สลับชะตา ชายามือสังหาร - ตอนที่ 428 เหนือความคาดหมาย
ซือหม่าโยวเย่ว์จากไปอย่างเรียบง่าย นอกจากผู้อาวุโสในตระกูลแล้วก็มีเพียงครอบครัวของพวกเว่ยจือฉีเท่านั้น คนอื่นๆ ดูเหมือนจะไม่รู้เลยด้วยซ้ำ
ตระกูลเว่ยและตระกูลชวีผสานรวมกับตระกูลอี้หลินอย่างสมบูรณ์แล้ว พลังยุทธ์ของพวกเขาไม่สูงนัก จึงมิอาจขึ้นไปพร้อมกับพวกเว่ยจือฉีได้
มีเพียงแค่ซางมู่อวี่ที่ออกมาเพราะโอวหยางเฟยเท่านั้น ดังนั้นจึงต้องจากไปพร้อมกันกับพวกเขาอย่างแน่นอน นอกจากนี้เพราะการบำเพ็ญในระยะนี้ พลังยุทธ์ของนางจึงพุ่งสูงขึ้นอย่างฉับพล ลัน จนเลื่อนไปถึงระดับจ้าววิญญาณแล้ว
นอกจากพวกเว่ยจือฉีแล้ว คนอื่นๆ ที่ติดตามเธอขึ้นไปก็ยังมีซือหม่าเลี่ยกับสี่พี่น้องซือหม่าโยวหมิง รวมทั้งซือหม่าโยวหลินด้วย
พวกซือหม่าโยวฉิงและซือหม่าโยวหยางก็อยากอยู่ด้วยกัน แต่ซือหม่าไท่บอกว่าจะขึ้นไปด้วยกันทั้งหมดไม่ได้ ไม่อย่างนั้นคนรุ่นเยาว์ก็จะสูญเสียอย่างสาหัส ส่งผลกระทบต่อความก้าวหน้ าของตระกูล รอให้มีคนมาแทนที่พวกเขาในภายภาคหน้าแล้วจึงจะให้พวกเขาจากไป
ถึงแม้ว่าพวกซือหม่าโยวหยางจะไม่พอใจนัก แต่ก็ยังได้แต่อยู่ที่นี่ต่อไป ไว้ค่อยขึ้นไปหาพวกเขาที่โลกเบื้องบนในภายหน้าแล้วกัน
ในวันนี้ เธอเก็บตัวทุกคนเข้าไปไว้ภายในเจดีย์วิญญาณ เพราะด้วยพลังยุทธ์ของเธอในตอนนี้ อุโมงค์ทางเดินที่เปิดโดยการใช้เข็มทิศแยกโลกรองรับเธอได้เพียงคนเดียวเท่านั้น
ซือหม่าไท่ ซือหม่าโยวหยาง ซือหม่าโยวฉิง และซือหม่าโยวหลานมาส่งที่เรือนของเธอ
“หากพวกเจ้าขึ้นไปแล้วต้องการหาพวกเรา จะต้องไปที่หุบเขามารเทพนะ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
“ได้ พวกเราจะไป” ซือหม่าโยวหยางพูด
“โยวเย่ว์ เจ้าต้องรักษาตัวรอให้พวกเราขึ้นไปหาเจ้าด้วยนะ” ซือหม่าโยวฉิงพูดอย่างไม่วางใจอยู่บ้าง
ท่าทีของซือหม่าโยวเย่ว์ในคราวก่อนทำให้นางกังวลใจเหลือเกิน
“เจ้าวางใจเถิด พวกเราจะรอเจ้าอยู่ที่เบื้องบนแน่” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดด้วยรอยยิ้ม
