สลับชะตา ชายามือสังหาร - ตอนที่ 426 สาเหตุที่ถูกสายฟ้าฟาด
ตอนที่อูหลิงอวี่ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง ก็เป็นเวลาหลายวันหลังจากนั้นแล้ว ซือหม่าโยวเย่ว์นั่งอยู่บนเก้าอี้โยก พร้อมกับอุ้มเจ้าคำรามน้อยเอาไว้แล้วพูดอะไรบางอย่างกับมัน
เห็นสีหน้าของเธอกลับมาเหมือนเช่นก่อนหน้านี้แล้ว แต่นัยน์ตายังมีความเศร้าโศกและอาฆาตแค้นซ่อนเร้นเอาไว้
“ถ้าหากท่านยังไม่ปรากฏตัวอีก ข้าจะพังที่นี่แล้วนะ” เธอสัมผัสได้ว่าเขาปรากฏตัวจึงเอ่ยขึ้นโดยไม่แม้แต่จะเงยหน้า
“สถานที่แห่งนี้ของข้าไม่ดีหรือ” อูหลิงอวี่เดินเข้าไปหา
“ดีสิ ดีเกินไปด้วยซ้ำ ก็เลยอยากทำลายทิ้งเสีย” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “ข้าเห็นเครื่องยาและสิ่งล้ำค่าเหล่านั้นของท่านแล้วอิจฉาริษยานัก อยากทำลายทิ้งให้หมดเลย”
“อยากทำลายก็ทำลายไปสิ เจ้ามีความสุขก็พอแล้ว” อูหลิงอวี่พูดอย่างไม่ใส่ใจ
“ศิษย์พี่ ท่านช่างใจกว้างเสียจริง” เธอยิ้ม แต่เสียดายที่ดวงตามิได้ยิ้มไปด้วย
“ข้ามีเจ้าเป็นศิษย์น้องเพียงคนเดียว ไม่ใจกว้างกับเจ้าแล้วจะให้ไปใจกว้างกับใครเล่า” อูหลิงอวี่พูด “ตอนนี้เจ้ากลับเป็นปกติแล้วหรือ”
ซือหม่าโยวเย่ว์ก้มหน้า นัยน์ตามีแววเยือกเย็นวาบผ่าน
กลับเป็นปกติอย่างนั้นหรือ เธอจะยังกลับเป็นปกติอีกได้อย่างไรกัน กลัวแต่ว่าชั่วชีวิตนี้เธอคงต้องใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางความสำนึกผิดเสียแล้ว
“ข้าอยู่ที่นี่มานานแค่ไหนแล้วหรือ” เธอเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง เก็บซ่อนความรู้สึกของตนเรียบร้อยแล้ว
หลายวันมานี้เธออยู่กับความโศกเศร้าและสำนึกผิดมาโดยตลอด อารมณ์ค้างไปทีก็นานเป็นวันสองวัน และที่นี่ก็ไม่มีพระอาทิตย์ขึ้นพระจันทร์ตกเสียด้วย เธอจึงไม่รู้เลยว่าตนเองอยู่ที นี่มานานเท่าไรแล้ว
“ก็ไม่นานหรอก เพิ่งจะแค่สิบกว่าวันเท่านั้น” อูหลิงอวี่พูด
ถึงแม้ว่าเขาจะมิได้อยู่ภายในโลกย่อส่วน แต่ที่นี่ก็เชื่อมต่อกับเขา เขารู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงของอารมณ์เธอได้อย่างชัดเจน
