สลับชะตา ชายามือสังหาร - ตอนที่ 422 จูบก่อนจาก
ซือหม่าโยวเย่ว์เห็นว่าแววตาของเขาหรี่แสงลง ในใจก็เกิดความรู้สึกแปลกประหลาด แต่ก็บอกไม่ถูกว่าผิดปกติอย่างไร ดังนั้นจึงละเลยมันไป
แต่เธอก็ยังพลิกลิ้นแล้วเอ่ยว่า “เห็นแก่สถานะที่ท่านเป็นศิษย์พี่ข้า ข้าจะพยายามอย่างสุดความสามารถ”
ความเฉื่อยชาในใจอูหลิงอวี่หายไปไม่เหลือเมื่อได้ยินวาจาในคราวหลังของเธอ
ตนเองในใจนางแตกต่างจากเดิมไปบ้างแล้ว เช่นนี้เมื่อตนจากไปก็สบายใจได้สักหน่อย
“ข้าจะไปแล้วนะ” เขาพูด
ซือหม่าโยวเย่ว์ฝีเท้าชะงักไป เธอมองเขาอย่างประหลาดใจอยู่บ้าง
“จะจากไปแล้วหรือ เหตุใดจึงกะทันหันเช่นนี้เล่า”
“ไม่ใช่กะทันหันหรอก เพียงแต่เห็นว่าระยะนี้เจ้ายุ่งอยู่กับเรื่องค่ายกลตลอด จึงยังไม่ได้บอกเจ้าเท่านั้นเอง” อูหลิงอวี่พูด
ไม่รู้ว่าสองวันมานี้ตาเฒ่าหนังเหนียวนั่น ไปเจออะไรผิดสำแดงมา จึงได้เร่งให้ตนกลับไปอยู่ตลอด ถึงแม้ว่าเขาจะอยากรั้งอยู่ข้างกายนางอย่างยิ่ง แต่ถ้าหากไปดึงความสนใจของตาเฒ่าน นั่นเข้า ก็คงนำความยุ่งยากมาสู่นางแน่
“ต่อจากนี้ห้ามเผยตัวตนที่เป็นสตรีต่อหน้าผู้อื่นอีกนะ โดยเฉพาะต่อหน้าคนของตำหนักผู้วิเศษ”
“เพราะเหตุใดกัน ท่านไปรู้อะไรมาใช่หรือไม่” ซือหม่าโยวเย่ว์เห็นท่าทางเช่นนั้นของเขาแล้ว คงจะมิใช่เพียงแค่ไม่ชอบให้เธอแต่งกายเป็นสตรีต่อหน้าผู้อื่นเท่านั้น
“บอกเจ้าตอนนี้ก็คงไม่เป็นไรแล้ว” อูหลิงอวี่พูด “เมื่อหมื่นปีก่อน ตำหนักผู้วิเศษมีคำพูดอยู่ประโยคหนึ่งว่าปรมาจารย์วิญญาณเพศหญิงจตุธาตุขึ้นไปจะโค่นล้มการดำรงอยู่ของตำหนักผู วิเศษ ดังนั้นตำหนักผู้วิเศษจึงเสาะหาสตรีเช่นนี้มาตลอดหลายปีมานี้ เมื่อใดที่พบตัวก็จะสังหารทิ้งในทันที พวกเขายอมฆ่าผิดตัวหมื่นครั้ง แต่ไม่ยอมพลาดคนเพียงผู้เดียวไป ปีนี้มีหญิ งสาวถูกฆ่าทิ้งไปไม่น้อยเลยล่ะ”
ซือหม่าโยวเย่ว์หัวใจเต้นตึกตัก หรือที่ท่านพ่อให้ตนปลอมเป็นบุรุษ ก็คงเป็นเพราะเหตุนี้กระมัง