เธอหยิบเข็มทิศแยกโลกออกมาแล้วใส่พลังวิญญาณเข้าไปข้างใน หลังจากนั้นจึงโยนขึ้นไปกลางอากาศ อุโมงค์ทางเดินเส้นหนึ่งเปิดออกที่บริเวณรอบๆ เข็มทิศแยกโลก ก่อนที่เข็มทิศจะร่วงหล่นลง งบนมือเธอ
“พวกเราไปแล้วนะ” เธอมองพวกเขาอย่างไม่อาจตัดใจได้อยู่บ้าง แต่ก็ยังทะยานร่างเข้าไปภายในอุโมงค์ทางเดิน
พวกซือหม่าไท่มองเธอจากไป มองอุโมงค์ทางเดินปิดสนิทลง เมื่อเห็นความยากจะตัดใจได้ในแววตาของพวกซือหม่าโยวหยางจึงเอ่ยว่า “วางใจเถิด ข้าว่าใช้เวลาไม่นาน พวกเจ้าก็ขึ้นไปไ ได้แล้ว”
“อืม ท่านก็ต้องพัฒนาคนวัยเยาว์ขึ้นมาให้เร็วหน่อยล่ะ” ซือหม่าโยวหยางพูด
……
ตอนอูหลิงอวี่มอบเข็มทิศแยกโลกนี้ให้เธอ ก็ได้ระบุตำแหน่งเอาไว้เรียบร้อยแล้วเพียงแค่ใส่พลังวิญญาณเข้าไป ก็จะเปิดอุโมงค์ทางเดินห้วงมิติที่ตรงไปสู่หุบเขามารเทพได้แล้ว
ตอนที่ซือหม่าโยวเย่ว์เข้าสู่อุโมงค์ทางเดินห้วงมิติก็อดรำพึงว่าตนพลังยุทธ์ต่ำต้อยเกินไปมิได้ อุโมงค์ทางเดินห้วงมิติที่สร้างขึ้นมานั้นไม่เสถียรเป็นอย่างยิ่ง
นึกถึงอุโมงค์ทางเดินที่ตนสร้างขึ้นในตอนนั้น ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ดีเป็นพิเศษ แต่ก็มิได้ถึงขนาดสั่นสะเทือนจวนพังเช่นนี้ ดูเหมือนพร้อมจะพังทลายลงได้ตลอดเวลา
นอกจากนี้เพราะความไม่เสถียรของอุโมงค์ทางเดินห้วงมิติ เธอจึงถูกห้วงมิติบีบอัดฉีกทึ้ง เจ็บปวดยากจะทานทน
“ปัง…”
เสียงดังสนั่นแก้วหูแทบแตกดังขึ้นกลางอากาศ ซือหม่าโยวเย่ว์ตะโกนว่าแย่แล้วอยู่ในใจ ยังไม่ทันทำอะไร ทั้งตัวก็เบี่ยงไปจากเส้นทางเดิม
อุโมงค์ทางเดินห้วงมิติที่สร้างไว้ก่อนหน้านี้พังทลาย ตัวเองถูกดึงเข้าไปภายในกระแสอากาศอันปั่นป่วน
โชคดีที่เธอนึกถึงสถานการณ์เช่นนี้เอาไว้ตั้งแต่แรกแล้ว จึงได้เตรียมตัวเอาไว้เป็นอย่างดีตั้งแต่ตอนที่เข้าสู่อุโมงค์ทางเดิน
เธอถือเข็มทิศแยกโลกอันหนึ่งเอาไว้ในมือมาโดยตลอด ซึ่งเข็มทิศนี้ต่างจากอันที่เธอใช้ก่อนหน้านี้ มีขนาดเล็กเท่าไข่นกเท่านั้น
