สลับชะตา ชายามือสังหาร - ตอนที่ 421 ค่ายกลผนวกวิญญาณ
ซือหม่าโยวเย่ว์มิได้สังเกตเห็นพฤติกรรมเล็กๆ น้อยๆ ที่อูหลิงอวี่ทำ เพราะหลังจากที่เธอกลับมาก็มัวแต่จัดการข้าวของเหล่านั้นของตนอยู่แต่ในห้อง
เธอเลือกมาจำนวนหนึ่งสำหรับการหลอมยา การหลอมวัตถุ และการยกระดับพลังจิต แล้วเรียกพวกเจ้าอ้วนชวีมาพร้อมกัน ตัดตอนคัดลอกบางส่วนแล้วมอบให้กับซือหม่าไท่
พวกซือหม่าไท่เห็นข้าวของที่ซือหม่าโยวเย่ว์ขนมาแล้วพรั่นพรึงไม่น้อย ตอนที่เธอพูด พวกเขาย่อมคิดไม่ถึงว่าเธอจะนำมามากมายเช่นนี้ ต่างคิดว่ามีเพียงประเภทละเล่มสองเล่มก็ไม่เลวแล้ว
สิ่งที่พวกเขาไม่รู้ก็คือซือหม่าโยวเย่ว์ยังเลือกมาเพียงแค่เล่มที่ระดับค่อนข้างต่ำเท่านั้น มีระดับสูงบางเล่มที่เธอยังไม่กล้านำออกมา เกรงว่าจะทำให้ตระกูลวุ่นวาย
จากนั้นซือหม่าโยวเย่ว์จึงกลับมายังเรือนของตนอีกครั้ง คราวนี้ยังเรียกซือหม่าโยวหลินออกไปพร้อมกันด้วย
อูหลิงอวี่ยืนอยู่นอกประตู มองดูประตูห้องที่ปิดสนิท ชิงชังที่ตนเองไม่มีทักษะค่ายกล ทำให้เจ้าเด็กนี่ฉวยโอกาสไปได้
หลังจากที่ซือหม่าโยวเย่ว์เรียกซือหม่าโยวหลินมาถึงห้องแล้วจึงหยิบภาพวาดค่ายกลชิ้นหนึ่งออกมามอบให้เขา
ซือหม่าโยวหลินรับค่ายกลมาดูรอบหนึ่งแล้วเบิกตาโตมองเธอในทันใด นัยน์ตามีแววพรั่นพรึงและสงสัย
“นี่คือค่ายกลที่ศิษย์พี่ได้รับมาโดยบังเอิญ ข้าศึกษามาสองวันก็ยังมิอาจเข้าใจได้หมด ดังนั้นจึงเรียกเจ้ามาศึกษาด้วยกัน” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
“คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะได้ครอบครองแม้แต่ค่ายกลที่หายสาบสูญไปอย่างค่ายกลผนวกวิญญาณ ช่างชวนให้คนตกใจเกินไปแล้ว!” ซือหม่าโยวหลินพูดอย่างดีใจ “ถ้าหากศึกษาค่ายกลนี้ได้ เช่นนั้นการบำเพ็ญในอนาคตของพวกเราก็คงลงทุนน้อยแต่ได้ผลตอบแทนมากแล้ว!”
“ข้าเองก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “ตอนนี้พลังยุทธ์ของพวกเราต่ำกว่าผู้อื่นอยู่พอสมควร ถ้าหากใช้ค่ายกลผนวกวิญญาณทำให้ปราณวิญญาณเข้มข้นขึ้นได้ เพียงไม่นานพวกเราก็จะไล่ตามผู้อื่นได้ทันแล้ว”
“แต่เจ้ายังเข้าใจมันไม่ได้อย่างทะลุปรุโปร่งเลยนี่ พวกเราต้องนำสิ่งนี้ไปให้ท่านปู่ดูสักหน่อยหรือไม่” ซือหม่าโยวหลินถาม
“ข้าดูมาพอสมควรแล้ว แต่ค่ายกลผนวกวิญญาณนี้มิอาจใช้ศิลากลทั่วไปจัดวางได้ ดังนั้นข้าจึงอยากให้เจ้าช่วยหน่อย รอให้พวกเราทำได้แล้วค่อยบอกพวกเขาก็ยังไม่สาย ไม่อย่างนั้นหากสุดท้ายล้มเหลว พวกเขาก็จะดีใจเก้อเอาน่ะสิ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
“ก็ดีเหมือนกัน” ซือหม่าโยวหลินพูด “พวกเราลองกันก่อน เจ้าจะให้ข้าช่วยอะไรเล่า”