“ข้าคิดว่าที่ท่านพ่อเจ้าให้เจ้าแต่งกายเป็นบุรุษมาตลอดก็เป็นเพราะเหตุนี้แหละ ถึงแม้ว่าเจ้าจะอยู่ที่โลกเบื้องล่าง แต่ตำหนักผู้วิเศษไม่เหมือนกับสำนักวิชาอื่นๆ พวกเขาตั้งสำนักย่ อยเอาไว้ยังสถานที่ส่วนใหญ่ในดินแดน ไม่ว่าที่ไหน ขอเพียงแค่เป็นสตรีลักษณะเช่นนี้ ต่างต้องพบจุดจบเช่นเดียวกันทั้งสิ้น” อูหลิงอวี่พูด “ยังดีที่พวกเจ้ากำจัดอำนาจของตำหนักผู วิเศษที่นี่ทิ้งไปแล้ว ไม่อย่างนั้นต่อให้พวกเจ้าไม่ลงมือ ข้าก็มิอาจปล่อยพวกเขาเอาไว้ได้”
ซือหม่าโยวเย่ว์มองอูหลิงอวี่ก็รู้ว่าสิ่งที่เขาพูดเป็นความจริง ถ้าหากตนมิได้ทำลายตำหนักผู้วิเศษก่อนที่จะแต่งกายเป็นสตรี เขาจะต้องขจัดภัยที่แฝงอยู่ก่อนจากไปให้อย่างแน น่นอน
ถึงแม้ทุกคนจะยังไม่รู้ว่าเธอเป็นปรมาจารย์วิญญาณพหุธาตุก็ตาม
“ข้ารู้แล้ว” เธอเข้าใจความสัมพันธ์อันร้ายกาจในนั้น ในตอนที่ยังไม่มีความสามารถในการต่อกรกับตำหนักผู้วิเศษ เธอก็มิอาจกลับไปแต่งกายเป็นสตรีได้ “แต่ท่านรู้ได้อย่างไรกันว่า ข้าคือคนที่พวกต้องการตามหา”
“ในตอนนั้นเจ้ายังเล็กเกินไป ยังไม่เข้าใจว่าจะปกปิดตัวเองได้อย่างไร” อูหลิงอวี่พูด “ถึงแม้ว่าเจ้าจะยังไม่เคยใช้มาก่อน แต่ก็ปิดบังข้ามิได้หรอก”
“จมูกสุนัข” เธอพึมพำเสียงเบา
“รอให้เจ้ากลับเข้าไปในหุบเขาได้ก็ไม่ต้องห้ามกันอีกแล้วละ อยากสวมใส่อะไรก็สวมไป แต่ตราบใดที่ยังมิได้กลับไป ก็ยังเปลี่ยนไปแต่งกายเป็นสตรีมิได้ เข้าใจแล้วหรือยัง”
“ข้าเข้าใจแล้ว ท่านแม่บ้าน”
เธอพูดสามคำสุดท้ายด้วยเสียงอันเบาอย่างยิ่ง เจ้าคนผู้นี้ช่างเยิ่นเย้อเสียจริง
อูหลิงอวี่สัมผัสได้ถึงระลอกความเคลื่อนไหวภายในแหวนเก็บวัตถุ นัยน์ตาฉายแววเหลืออดและรังเกียจ
เขายื่นมือไปลูบไล้เส้นผมเธอ พลางเอ่ยว่า “ข้าไปแล้วนะ เจ้าก็อย่าแอบขี้เกียจล่ะ รีบขึ้นมาให้เร็วหน่อย”
“อย่าลืมว่าต้องกินน้ำทิพย์วิญญาณให้ตรงเวลาด้วย หากเกิดเหตุการณ์เช่นเมื่อคราวก่อนอีก แม้กระทั่งหมัวซาก็ช่วยท่านไม่ได้แล้วนะ” ซือหม่าโยวเย่ว์กำชับ
“ได้เลย”
อูหลิงอวี่หยิบหยกก้อนหนึ่งออกมาแล้วให้ซือหม่าโยวเย่ว์หยดเลือดลงไปบนนั้น หลังจากนั้นก็หยดเลือดตนลงไปหยดหนึ่งด้วย เพื่อให้ง่ายต่อการตามหาตัวเธอในภายหน้า
ซือหม่าโยวเย่ว์มองก้อนหยกนี้ ซึ่งดูแตกต่างจากก้อนที่ตนมีอยู่บ้าง แต่ก็ระบุตำแหน่งได้เช่นเดียวกัน