ซึ่งจุดนี้มิได้แตกต่างอะไรกับเจดีย์วิญญาณเลย
“สิบกว่าวันแล้วหรือ…” ซือหม่าโยวเย่ว์ลูบตัวเจ้าคำรามน้อย “พวกท่านปู่คงเป็นห่วงข้าแย่แล้ว”
“จะกลับไปแล้วหรือ” อูหลิงอวี่ถาม
“รอก่อนเถิด” ถึงแม้ซือหม่าโยวเย่ว์จะรู้ว่าพวกเขาเป็นห่วงตนอยู่ แต่ตนกลับไม่รู้ว่าพอกลับไปแล้วจะเล่าเรื่องนี้ให้พวกเขาฟังอย่างไรดี
“ข้าไปหาตำราจำนวนหนึ่งกลับมาให้เจ้า” อูหลิงอวี่ก็มิได้รบกวนการตัดสินใจของเธอ แล้วนำตำราหลายเล่มมามอบให้เธอ “ตำราเหล่านี้ล้วนเป็นวิธีการบำเพ็ญและข้อควรระวังสำหรับระดับเ เทพขึ้นไป รวมทั้งทักษะวิญญาณจำนวนหนึ่ง”
ซือหม่าโยวเย่ว์รับตำรามาพลางเอ่ยว่า “ขอบคุณนะ”
เธอในชาติก่อนย่อมไม่เคยคิดว่าจะมีวันหนึ่งที่ตนได้สัมผัสใกล้ชิดกับเขาเช่นนี้ ถึงขนาดที่กลายเป็นศิษย์น้องของเขา และกลายเป็นเจ้าหุบเขาน้อยแห่งหุบเขามารเทพได้
เธอจำตอนที่พบหน้าเขาในคราวนั้นได้ เขาคือผู้วิเศษที่แสนสูงส่ง ส่วนเธอเป็นคุณหนูของตระกูลที่เกาะติดอยู่ภายใต้ขุมอำนาจแห่งหนึ่ง
ในตอนนั้นเธอรู้สึกว่าถึงแม้เจ้าคนผู้นี้ภายนอกจะดูศักดิ์สิทธิ์หาใดเปรียบ แต่ภายในกลับมิใช่คนอ่อนโยนแต่อย่างใด
“เจ้ากำลังคิดอะไรอยู่หรือ” อูหลิงอวี่เห็นเธอมองค้างอยู่ที่ตนด้วยแววตาแปลกประหลาดอยู่บ้างจึงเอ่ยถามขึ้น
“ไม่มีอะไรหรอก” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด ก่อนจะถามเพื่อเปลี่ยนหัวข้อว่า “นี่ท่านไปไหนมาน่ะ”
“กลับไปที่หุบเขาในน่ะ” อูหลิงอวี่พูด “ระหว่างนั้นก็ไปถามเรื่องของเจ้ากับตาเฒ่ามาด้วย”
ก็ใช่ พวกเขาย่อมไม่มีตำราพื้นฐานการฝึกยุทธ์เช่นนี้กับตัวอยู่แล้ว คิดจะหาให้นาง ถ้าไม่กลับไปที่ตำหนักผู้วิเศษ ก็ต้องกลับไปที่หุบเขามารเทพ
แต่เขาไม่รู้ว่าตอนนี้เธอไม่ต้องการตำราเหล่านี้อีกแล้ว แต่เธอก็ยังรับมา ในภายหน้าพวกเป่ยกงถังจำเป็นต้องใช้อย่างแน่นอน
“ท่านอาจารย์ว่าอย่างไรบ้าง” เธอถาม
“ท่านอาจารย์บอกว่าเจ้าบำเพ็ญทั้งธาตุแสงสว่างและธาตุความมืด บางทีอาจรู้สึกว่าละเมิดวิถีสวรรค์ ดังนั้นสายฟ้าจึงฟาดใส่เจ้า” อูหลิงอวี่พูด “แต่ข้าโน้มเอี่ยงไปทางคำอธิบายของ ท่านอาจารย์ลุงมากกว่า”