การฉีกทึ้งของห้วงอากาศทำให้ร่างกายของเธออยู่นอกเหนือการควบคุมมากขึ้นเรื่อยๆ โชคดีที่เธอได้ใส่พลังวิญญาณเข้าไปภายในเข็มทิศแยกโลกตอนที่เกิดหายนะ เข็มทิศแยกโลกนั้นเปิดช่องว ว่างหนึ่งขึ้นมาอย่างรวดเร็วแล้วพาเธอออกไปจากห้วงอากาศ
และหลังจากที่เธอออกไปจากห้วงอากาศแล้วก็หมดสติไปอย่างสมบูรณ์…
ภายในทะเลทรายของดินแดนโบราณ ขบวนอูฐขบวนหนึ่งเดินทางอย่างไม่เร็วไม่ช้า
อูฐสามสิบกว่าตัว คนสิบกว่าคนนั่งอยู่บนหลังอูฐ กำลังพูดคุยหัวเราะกันอยู่
“ท่านพ่อ เดินต่อไปอีกครึ่งวันพวกเราก็จะออกจากทะเลทรายนี้ได้แล้ว” หญิงสาวอายุราวยี่สิบปีผู้สวมชุดขี่ม้าสีแดงเพลิง ถักเปียทั่วศีรษะพร้อมติดกระดิ่งเอาไว้บนเปีย กระดิ่งส่ง งเสียงใสกังวานเป็นระยะๆ ตามการเคลื่อนไหวของนาง
ผู้ที่นำขบวนมาคือบุรุษที่ดูอายุราวสามสิบกว่าปีผู้หนึ่ง เมื่อได้ยินคำพูดของบุตรสาวตนจึงยิ้มแล้วเอ่ยว่า “เส้นทางนี้ยังนับว่าสงบปลอดภัยหวังว่าจะราบรื่นตลอดจนกลับไปถึงนะ”
รอยยิ้มของเขาค่อยๆ ตกลงคล้ายนึกอะไรขึ้นมาได้ ความเศร้าโศกคืบคลานขึ้นสู่หว่างคิ้ว
หญิงสาวชุดแดงเห็นท่าทีของบิดาตนจึงเอ่ยว่า “ท่านพ่อ ท่านกำลังกังวลว่าคนตระกูลเจี่ยงจะทำเรื่องชั่วช้าใช่หรือไม่”
“ถ้าคราวนี้พวกเรายังมิอาจส่งส่วยเพิ่มมากขึ้นได้อีก เกรงว่าโถงพยัคฆ์สวรรค์คงจะคุ้มครองพวกเรามิได้อีกแล้วล่ะ” ชายวัยกลางคนพูด
“เฮอะ ก่อนหน้านี้พวกเราก็ได้จัดเตรียมส่วยตั้งมากมาย เพียงแต่ถูกตระกูลเจี่ยงทำเรื่องชั่วช้า หากไม่ปล้นชิงก็ขโมย ไม่อย่างนั้นก็ทำลายทิ้ง ถ้าหากไม่มีพวกเขา พวกเราจะถูกยื่นคำเตือ อนครั้งสุดท้ายหรือ!” หญิงสาวชุดแดงพูด หลังจากนั้นจึงหัวเราะขึ้นมาแล้วเอ่ยว่า “แต่แหล่งปราณที่พวกเราหาพบในคราวนี้ดูไม่เลวเลยน่าจะสามารถใช้การได้ เพียงแค่มอบให้กับโถงพยัคฆ์ส สวรรค์ ก็จะผ่านภยันตรายในครั้งนี้ไปได้แล้ว”
“กลัวแต่ว่าตระกูลเจี่ยงจะรู้ข่าวเรื่องที่พวกเราหาเหมืองเล็กพบแล้วน่ะสิ ข้ากลัวแต่ว่าพวกเขาจะมาช่วงชิงไปอีกครั้ง” ชายวัยกลางคนพูด
“ผู้อาวุโสเผ่า คนที่พวกเราพามาในคราวนี้พลังยุทธ์ไม่ต่ำเลย ถ้าหากตระกูลเจี่ยงคิดจะทำเรื่องชั่วช้าอีก พวกเราจะต้องทำให้พวกเขาได้มาแต่ไม่ได้กลับแน่นอน” ชายอีกคนที่อยู่ด้าน ข้างเอ่ยขึ้น