อูหลิงอวี่เก็บหินระบุตำแหน่งขึ้นมาแล้วเปิดอุโมงค์ทางเดินเส้นหนึ่ง อาศัยจังหวะที่รอบด้านไร้ผู้คนโอบกอดเธอ แล้วฉวยโอกาสประทับจูบลงบนริมฝีปากเธอ ก่อนจะเอ่ยประโยคหนึ่งว่า า “สาวน้อย ในใจเจ้ามีได้เพียงข้าเท่านั้นนะ”
เมื่อเห็นแววโมโหในดวงตาเธอ เขาก็ยกมุมปากยิ้มอย่างพึงพอใจ แล้วเข้าไปในอุโมงค์ทางเดินก่อนที่เธอจะบันดาลโทสะ ไปจากดินแดนแห่งนี้
“สาวน้อยบ้านท่านน่ะสิ!” ซือหม่าโยวเย่ว์ได้อิสรภาพคืนมาแล้วจึงก่นด่าใส่ห้วงมิติเจ้าคนผู้นี้ตรึงเธอเอาไว้แล้วฉวยโอกาสอีกแล้ว!
มาไม้นี้อีกแล้ว! ทั้งยังรู้สึกไร้ซึ่งเรี่ยวแรงเหมือนเดิมอีกด้วย!
“ท่านน่ะ อย่าให้มีวันที่ข้าพลังยุทธ์เหนือกว่าท่านก็แล้วกัน ไม่อย่างนั้นข้าจะจับท่านแก้ผ้าแล้วโยนไปกลางถนนแน่! น่าชัง! น่าชังนัก!”
ที่อีกด้านหนึ่งของอุโมงค์ทางเดินอูหลิงอวี่เดินออกมาจากกลางอากาศ แล้วเรียกกิเลนเพลิงออกมาเดินทางมุ่งสู่ตำหนักผู้วิเศษ เขาสัมผัสได้ถึงระลอกความเคลื่อนไหวในแหวนเก็บวัตถุอีก กครั้ง จึงพูดคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มว่า “เจ้าว่าข้าควรจะลงมือให้เร็วขึ้นหรือไม่ ระยะนี้เจ้าคนผู้นี้ช่างน่ารังเกียจมากขึ้นไปทุกทีแล้ว”
ถ้าหากไม่ใช่เขา ตอนนี้ตนก็คงยังอยู่ข้างกายโยวเย่ว์
“เวลายังไม่สุกงอมพอ” กิเลนเพลิงตอบอย่างเรียบๆ
อูหลิงอวี่มองท้องฟ้าพลางเอ่ยว่า “อึดอัดใจเหลือเกิน เฮ้อ กลับไปดูหน่อยสิว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้นอีกแล้ว จากนั้นก็กลับไปดูที่หุบเขามารเทพสักหน่อย เพื่อไม่ให้ตาเฒ่านั่นกังว วลใจ…”
ซือหม่าโยวเย่ว์ก่นด่าไปจนกลับถึงเรือน คนของตระกูลซือหม่าเห็นสีหน้าดำทะมึนของเธอแล้วต่างไม่กล้าเข้าไปทักทาย
ความกดอากาศนี้ต่ำเกินไป หากใครไปกระตุ้นเข้าก็ไม่แน่ว่าอาจเกิดพายุฝนกระหน่ำก็ได้
แม้กระทั่งพวกเป่ยกงถังได้เห็นเธอแล้วก็ยังไม่กล้าถามเธอเลยว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น
“ศิษย์พี่ของเจ้าเล่า”