“เจ้าหุบเขาใหญ่หรือ เขาว่าอย่างไรเล่า” ซือหม่าโยวเย่ว์อยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับเจ้าหุบเขาใหญ่ที่ไม่เคยพบหน้าเป็นอย่างยิ่งมาโดยตลอด
“ท่านอาจารย์ลุงบอกว่าผู้ที่มีชะตาอันยิ่งใหญ่มักจะได้รับความโปรดปรานจากวิถีสวรรค์ พร้อมกันนั้นก็จะได้รับการปฏิบัติเป็นพิเศษจากวิถีสวรรค์ ถูกทำการทดสอบ บางทีกัลป์สายฟ้านี้ อาจเป็นเพียงหนึ่งในบททดสอบก็ได้” อูหลิงอวี่กล่าว
ผู้ที่มีชะตาอันยิ่งใหญ่ต้องได้รับการขัดเกลาอันยิ่งใหญ่ ตอนนั้นบรรพชนตระกูลซีเหมินก็เคยเอ่ยวาจาเช่นนี้มาก่อนเหมือนกัน
“บางทีอาจเป็นเช่นนั้น” ซือหม่าโยวเย่ว์ไม่ได้เห็นด้วยกับคำพูดไหนแต่ก็มิได้ปฏิเสธ
บางทีการที่เธอถูกสายฟ้าฟาดอาจเป็นเพราะทั้งสองสาเหตุรวมกันก็เป็นได้ เรื่องที่ไม่มีข้อสรุปเช่นนี้ ไม่ว่าใครก็มิอาจบอกได้ชัดเจน
นอกจากนี้พอเธอถูกสายฟ้าฟาดแล้วก็มีพลังวิญญาณธาตุสายฟ้าเพิ่มขึ้นมา สิ่งนี้ก็นับได้ว่าเป็นความรักจากทวยเทพกระมัง
“แต่มีสิ่งหนึ่งที่ท่านอาจารย์ลุงและท่านอาจารย์เห็นพ้องต้องกัน” อูหลิงอวี่พูด
“อะไรหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์เห็นสีหน้าของอูหลิงอวี่แล้วรู้สึกว่านี่จะต้องมิใช่ข่าวดีแต่อย่างใดแน่
“พวกเขาต่างบอกว่าในเมื่อตอนที่เจ้าเลื่อนไปถึงระดับเทพดึงดูดกัลป์สายฟ้ามาได้ บางทีทุกครั้งที่เจ้าเลื่อนระดับในภายภาคหน้าก็อาจจะมีสายฟ้าฟาดตลอด” อูหลิงอวี่พูด
ซือหม่าโยวเย่ว์เบ้ปาก มีสายฟ้าฟาดทุกครั้งที่เลื่อนระดับอย่างนั้นหรือ ชีวิตเธอจะต้องน่าเศร้าถึงเพียงนี้เลยหรือไม่
“อันที่จริงกัลป์สายฟ้านี้ก็มีประโยชน์นะ ตอนนี้ภายในร่างกายเจ้าก็มีพลังวิญญาณธาตุสายฟ้าเพิ่มขึ้นมาแล้วมิใช่หรือ” อูหลิงอวี่เห็นท่าทีเศร้าสร้อยของเธอจึงเอ่ยปลอบ
“เช่นนั้นท่านมาลองดูไหมเล่า” เธอกลอกตาใส่เขา เจ้าคนผู้นี้ช่างดีแต่พูดเสียงจริง
ต่อให้ได้รับประโยชน์ แต่กระบวนการนั้นเจ็บปวดทรมานอย่างยิ่ง รู้บ้างไหมเล่า!
