สลับชะตา ชายามือสังหาร - ตอนที่ 419 รอยยิ้มของนางคือความพึงพอใจอันสูงสุดของเขา
อูหลิงอวี่ได้ยินคำพูดนั้นของซือหม่าโยวเย่ว์แล้วอดเบ้ปากไม่ได้
เขาเป็นคนที่หากใจง่ายขึ้นมาแล้วไม่ใช่คนพรรค์นั้นหรือไร
เจ้าเด็กนี่!
“ข้าหิวแล้ว ข้าอยากกินโจ๊ก” เขาไม่เอาเรื่องกับสาวน้อย
ผู้ฝึกยุทธ์หิวได้ด้วยหรือ หลอกกับผีน่ะสิ!
แต่เธอก็ยังถามประโยคหนึ่ง “อยากกินโจ๊กอะไรเล่า”
“โจ๊กที่เจ้าทำครั้งแรกตอนอยู่เทือกเขาผู่สั่วนั่นน่ะ” อูหลิงอวี่พูด
ซือหม่าโยวเย่ว์กลอกตาใส่เขาก่อนจะไม่มองเขาอีก แล้วหาพื้นที่ราบก่อนจะหยิบข้าวของออกมา หลังจากนั้นจึงเริ่มต้มโจ๊กและผัดกับข้าว
เธอลืมไปตั้งนานแล้วว่าตอนนั้นต้มโจ๊กอะไร ให้เธอมาต้มให้ตอนนี้ จะเกินไปหน่อยหรือไม่
ตอนนี้ร่างกายเขาอ่อนแอเช่นนี้ จะกินของมั่วซั่วได้อย่างไร ดังนั้นโจ๊กที่เธอต้มและกับข้าวที่เธอผัดจึงเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ต่อร่างกายเขาในตอนนี้อย่างยิ่ง
พออูหลิงอวี่ได้กลิ่นหอมก็รู้ว่าเธอมิได้ทำสิ่งที่เคยทำในตอนนั้น แต่ความจริงแล้วเขาก็แค่พูดส่งๆ ไปอย่างนั้นเอง ขอเพียงแค่เป็นสิ่งที่นางทำ จะมีรสชาติเช่นไรก็ย่อมได้ทั งสิ้น
เขาพลิกตัวลงนอน ใช้มือหนุนศีรษะเอาไว้ พลางมองเงาร่างยุ่งหัวหมุนของนางเงียบๆ
บนร่างนางมีความรีบเร่งบางอย่าง แต่ทุกครั้งที่เขาเห็นนางกลับรู้สึกว่าในใจสงบเป็นอย่างยิ่ง
เขาจำได้ว่าตอนที่ยังเด็กมาก มีครั้งหนึ่งที่ประมุขตำหนักผู้วิเศษพาไปยังดินแดนแห่งหนึ่ง ได้เห็นคู่สามีภรรยาที่ไม่อาจบำเพ็ญได้ ไม่กี่สิบปีก็หัวขาวโพลนแล้ว
เขาสัมผัสระลอกความเคลื่อนไหวของพลังวิญญาณในตัวฝ่ายชายได้ แต่ในตัวฝ่ายหญิงกลับไม่มีเลย จึงเดาได้ว่าเขาละทิ้งการบำเพ็ญเพราะนาง เพื่อจะได้แก่เฒ่าไปพร้อมกันกับนาง
ตอนนั้นเขาไม่เข้าใจ จึงถามชายชราว่า “เหตุใดท่านจึงยอมละทิ้งการบำเพ็ญเพราะนางเล่า”
ตอนนั้นชายชราตอบเขาว่า “ชั่วชีวิตคนมีสิ่งให้ไขว่คว้าอยู่ตลอด บางคนก็ไขว่คว้าหาโลกที่สูงที่สุด บางคนก็ไขว่คว้าหาเงินทอง บางคนก็แสวงหาอำนาจ ส่วนข้ากระหายเพียงแค่ความอบอุ่น ยามที่อยู่กับนางเท่านั้น”
เขาละทิ้งทุกอย่างเพราะสิ่งนี้อย่างนั้นหรือ
ชายชราเห็นความไม่เข้าใจในแววตาของเขาจึงเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ถ้าหากวันใดที่ยามเจ้าอยู่ข้างกายหญิงสาวคนไหนแล้วลืมเลือนความวุ่นวายในโลกได้ จะสัมผัสได้ถึงความสงบในส่วนลึกของ งวิญญาณ เมื่อนั้นเจ้าก็จะเข้าใจความหมายของข้าเองแหละ”
ต่อมาเขาได้เห็นสตรีหลากหลายแบบ ทั้งสดใสงามสง่า ทรงเสน่ห์ยวนใจ ใสพิสุทธิ์น่ารัก เชาวน์ปัญญาฉับไว แต่กลับไม่มีใครทำให้เขาเกิดความรู้สึกเหมือนที่ชายชราว่าเลย
