สลับชะตา ชายามือสังหาร - ตอนที่ 429 จัวหม่าแห่งตระกูลจัว
เจ็บ…
นี่คือสิ่งที่ซือหม่าโยวเย่ว์รู้สึกได้ชัดเจนที่สุดหลังฟื้นคืนสติมา
ความเจ็บปวดในคราวนี้แทบจะเทียบเคียงได้กับตอนที่ถูกฟ้าผ่าเมื่อคราวก่อนเลยทีเดียว แต่ผลที่ตามมานั้นสาหัสกว่าตอนได้รับบาดเจ็บในคราวก่อนมากนัก
เธอพบว่านอกจากอาการบาดเจ็บบนร่างกายแล้ว เพราะได้รับบาดเจ็บในห้วงอากาศ จึงทำให้การรับสัมผัสต่อห้วงมิติของตนปั่นป่วนไปชั่วขณะด้วย จนเธอถึงกับสูญเสียความเชื่อมโยงกับแหวนเก็บวัตถุและเจดีย์วิญญาณไปเลยทีเดียว!
หรือพูดได้ว่าพวกเป่ยกงถังที่อยู่ข้างในไม่อาจออกมาได้แล้ว!
หัวใจเธอตื่นตระหนกไปชั่วครู่ แต่ตนเองก็อ่อนแอเป็นอย่างยิ่ง ฟื้นขึ้นมาได้แค่ชั่วครู่เท่านั้น ก็ร่วงหล่นลงสู่ความมืดมิดอีกครั้ง
เมื่อสติของเธอฟื้นคืนกลับมา เธอก็รับสัมผัสเจดีย์วิญญาณในทันใด หลังจากที่พบว่าเชื่อมต่อกับมันได้แล้ว เธอจึงค่อยวางใจลง
โชคดีที่แม้ว่าตอนนี้จะยังเปิดเจดีย์วิญญาณและแหวนเก็บวัตถุไม่ได้ แต่อย่างน้อยก็ยังเชื่อมต่อได้แล้ว แสดงว่าตนกำลังฟื้นฟู อีกไม่นานก็น่าจะเปิดเจดีย์วิญญาณได้แล้ว
เธอรู้สึกว่าลำคอที่แห้งผากมีน้ำเย็นหล่อเลี้ยง ร่างกายที่ร้อนรุ่มราวไฟเผาก็สบายขึ้นมาไม่น้อย หนังตาอันหนักอึ้งจึงค่อยๆ ลืมขึ้นมาอย่างช้าๆ
“เจ้าฟื้นแล้วหรือ” น้ำเสียงใสกังวานดังขึ้นข้างกายเธอ
ซือหม่าโยวเย่ว์รู้สึกร่างกายสั่นไหวคล้ายว่าตนอยู่บนรถม้า ใบหน้าตรงหน้างามพิสุทธิ์ ดวงตาทั้งสองระยิบระยับราวกับแสงดาว
เธอยังมิได้เอ่ยวาจา หญิงสาวผู้นั้นก็กระซิบเรื่องที่เธออยากรู้ออกมาเสียแล้ว
“ข้าชื่อจัวหม่า บิดาข้าชื่อจัวหราน เมื่อสองวันก่อนพวกเราพบเจ้าที่ทะเลทราย ตอนนั้นเจ้าเกือบจะถูกทรายกลบฝังทั้งเป็นอยู่แล้ว ตอนนี้พวกเราออกมาพ้นเขตทะเลทรายแล้ว กำลังมุ่งหน้าไปยังเมืองหย่งซิน”
พวกนางเป็นคนช่วยเธออย่างนั้นหรือ
“ขอบคุณนะ” เธอเอ่ยปากพูด น้ำเสียงแหบพร่าไม่น้อย