“กลับไปแล้วละ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดอย่างชิงชัง “อย่าให้ข้าเห็นเขาอีกจะดีที่สุด ไม่อย่างนั้นข้าจะต้อง…”
เธอมิได้พูดที่เหลือว่าจะต้องทำอะไร แต่เห็นว่าถ้วยที่เธอเพิ่งจับขึ้นมาหมาดๆ ถูกบีบจนแตกเสียแล้ว พวกเขาจึงรู้ว่าจะต้องเป็นอูหลิงอวี่ที่ยั่วยุเธออีกอย่างแน่นอน
“สร้างค่ายกลผนวกวิญญาณเสร็จแล้ว ดูสิว่าตระกูลจะจัดการกันอย่างไร ถ้าทุกคนบำเพ็ญได้เป็นอย่างดี พวกเราก็จะได้ขึ้นไปยังเบื้องบนให้เร็วหน่อย” นางรวบรวมชิ้นส่วนที่แตกกระจาย ห หลังจากนั้นจึงกลับไปยังเรือนของตน
“ข้าว่าโยวเย่ว์แปลกประหลาดอยู่บ้างนะ” เจ้าอ้วนชวีพูด
“มีอะไรแปลกหรือ” เป่ยกงถังพูด “พวกเรากลับไปฝึกยุทธ์กันดีกว่า ไม่อย่างนั้นหากโยวเย่ว์ขึ้นไปเบื้องบนแล้ว พวกเราก็ต้องอยู่ที่นี่กันต่อไปนะ”
พอพูดจบนางจึงกลับไปฝึกยุทธ์ที่เรือนของตน
พวกเว่ยจือฉีก็เข้าใจดีว่าซือหม่าโยวเย่ว์มิอาจรอพวกเขานานเกินไปได้ หากยังคิดจะขึ้นไปพร้อมกันกับนาง ก็มีแต่ต้องพยายามตามรอยเท้านางให้ทันเท่านั้น
ตระกูลตัดสินใจได้อย่างรวดเร็ว ปรับปรุงลานชุมนุมแห่งนั้นให้กลายเป็นห้องเล็กๆ สามห้อง ต่อไปให้คนหนึ่งคนเข้าไปฝึกยุทธ์ในแต่ละห้อง ห้องหนึ่งเป็นรางวัลของตระกูล ห้องหนึ่งเป็ นห้องสำหรับชนรุ่นหลังที่มีพรสวรรค์โดยเฉพาะ ส่วนอีกห้องให้คนอื่นๆ ในตระกูลใช้งาน
เดิมทีพวกเขาคิดจะให้ซือหม่าโยวเย่ว์ใช้ห้องหนึ่ง แต่เธอปฏิเสธ
มีเจดีย์วิญญาณอยู่ ผลลัพธ์ในการฝึกดีกว่าที่นี่เสียอีก
ในเวลาต่อมา ซือหม่าโยวเย่ว์ก็เริ่มปลีกวิเวกไปพร้อมกันกับผู้มีพรสวรรค์กลุ่มใหญ่
ซือหม่าโยวหยางและคนอื่นๆ มากันหมด ยังมีซือหม่าโยวเล่อ ซือหม่าเลี่ย และซางมู่อวี่ด้วย ขอเพียงแค่เป็นคนที่เคยเข้าไปภายในเจดีย์วิญญาณ ต่างก็ตามไปปลีกวิเวกด้วยกัน
สายตาของพวกเขาเพ่งเล็งอยู่ที่ดินแดนโบราณ มีแรงบันดาลใจว่าจะต้องขึ้นไปให้ได้อย่างแน่นอน ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ยุ่งเกี่ยวกับกิจธุระในตระกูล ตั้งใจบำเพ็ญเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
เพียงพริบตาเดียว หนึ่งปีก็ผ่านพ้นไป ส่วนภายในเจดีย์วิญญาณนั้นผ่านไปถึงสิบปีแล้ว