“คราวก่อนตอนอยู่ที่โลกย่อส่วน เจ้าได้ศิลาผนวกวิญญาณจำนวนหนึ่งมาครองมิใช่หรือ ใช้สิ่งนี้จัดไข่มุกผนวกวิญญาณจึงจะได้ผล” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
“เช่นนั้นพวกเราไปหาสถานที่สักแห่งทดสอบกันดีกว่า” ซือหม่าโยวหลินดูกระตือรือร้น
“หาสถานที่เปิดโล่งสักหน่อยจะดีที่สุด” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
“ข้ารู้จักสถานที่แห่งหนึ่ง ไป พวกเราไปทดสอบกัน” ซือหม่าโยวหลินเอ่ย
“ดี”
ซือหม่าโยวเย่ว์เปิดประตู มองไปก็เห็นอูหลิงอวี่กำลังยืนอยู่ข้างนอก
“พวกเจ้าจะไปไหนกัน” อูหลิงอวี่แสร้งทำเป็นถามอย่างไม่ใส่ใจ แต่สายตากลับเหลือบมองไปที่ซือหม่าโยวหลินตลอด
“ไปจัดวางค่ายกลน่ะ” ซือหม่าโยวเย่ว์เอ่ยตอบ
“ข้าไปด้วย” อูหลิงอวี่พูดพลางโบกพัด “ถึงอย่างไรก็ว่างอยู่แล้ว”
“แล้วแต่ท่านเลย” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดแล้วเดินออกไปข้างนอก อูหลิงอวี่ตามไปอย่างรู้งาน ซือหม่าโยวหลินเห็นสายตาของอูหลิงอวี่เปลี่ยนเป็นลึกล้ำ ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
พวกซือหม่าโยวเย่ว์ทั้งสามคนมาถึงลานด้านหลัง ด้านข้างของลานชุมนุมกลางแจ้งมีโถงใหญ่กว้างร้อยเมตรอยู่แห่งหนึ่ง ไม่รู้ว่าตระกูลจานเอาไว้ทำอะไร
ตอนที่พวกเขาเข้าไป ไม่มีคนอยู่ข้างในเลยแม้แต่คนเดียว ซือหม่าโยวเย่ว์และซือหม่าโยวหลินจัดเรียงศิลาผนวกวิญญาณเหล่านั้นโดยอ้างอิงจากภาพวาด จัดเรียงตามสัดส่วนและเริ่มจัดการกับมันไปพร้อมกันด้วย
อูหลิงอวี่เห็นซือหม่าโยวเย่ว์กำลังยุ่ง ก้มหน้าคิดคำนวณอยู่กับซือหม่าโยวหลิน จึงดูอยู่ข้างๆ อย่างเงียบๆ มิได้ส่งเสียงรบกวน
พวกซือหม่าโยวเย่ว์ใช้เวลาทั้งวันในการจัดวางศิลากล แต่กลับไม่ได้ผลเลยแม้แต่น้อย จึงต้องรื้อแล้วเริ่มต้นใหม่อย่างเลี่ยงไม่ได้
ครั้งที่สองก็ใช้เวลาทั้งวัน แต่ยังคงล้มเหลว
ครั้งที่สามใช้เวลาเกือบสองวัน ค่ายกลเสร็จสิ้นไปได้ครึ่งเดียว หลังจากที่ลำแสงของเส้นค่ายกลเปล่งประกายได้ครึ่งหนึ่งแล้วก็สลายไป เป็นสัญญาณของความล้มเหลวในครั้งนี้
ครั้งที่สี่ พวกเขาใช้เวลากว่าสองวัน จึงทำสำเร็จได้ในที่สุด ในตอนท้ายเส้นค่ายกลเคลื่อนตัวไปรอบหนึ่ง ปราณวิญญาณบริเวณรอบๆ เริ่มเข้าไปรวมตัวกันด้านในอย่างเนิบช้าตามที่ลำแสงเคลื่อนเข้าสู่เส้นค่ายกล
“สำเร็จแล้ว!” ซือหม่าโยวเย่ว์หลับตาลงรับสัมผัสครู่หนึ่งก่อนจะลืมตาพูดด้วยความยินดี
“พวกเราทำสำเร็จแล้วจริงๆ ด้วย!” ซือหม่าโยวหลินก็ดีใจมากเช่นกัน เขามองซือหม่าโยวเย่ว์ด้วยสองตาเปล่งประกาย
อูหลิงอวี่เองก็สัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงของปราณวิญญาณในบริเวณรอบๆ เขาเลิกคิ้ว คิดไม่ถึงว่าพวกเขาจะทำได้สำเร็จจริงๆ!