ต่อมายิ่งได้พบสตรีมากขึ้นเรื่อยๆ เขาก็ยิ่งสงสัยในคำพูดของชายชราว่าจะมีหญิงสาวที่ทำให้ตนรู้สึกสงบไปจนถึงวิญญาณเช่นนั้นอยู่จริงๆ หรือ
ไม่มีทาง ไม่มีหญิงสาวเช่นนั้นอยู่จริงหรอก
แต่เขากลับคิดไม่ถึงว่าตนจะได้พบกับเธอที่อายุเพียงแค่สิบกว่าขวบบนโลกระดับล่างอย่างดินแดนอี้หลินได้
ใบหน้าที่ยังไม่เจริญวัยเต็มที่ สองตาที่ดื้อรั้นและไม่ยอมแพ้ และความผันผวนอันไม่สมวัยในแววตาส่วนลึกของนาง เห็นได้ชัดว่ามิใช่คนงามสง่า แต่กลับทำให้เขาสัมผัสได้ถึงคืนวันอันเง งียบสงบที่ว่านั่นได้อย่างแท้จริง
สิบกว่าวันที่อยู่ด้วยกัน นางก็เดินเข้าสู่หัวใจและชีวิตของเขาเสียแล้ว
ซือหม่าโยวเย่ว์รู้สึกได้ถึงสายตาของเขา จึงเอ่ยโดยไม่เงยหน้าว่า “หรือแค่มองข้าท่านก็หายหิวแล้วเล่า”
“เห็นเจ้าแล้วยิ่งหิวเลยละ” อูหลิงอวี่พูดด้วยรอยยิ้ม
ซือหม่าโยวเย่ว์กลอกตาใส่เขา คร้านจะไปสนใจคำพูดของเขา
เธอพบว่าหลังจากที่เจ้าคนผู้นี้บอกชอบเธอแล้ว คำพูดคำจาก็กลายเป็นเหลวไหลไปหมด ก่อนหน้านี้รู้สึกเพียงว่าเขาเป็นคนทรงเสน่ห์ร้ายกาจ คิดไม่ถึงว่านอกจากจุดนี้แล้วเขายังเป็นคน หยาบช้าจากแก่นแท้อีกด้วย
เธอผัดกับข้าวเสร็จแล้วก็นำโต๊ะออกมาจัดวางกับข้าว หลังจากนั้นจึงไปดูโจ๊ก เมื่อหันหน้ากลับมาก็เห็นเจ้าคนผู้นี้นั่งอยู่ข้างโต๊ะอย่างไร้สุ้มเสียง
พฤติกรรมเช่นนั้นดูเหมือนคนที่วิญญาณอ่อนแออย่างยิ่งเสียที่ไหนกัน
เมื่อเธอเห็นว่าโจ๊กเคี่ยวจนได้ที่แล้วจึงตักมาสองชาม ก่อนจะวางลงตรงหน้าเขาชามหนึ่ง ส่วนตนเองยกอีกชามมานั่งลงตรงข้ามเขา
“ศิษย์พี่ ท่านมิได้เป็นผู้วิเศษแห่งตำหนักวิเศษหรอกหรือ ท่านหายสาบสูญไปนานเช่นนี้ ตำหนักวิเศษไม่ตามหาตัวท่านหรือไร”
อูหลิงอวี่หยิบช้อนมาตักโจ๊กเบาๆ คำหนึ่งแล้วเป่า ก่อนจะกินลงไปด้วยกิริยาสง่างาม หลังจากนั้นจึงเอ่ยว่า “ตาเฒ่านั่นไม่มีทางสนใจความเป็นความตายของข้าหรอก นอกจากนี้ป้ายชีวิตขอ องข้ายังอยู่ดี เขาย่อมไม่มีทางมายุ่งเรื่องของข้าแน่”
ซือหม่าโยวเย่ว์เกิดความสงสัยขึ้นในใจ จึงเอ่ยว่า “ที่ท่านบอกก่อนหน้านี้ว่าตาเฒ่านั่นต้องการเพียงร่างกายของท่าน หมายความว่าอย่างไรหรือ ท่านอาจารย์ทราบหรือไม่”
อูหลิงอวี่วางช้อนลงแล้วมองซือหม่าโยวเย่ว์ ก็เห็นความมุ่งมั่นในดวงตาเธอ จึงเอ่ยว่า “เขาให้ข้าไปที่ตำหนักผู้วิเศษก็เพื่อวางแผนชั่วร้ายกับร่างกายข้า เพราะวิญญาณของข้า ไม่สมบูรณ์ ดังนั้นเขาจึงฉวยโอกาสเข้าไปได้ ผลาญทำลายวิญญาณของข้า ช่วงชิงร่างกายข้า ให้ข้ากลายเป็นเขา ตอนนี้เขาให้อำนาจมากมายกับข้าก็เพื่อวางแผนสำหรับอำนาจของเขาในภายหน้า”
ซือหม่าโยวเย่ว์พูดอย่างตกใจว่า “ในเมื่อท่านรู้ แล้วเหตุใดจึงไม่ออกมาจากตำหนักผู้วิเศษเล่า มิใช่ว่าหุบเขามารเทพจะไม่มีปัญญาต่อกรกับตำหนักผู้วิเศษเสียหน่อย ท่านกลับไปแล้วเขา าก็ไม่กล้าทำอะไรท่านหรอก”