“เจ้าอย่าเพิ่งพูดเลย ท่านพ่อข้าให้เจ้ากินยาวิเศษแล้ว แต่ระดับขั้นมิได้สูงมาก ดังนั้นร่างกายเจ้าจึงยังไม่สู้ดีนักหรอก” จัวหม่ากล่าว “มา ดื่มน้ำอีกหน่อยสิ”
จัวหม่ายกน้ำมาจ่อที่ปากซือหม่าโยวเย่ว์ แล้วให้เธอดื่มสองคำ
อันที่จริงเมื่อนางเห็นบาดแผลของซือหม่าโยวเย่ว์แล้วก็ตกใจเป็นอย่างยิ่ง บิดาของนางบอกว่าร่างกายของซือหม่าโยวเย่ว์แทบจะถูกฉีกทึ้งไปทั้งร่างอยู่แล้ว ถึงแม้ว่าพวกเขาจะให้เธอกินยาวิเศษแล้ว แต่นั่นเป็นเพียงยารักษาอาการบาดเจ็บขั้นสามเท่านั้น สำหรับบาดแผลที่สาหัสถึงเพียงนี้ จะได้ผลหรือไม่ก็ยังไม่รู้เลย
แต่สองวันมานี้อาการบาดเจ็บของเธอกลับฟื้นฟูอย่างรวดเร็วชนิดที่มองเห็นได้ด้วยตาจนทำให้ทุกคนตกตะลึง แม้กระทั่งจัวหรานก็ยังอุทานว่าน่าอัศจรรย์นัก
ซือหม่าโยวเย่ว์ดื่มน้ำ จัวหม่าอยากพูดอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายก็มิได้พูด เพียงแค่เอ่ยว่า “เจ้าพักผ่อนให้ดีๆ เถิด พวกเรายังมีเวลาอีกหลายวันกว่าจะไปถึงเมืองหย่งซิน ข้าออกไปก่อนละนะ”
พอพูดจบนางก็ยิ้มให้ซือหม่าโยวเย่ว์ก่อนจะเปิดม่านรถออกไป
ซือหม่าโยวเย่ว์รอให้นางออกไปแล้วจึงลองรับสัมผัสการเชื่อมต่อกับเจดีย์วิญญาณอีกครั้ง หลังแน่ใจแล้วว่าไม่มีปัญหาอะไรจึงค่อยเก็บความนึกคิดกลับมาแล้วนึกย้อนไปถึงเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้
ตั้งแต่ห้วงมิติเกิดความเปลี่ยนแปลง จนถึงตอนที่เธอแหวกห้วงอากาศออกมานั้นเกิดก่อนหลังห่างกันแค่ไม่ถึงหนึ่งนาที แต่ตนกลับได้รับบาดเจ็บสาหัสถึงเพียงนี้ นอกจากนี้สภาพกายของเธอประสบกับการเคี่ยวกรำในช่วงหลายปีมานี้จนเทียบเคียงได้กับสัตว์อสูรวิเศษ แข็งแกร่งกว่ามนุษย์ทั่วไปไม่รู้กี่เท่า ถ้าหากเป็นมนุษย์คนอื่น เกรงว่าคงถูกฉีกกระจุยไปตั้งแต่ชั่วขณะนั้นแล้ว
โชคดีที่เธอถือเข็มทิศแยกโลกเอาไว้ในมือตั้งแต่แรก ปฏิกิริยาตอบสนองก็ว่องไว ตอนที่ได้ยินเสียงนั้นก็ปล่อยพลังวิญญาณออกมาในทันใด ถ้าหากเธอไม่ได้เตรียมตัวไว้ล่วงหน้าก่อน และไม่ได้มีปฏิกิริยาตอบสนองที่รวดเร็วเช่นนั้น เกรงว่าเธอก็คงออกมาไม่ได้เสียแล้ว
