ตั้งหลายปีแล้ว แต่เธอยังไม่เคยชมพระอาทิตย์ตกให้ดีๆ เลยสักครั้ง
มุ่งไปข้างหน้าอยู่ตลอดแต่กลับลืมชื่นชมทิวทัศน์ระหว่างทาง
“โยวเย่ว์ ต่อไปข้าจะชมพระอาทิตย์ตกดินเป็นเพื่อนเจ้าเอง ดีหรือไม่” อูหลิงอวี่พูดอย่างเปี่ยมไปด้วยอารมณ์ขึ้นมาอย่างฉับพลัน
“หืม?” ซือหม่าโยวเย่ว์ยันแขนเอาไว้ด้านหลัง เมื่อได้ยินอูหลิงอวี่พูดเช่นนี้ จึงหันหน้ามามองเขา เมื่อเห็นแววจริงจังในดวงตาเขา หัวใจก็เต้นผิดจังหวะขึ้นมา
แต่เธอก็หันหน้าหนีไปในทันใด เธอมองพระอาทิตย์ตกดินพลางพูดว่า “ไม่ใช่ว่าใครๆ ก็จะมาชมพระอาทิตย์ตกดินกับข้าได้หรอกนะ”
เพราะเมื่อใดที่เข้ามาแล้ว เธอก็ไม่อนุญาตให้คนผู้นั้นออกไป มิฉะนั้นไม่ว่าอีกฝ่ายจะเป็นใคร เธอก็จะทำลายเขาให้ถึงที่สุด!
“มิใช่ว่าข้าจะชมพระอาทิตย์ตกกับใครก็ได้หรอกนะ แล้วก็มิได้อยากจะไปอยู่ในใจใครก็ได้ด้วยเช่นกัน” อูหลิงอวี่พูดกึ่งจริงกึ่งเล่น “ข้ามิใช่คนใจง่ายเสียหน่อย”
ซือหม่าโยวเย่ว์นึกถึงคำพูดประโยคหนึ่งในชาติก่อนขึ้นมา จึงมองค้อนเขาคราหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “ท่านมิใช่คนใจง่าย หากท่านใจง่ายขึ้นมาก็มิใช่คน ถูกต้องหรือไม่”
………………………………….