อูหลิงอวี่เห็นว่าซือหม่าโยวเย่ว์กลอกตาใส่ตนได้แล้ว จึงมิได้กังวลใจถึงเพียงนั้นอีก เขานั่งลงข้างเธอแล้วพูดว่า “ท่านอาจารย์บอกว่าในเมื่อเจ้าเลื่อนไปถึงระดับเทพแล้ว คิดจ จะขึ้นไปยังเบื้องบนเมื่อใดเล่า”
“ยังเร็วเกินไป” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
“โยวเย่ว์ ตอนนี้เจ้าไปถึงระดับเทพแล้ว การขึ้นไปยังเบื้องบนย่อมดีต่อการบำเพ็ญของเจ้ามากกว่าอยู่แล้ว ถึงแม้ว่าปราณวิญญาณของดินแดนเหล่านี้จะอุดมสมบูรณ์ แต่พลังวิญญาณสู้เบื้องบน ไม่ได้ นอกจากนี้หากเจ้ากลับไปยังหุบเขาใน ก็ยังมีทรัพยากรในการบำเพ็ญมากกว่าอยู่พอสมควรด้วย” อูหลิงอวี่พูด
“ข้ารู้น่า” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “แต่ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาขึ้นไปที่เบื้องบนน่ะสิ”
“เจ้าไม่ขึ้นไปก็ดี ระยะนี้หุบเขามารเทพและถ้ำเมฆขาววุ่นวายจนมิอาจตกลงกันได้ หากเจ้าขึ้นไปอาจต้องเผชิญกับปัญหาอะไรเข้าก็เป็นได้” อูหลิงอวี่พูด
ซือหม่าโยวเย่ว์นึกถึงตอนอยู่ที่โลกย่อส่วนขึ้นมา ถ้ำเมฆขาวและตำหนักผู้วิเศษไล่ล่าคนของหุบเขามารเทพและสำนักรุ้งจันทรา ท่าทีเช่นนั้นของพวกเขาย่อมมิใช่ความคิดชั่ววูบอย่างแน่ นอน กลัวแต่ว่าตัดสินใจจะทำตั้งแต่ก่อนเข้ามาแล้ว
“ครึ่งปี” เธอพูด
อูหลิงอวี่สะดุ้ง แล้วเข้าใจว่าที่เธอพูดหมายถึงจะขึ้นไปในอีกครึ่งปีให้หลัง จึงเอ่ยว่า “เช่นนั้นข้าจะมารับเจ้าในอีกครึ่งปีให้หลัง”
“ไม่ต้องหรอก” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “มอบเข็มทิศแยกโลกอันหนึ่งให้ข้าก็พอแล้ว”
เข็มทิศแยกโลกก็คือเข็มทิศที่มารเฒ่ามอบให้เธอตอนเข้าไปในโลกย่อส่วนนั่นเอง
ของสิ่งนี้ใช้สร้างอุโมงค์ทางเดินชั่วคราวให้เธอเข้าไปยังดินแดนโบราณได้
“ถึงแม้ว่าของสิ่งนี้จะหายาก แต่ท่านก็คงมีอยู่กับตัวกระมัง” ซือหม่าโยวเย่ว์เห็นอูหลิงอวี่ไม่พูดไม่จา จึงขมวดคิ้วมุ่น
“ข้าไม่มีจริงๆ” อูหลิงอวี่ยักไหล่ “ไว้กลับไปข้าจะส่งมาให้เจ้าแล้วกัน”
“ได้” ซือหม่าโยวเย่ว์พยักหน้า ขณะนั้นเธอมิได้นึกถึงว่าเขาสร้างอุโมงค์ทางเดินได้โดยตรง ย่อมไม่ต้องพกของพรรค์นี้ติดตัวอยู่แล้ว
“ท่านน่าจะมีธุระที่ยังทำไม่เสร็จรออยู่ข้างนอกนั่นกระมัง ถ้าหากไม่มีเรื่องอันใดแล้วก็ไปก่อนเถิด” เธอพูดจบก็อุ้มเจ้าคำรามน้อยแล้วหลับตาลง
เธอยังปรับสภาพจิตใจตัวเองได้ไม่สมบูรณ์ จึงอยากอยู่คนเดียวเงียบๆ คิดใคร่ครวญเรื่องราวในอนาคตให้ดีๆ
ตอนนี้ฟื้นคืนความทรงจำในอดีตขึ้นมาได้ ชีวิตของเธอย่อมเกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างแน่นอน เพราะเธอมีเรื่องที่ต้องทำมากมาย
ตระกูลจงเจิ้ง วังหยินหยาง ข้าจะต้องให้พวกเจ้าได้ใช้เลือดล้างเลือดแน่!