เมื่อนึกถึงเสียงนั้นเธอก็รู้สึกอัศจรรย์ใจอยู่บ้าง ฟังจากเสียงนั้นน่าจะมีคนกำลังต่อสู้กันอยู่ ซึ่งการต่อสู้ที่ส่งผลกระทบต่อห้วงอากาศได้นั้น จะต้องเป็นคนระดับใดที่กำลังต่อกรกันอยู่เล่า
ถึงแม้ว่าตนจะอยู่ภายในห้วงอากาศเป็นเวลาเพียงแค่นาทีเดียวเท่านั้น แต่กลับไม่รู้ว่าระยะทางเบี่ยงเบนไปมากน้อยเพียงใด นอกจากนี้ก็ไม่รู้ว่าเบี่ยงเบนไปยังบริเวณใด ดังนั้นตอนนี้เธอจึงมิอาจคาดการณ์ระยะห่างจากหุบเขามารเทพได้เลย
หลังจากจัวหม่าออกไปแล้ว เธอก็ได้ยินนางพูดคุยกับจัวหรานที่นั่งอยู่บนรถเทียมสัตว์อสูรด้วยกัน
“ท่านพ่อ เขาฟื้นแล้วละ” จัวหม่าพูด
“อาการของเขาเป็นเช่นไรบ้าง” จัวหรานถาม
“ฟื้นฟูขึ้นมาไม่น้อยแล้ว” จัวหม่าเอ่ยตอบ “ด้วยความเร็วมากกว่าที่ข้าเคยเห็นมาทั้งชีวิตเลย”
“ท่านประมุขตระกูล อีกสองวันก็จะถึงเมืองหย่งซินแล้ว พอถึงตอนนั้น พวกเราส่งเขาไปที่โรงเตี๊ยมก็พอแล้วกระมัง” จัวหยางพูด
“อืม พอผ่านเมืองหย่งซินไปก็จะเป็นอาณาเขตของตระกูลเจี่ยงแล้ว ถ้าหากพาเขาไปด้วย อาจจะทำให้เขาต้องพลอยลำบากไปด้วยก็ได้” จัวหรานพูด
“แต่ท่านพ่อ เขามีรูปโฉมน่ามองถึงเพียงนั้น และเจ้าเมืองหย่งซินนั่นก็ยิ่งชอบพอบุรุษอยู่ด้วย เขาได้รับบาดเจ็บสาหัสนัก ถ้าหากพวกเราทิ้งเขาไว้ในเมืองก็คงไม่ดีเท่าไหร่นักกระมัง” จัวหม่าพูดอย่างไม่เห็นด้วย
“แต่เมื่อวานพวกเราเพิ่งได้ข่าวมาว่าตระกูลเจี่ยงกำลังสกัดพวกเราอยู่ระหว่างทาง ถ้าหากพวกเราพาเขาไปด้วย จะไม่กลายเป็นตัวถ่วงหรอกหรือ หรืออาจถูกเขาถ่วงจนตาย แล้วจะทำเช่นไรเล่า” จัวหยางพูด
“จัวหยาง เจ้าหุบปากเสีย!” จัวหม่าตวาดเสียงต่ำ “เขาเป็นคนที่พวกเราช่วยเอาไว้ แล้วเจ้ามาพูดจาเช่นนี้ได้อย่างไร ถ้าหากพวกเราต้องตายไปจริงๆ เช่นนั้นก็เป็นเพราะพวกเราด้อยความสามารถเอง จะไปโทษผู้อื่นได้อย่างไรกัน!”