“ที่ข้าไม่กลับไปเพราะข้ามีความคิดว่าจะไม่กลับไปน่ะสิ” อูหลิงอวี่พูด “เขาอยากจะคิดบัญชีกับข้าก็คิดบัญชีได้อย่างนั้นหรือ”
เขาพูดด้วยท่าทีสงบอย่างยิ่ง แต่ซือหม่าโยวเย่ว์กลับฟังออกถึงความอาฆาตและความมั่นใจในตัวเองอย่างยิ่งในน้ำเสียงนั้น
“เช่นนั้นท่านคงมีวิธีจัดการของท่านเองแล้ว พอถึงเวลานั้นก็อย่าคว้าน้ำเหลวเสียล่ะ” เธอก็มิได้พูดอะไรมากอีก “ท่านอาจารย์รู้หรือไม่”
“ไม่รู้หรอก ถ้าหากรู้เข้า คาดว่าคงโมโหจนกระทืบเท้าเร่าๆ แน่ เขาไม่เห็นด้วยกับการที่ข้าไปยังตำหนักผู้วิเศษมาโดยตลอด เป็นข้าเองที่ยืนกราน” อูหลิงอวี่พูด “ดังนั้นเจ้าต้อง งช่วยข้ารักษาความลับด้วยล่ะ”
แม้จะไม่รู้ว่าเหตุใดเขาจึงยืนกรานเช่นนั้น แต่เธอรู้ว่าเขาน่าจะเข้าใจดีว่าตัวเองทำอะไรอยู่
“อยากให้ข้ารักษาความลับหรือ ได้สิ ถ้าค่าตอบแทนดีพอนะ” เธอแบมือให้เขาด้วยท่าทางรีดไถ
อูหลิงอวี่แย้มยิ้มพลางนำตำรากองหนึ่งออกมาวางลงบนโต๊ะ
“แค่นี้พอหรือไม่”
ซือหม่าโยวเย่ว์มองกองตำราแล้วตกตะลึงไป หลังจากนั้นจึงมองอย่างผ่านๆ ส่วนใหญ่คือตำราค่ายกล ทั้งยังมีตำราหลอมยาหลอมวัตถุอันหาได้ยาก
กิเลนเพลิงบอกว่าเขารู้ว่าเธอขาดแคลนตำราค่ายกล จึงได้ไปรวบรวมมาให้เธอจากที่ต่างๆ สิ่งเหล่านี้คงจะเป็นสิ่งที่เขาไปรวบรวมมาได้ในระยะนี้
เธอเก็บตำราทั้งหมดเข้าไปในแหวนเก็บวัตถุแล้วพูดว่า “พอถูไถแล้วกัน”
“แล้วบวกกับเล่มนี้เล่า” อูหลิงอวี่หยิบตำราอีกเล่มออกมาวางลงตรงหน้าเธอ
หน้าหนังสือสีเหลืองที่มุมขาดหายไป มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าเก่าแก่โบราณอย่างยิ่ง
“นี่คือตำราที่ท่านได้มาจากการถูกกักขังในคราวนี้หรือ” เธอถาม
“ใช่แล้ว” อูหลิงอวี่พูด “ว่ากันว่าเป็นสุสานของเจ้าสำนักที่ก่อตั้งสำนักค่ายกลในข่าวลือนั่น แต่สำนักค่ายกลนี้ได้หายสาบสูญไปจากโลกเป็นหมื่นปีแล้ว ไม่รู้ว่ายังมีอยู่หรื อไม่ นี่จะใช่สุสานของผู้ก่อตั้งสำนักหรือไม่ก็ไม่มีหนทางพิสูจน์ได้เลย”
ซือหม่าโยวเย่ว์หยิบตำราขึ้นมาดู เมื่อพลิกหน้าหนังสือด้านในก็ถูกดึงดูดเอาไว้เสียแล้ว!
ภายในนี้ดูเหมือนจะรวบรวมค่ายกลทั้งหมดเอาไว้ รวมทั้งค่ายกลที่เฟิงจือสิงเคยบอกว่าหายสาบสูญไปแล้วอีกจำนวนไม่น้อยด้วย มีคำอธิบายโดยละเอียดเกี่ยวกับทุกค่ายกลเขียนเอาไว้ ทั้งยัง งมีประสบการณ์เกี่ยวกับการตระหนักรู้ห้วงมิติ เรียกได้ว่าทุกหน้าคือสมบัติมหาศาลของปรมาจารย์ค่ายกลในปัจจุบันเลยทีเดียว!
อูหลิงอวี่เห็นนางสองตาเปล่งประกาย ใบหน้าจึงเต็มไปด้วยรอยยิ้ม มุมปากก็ผุดรอยยิ้มอย่างห้ามไม่อยู่
ตอนนี้เขาเข้าใจประโยคหนึ่งที่ชายชราผู้นั้นเคยพูดเอาไว้อย่างแท้จริงแล้วว่า รอยยิ้มของนางคือความพึงพอใจอันสูงสุดของเขา