หลังจากที่ซือหม่าโยวเย่ว์ดีใจเสร็จแล้วจึงเริ่มทดสอบผลลัพธ์ของค่ายกลแห่งนี้ เธอขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ถึงแม้ว่าปราณวิญญาณจะหลั่งไหลเข้าสู่ที่นี่ แต่ก็เชื่องช้าเหลือเกิน เวลาผ่านไปนานเช่นนี้ ก็เพิ่งจะปรับปรุงได้นิดเดียวเท่านั้น นี่ย่อมไม่เพียงพอให้ทุกคนมาบำเพ็ญที่นี่ในระยะยาวหรอก”
ซือหม่าโยวหลินความคิดวูบไหวแล้วหยิบไข่มุกผนวกวิญญาณออกมา พลางเอ่ยว่า “ถ้าหากลองเพิ่มสิ่งนี้เข้าไปด้วยเล่า”
“นี่คือไข่มุกผนวกวิญญาณนั่นน่ะหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์มองดูไข่มุกจิ๋วสีฟ้าน้ำทะเลพลางเอ่ยถาม
“อืม” ซือหม่าโยวหลินพยักหน้าแล้วพูดว่า “ถ้าหากพวกเราเพิ่มสิ่งนี้เข้าไปในค่ายกลแล้วลองดูว่าจะให้ผลเช่นไร”
“ดี”
จากนั้นทั้งสองจึงรื้อค่ายกลที่จัดวางเสร็จแล้วทิ้งอีกครั้ง หลังจากนั้นจึงเริ่มคำนวณกันว่าจะวางไข่มุกผนวกวิญญาณเพิ่มเข้าไปได้อย่างไร
ครึ่งเดือนให้หลัง ซือหม่าไท่และผู้อาวุโสหลายท่านก็ได้รับเชิญให้มาที่นี่ เมื่อพวกเขาเข้ามาก็สัมผัสได้ถึงความแตกต่างของที่นี่กับภายนอกได้ในทันที
“ปราณวิญญาณเข้มข้นเหลือเกิน!” ผู้อาวุโสหั่วพูดอย่างตกใจ
“เข้มข้นกว่าที่อื่นมากมายเลยทีเดียว” ผู้อาวุโสซางก็เอ่ยขึ้นเช่นกัน
ซือหม่าไท่มองซือหม่าโยวเย่ว์พลางถามว่า “พวกเจ้าทำอะไรกับที่นี่น่ะ”
“พวกเราสร้างค่ายกลผนวกวิญญาณขึ้นมา ซึ่งจะดึงดูดปราณวิญญาณโดยรอบเข้ามาที่นี่ได้ ทำให้ปราณวิญญาณที่นี่เข้มข้นมากขึ้น” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “ผลลัพธ์นับว่าใช้ได้ พวกเราคำนวณดูแล้วว่าจะให้คนมาฝึกยุทธ์ที่นี่ได้สามคนพร้อมกัน”
“ร้ายกาจถึงเพียงนี้เชียวหรือ” ผู้อาวุโสหั่วมองซือหม่าโยวเย่ว์อย่างอัศจรรย์ใจ
“พวกท่านก็สัมผัสได้มิใช่หรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
“ใช่แล้ว” ซือหม่าไท่รับสัมผัสดูอย่างละเอียด “เจ้าวางแผนเช่นไรกับที่นี่”
“สิ่งที่ข้าคิดก็คือใช้ที่นี่เป็นสถานที่ลับในการบำเพ็ญของตระกูล เป็นรางวัลให้กับบรรดาผู้ที่อุทิศตนให้กับตระกูล ยามปกติก็ให้สาวกของตระกูลผลัดเปลี่ยนกันมาฝึกยุทธ์ที่นี่ได้” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “แต่จะดำเนินการเช่นไรนั้นก็ต้องให้ท่านประมุขตระกูลกับผู้อาวุโสทุกท่านหารือกันเองแล้ว”
“ท่านประมุขตระกูล เรื่องนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง ในตอนที่ยังไม่ได้ข้อสรุปจากการหารือ พวกเราก็อย่าเพิ่งบอกเรื่องนี้กับทุกคนเลยดีกว่า” ผู้อาวุโสซางพูด
“เอาละ ตอนนี้พวกเราก็กลับไปหารือกันก่อน โยวหยาง ไปแจ้งให้ผู้อาวุโสท่านอื่นๆ ทราบว่าให้ไปพบกันที่โถงประชุมเดี๋ยวนี้” ซือหม่าไท่พูด หลังจากนั้นจึงมองซือหม่าโยวเย่ว์และซือหม่าโยวหลินแล้วพูดว่า “เจ้าไปไม่ได้แน่ โยวหลินเจ้าอยู่กับพวกเราสิ”
“ขอรับ ท่านประมุขตระกูล” ซือหม่าโยวหลินจากไปพร้อมกับพวกซือหม่าไท่
ทั้งเรือนเหลืออยู่เพียงแค่ซือหม่าโยวเย่ว์กับอูหลิงอวี่สองคน ทั้งสองจึงเดินมุ่งไปยังเรือนของเธออย่างช้าๆ
“จะมีสักวันหนึ่งที่เจ้าทำเรื่องต่างๆ มากมายเช่นนี้เพื่อข้าบ้างหรือไม่” เขาถามอย่างเจือด้วยอารมณ์
“หืม?” ซือหม่าโยวเย่ว์หันมามองอูหลิงอวี่ เธอคิดไปคิดมาแล้วเอ่ยว่า “ท่านเป็นศิษย์พี่ ถ้าหากท่านมีเรื่องใดให้ข้าทำ ข้าย่อมต้องทำอย่างสุดความสามารถแน่นอน”
เพียงแต่ว่า… ทำอย่างสุดความสามารถหรือ…
………………………………….