“จัวหยาง ศิษย์พี่หญิงของเจ้าพูดได้ถูกต้อง เจ้าอย่าไปพูดเช่นนี้ต่อหน้าผู้อื่นเขาล่ะ” จัวหรานพูด “ใช่แล้ว คุณชายผู้นี้ชื่ออะไรหรือ”
“ไอ้หยา ข้าลืมถามไปเลย” จัวหม่าตีหน้าผากคราหนึ่งแล้วเอ่ยอย่างกังวลใจ
“เฮอะ ข้ามิได้พูดพล่ามไร้สาระเสียหน่อย” จัวหยางพูด “คนผู้นั้นปรากฏตัวขึ้นกลางทะเลทรายอันร้างไร้ผู้คนอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย นอกจากนี้พวกเรายังสัมผัสระลอกคลื่นพลังวิญญาณบนร่างเขามิได้อีกด้วย แสดงว่าเขาต้องมิใช่ปรมาจารย์วิญญาณ พวกเราพาคนธรรมดาผู้หนึ่งมา หากมิใช่เป็นตัวถ่วงแล้วจะเป็นอะไรได้อีกเล่า”
“จัวหยาง เจ้ารักตัวกลัวตาย ก็หนีไปเสียตอนนี้เลยสิ อย่ามาอยู่กับพวกเราอีก!” จัวหม่าพูดอย่างโมโห
จัวหยางคือศิษย์น้องของจัวหม่า ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้ความสัมพันธ์ระหว่างศิษย์พี่น้องทั้งสองจะไม่ดีนัก แต่ก็ไม่เคยด่าว่าเขาเช่นนี้มาก่อนเลย ตอนนี้ถึงกับตะคอกเขาเพราะคนนอกคนหนึ่ง ทำเอาเขาเป็นฟืนเป็นไฟขึ้นมาในทันใด
“เขามันก็แค่ไอ้หน้าขาวคนหนึ่งเท่านั้น เหตุใดท่านจึงต้องปกป้องเขาถึงขนาดนี้ด้วยเล่า ข้าก็แค่คิดถึงความปลอดภัยของทุกคนเท่านั้นเอง! ท่านคิดจะทำร้ายชีวิตทุกคนเพียงเพราะไอ้หน้าขาวคนหนึ่งอย่างนั้นหรือ”
“เจ้าพูดจาเหลวไหล!” เพลิงโทสะของจัวหม่าลุกโชนขึ้นมาแล้วเอ่ยว่า “ถึงอย่างไรก็ไม่มีทางปล่อยเขาทิ้งไว้ที่เมืองหย่งซินแน่! ข้าไม่เห็นด้วย”
จัวหรานคิดไม่ถึงว่าบุตรสาวของตนจะยืนกรานเช่นนี้ จึงคิดใคร่ครวญแล้วเอ่ยว่า “เช่นนี้แล้วกัน พวกเราผ่านเมืองหย่งซินไปยังสถานที่สักแห่งค่อยปล่อยเขาลงแล้วกันนะ”
“เฮอะ…” จัวหม่าส่งเสียงเฮอะเยียบเย็น นับได้ว่าเห็นด้วยกับความคิดของจัวหราน เมื่อนึกขึ้นมาได้ว่าหากอยู่ข้างนอกก็จะต้องเห็นใบหน้าของจัวหยาง นางจึงเปิดประตูรถเข้าไป
คิดไม่ถึงว่าซือหม่าโยวเย่ว์มิได้นอนหลับอยู่ เมื่อเห็นแววตาเข้าใจของเธอ จัวหม่าจึงรู้สึกผิดอยู่บ้าง แล้วเอ่ยว่า “เรื่องนั้น ศิษย์น้องผู้นี้ของข้าก็มีนิสัยเช่นนี้แหละ เจ้าอย่าไปใส่ใจเขาเลย”
“ซือหม่าโยวเย่ว์” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
“หืม” จัวหม่าสะดุ้งคราหนึ่ง ถึงค่อยเข้าใจว่าซือหม่าโยวเย่ว์กำลังพูดชื่อตัวเองอยู่ จึงยิ้มแล้วเอ่ยว่า “โยวเย่ว์ เจ้ามาปรากฏตัวในทะเลทรายได้อย่างไรกัน แล้วได้รับบาดเจ็บได้อย่างไร บ้านช่องเจ้าอยู่ที่ไหนหรือ”
ถึงแม้ว่าหลังจากเห็นแววตาทั้งสองของซือหม่าโยวเย่ว์แล้วจะรู้ว่าเธอเป็นคนดี แต่ก็ยังอยากรู้สาเหตุที่เธอได้รับบาดเจ็บอยู่ดี
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าหุบเขามารเทพอยู่ไกลจากที่นี่ไหม” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม
“หุบเขามารเทพหรือ ที่นี่ไม่มีหุบเขามารเทพเสียหน่อย” จัวหม่าเอ่ยตอบ
……………………………………