“เอ๊ะ ท่านพ่อ ตรงนั้นดูเหมือนจะมีคนอยู่นะ” หญิงสาวชุดแดงชี้ไปยังคนที่แทบจะถูกทรายกลบมิดอยู่ใต้พื้นทรายพลางเอ่ยขึ้น
ชายวัยกลางคนมองไป ใต้พื้นทรายมีคนผู้หนึ่งอยู่จริงๆ นอกจากใบหน้าก็ไม่เห็นส่วนอื่นอีกแล้ว
“ผู้อาวุโสเผ่า จะใช่คนตายหรือไม่” ชายที่เอ่ยปากก่อนหน้านี้พูด
“ท่านพ่อ พวกเราลงไปดูกันหน่อยดีกว่า” หญิงสาวชุดแดงกล่าว
“คุณหนู ถ้าหากนั่นคือการซุ่มโจมตีที่ตระกูลเจี่ยงจัดวางไว้จะทำเช่นไรเล่า”
หญิงสาวชุดแดงสะดุ้งแล้วพูดอย่างไม่แน่ใจว่า “คงไม่ใช่กระมัง”
แต่นางก็ไม่แน่ใจเสียแล้ว นางมองบิดาของตน รอการตัดสินใจของเขา
“ที่นี่ไม่เหมาะกับการซุ่มโจมตี ตระกูลเจี่ยงไม่น่ามาอยู่ที่นี่หรอก” ชายวัยกลางคนลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วเอ่ยว่า “ส่งคนลงไปดูหน่อยสิ”
ยามคนหนึ่งลงมาจากหลังอูฐแล้ววิ่งลงไป จากนั้นจึงตะโกนมาทางพวกเขาว่า “ผู้อาวุโสเผ่า เป็นเด็กวัยเยาว์คนหนึ่งขอรับ ดูเหมือนจะได้รับบาดเจ็บสาหัสเลยทีเดียว”
ไม่มีการซุ่มโจมตีจริงๆ ขบวนอูฐจึงหยุดลง เหลือคนเฝ้าเอาไว้ไม่กี่คน ส่วนคนอื่นๆต่างลงมากันหมด
“ท่านพ่อ ดูเหมือนคนผู้นี้จะได้รับบาดเจ็บสาหัส พวกเราช่วยเขาดีกว่า” หญิงสาวชุดแดงมองซือหม่าโยวเย่ว์ที่ถูกยามขุดขึ้นมาจากพื้นทรายพลางขมวดคิ้วแล้วเอ่ยขึ้น
“ผู้อาวุโสเผ่า พวกเรายังไม่กล้าเดินทางผ่านดินแดนนี้ตามลำพัง เหตุใดเด็กวัยเยาว์ผู้หนึ่งถึงได้รับบาดเจ็บอยู่ที่นี่ได้เล่า” มีคนเอ่ยขึ้น ตั้งข้อสังเกตถึงความผิดปกติที่ซือหม่าโ โยวเย่ว์ปรากฏตัวขึ้นที่นี่
“แต่ท่านพ่อ ที่นี่มีคนผ่านไปผ่านมาน้อยมาก ถ้าหากพวกเราไม่ช่วยเขา เกรงว่าเขาคงถูกทรายฝังกลบไปน่ะสิ” หญิงสาวพูดอย่างทนไม่ไหว
ชายวัยกลางคนมองประเมินซือหม่าโยวเย่ว์อย่างละเอียด เขาไม่รู้จักแหวนโลหิตบนมือซ้าย ทั้งยังไม่พบสิ่งอื่นที่ถระบุตัวตนได้ จึงมิอาจแน่ใจในตัวตนของเธอ
ในที่สุดเขาก็ถอนหายใจแล้วพูดว่า “ในเมื่อได้พบแล้ว ก็พาเขาไปด้วยแล้วกัน เมื่อออกจากทะเลทรายเข้าไปถึงตัวเมืองแล้วค่อยปล่อยเขาลง”