สลับชะตา ชายามือสังหาร - ตอนที่ 439 ไปเป็นแขก
คนตระกูลจัวได้ฟังคำพูดของโจวซู่เหรินแล้วอดเบ้ปากไม่ได้ คนผู้นี้ช่างหน้าไม่อายเสียจริง เมื่อครู่ยังโวยวายจะให้คนจัดการซือหม่าโยวเย่ว์อยู่เลย เพียงพริบตาเดียวก็เลียแข้งเ เลียขาเช่นนี้เสียแล้ว
“เชิญข้าไปเป็นแขกอย่างนั้นหรือ” เสียงของซือหม่าโยวเย่ว์ดังลอยมา คล้ายกับไม่เชื่ออยู่บ้าง ทั้งยังเกิดความรู้สึกอยากไปดูสักหน่อยด้วย
โจวซู่เหรินฟังน้ำเสียงเช่นนี้ของเธอแล้วก็รู้ว่ามีอะไรแฝงอยู่ จึงรีบพูดว่า “ถูกต้อง ท่านปรมาจารย์มาถึงสันเขาพยัคฆ์สวรรค์ สำนักพยัคฆ์สวรรค์ของเราก็ต้องทำหน้าที่เจ้าบ้านอย่างส สุดความสามารถ ขอเชิญท่านไปพักกับพวกเราที่นั่นสักสองสามวันขอรับ”
“ข้าได้ยินมาว่าสำนักพยัคฆ์สวรรค์เป็นขุมอำนาจที่ใหญ่ที่สุดในสันเขาพยัคฆ์สวรรค์แล้ว ก็เคยคิดอยากจะไปดูอยู่ เดิมทีคิดจะรอให้ถึงตอนที่ตระกูลจัวไปส่งส่วยแล้วไปดูพร้อมกันกับ พวกเขา…”
“ท่านปรมาจารย์อยากไป จำเป็นต้องรอให้ถึงเวลาส่งส่วยเสียที่ไหนกันเล่าขอรับ จะไปตอนนี้เลยก็ได้” โจวซู่เหรินพูด “ข้าพาท่านปรมาจารย์ไปที่สำนักพยัคฆ์สวรรค์ได้นะขอรับ”
“เจ้าหรือ เจ้ามิได้ต้องมาที่นี่เพื่อตรวจสอบกิจธุระของสำนักพยัคฆ์สวรรค์หรอกหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดอย่างสงสัย
“เอ่อ… เรื่องนี้… เรื่องเหล่านั้นจะปล่อยไปก่อนก็ได้ การพาท่านปรมาจารย์ไปยังสำนักพยัคฆ์สวรรค์ต่างหากจึงจะเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด”
“ไม่ต้องรีบร้อน สองวันนี้ข้ายังมีธุระต้องทำ เจ้าไปจัดการธุระของเจ้าก่อนก็ได้ อีกสองวันให้หลังพวกเราค่อยออกเดินทางไปยังสำนักพยัคฆ์สวรรค์กัน” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
“เรื่องนี้…” โจวซู่เหรินลังเลอยู่บ้าง ถ้าหากซือหม่าโยวเย่ว์หนีไปในช่วงสองวันนี้จะทำเช่นไร
“เอี๊ยด…”
ประตูห้องถูกเปิดออก ซือหม่าโยวเย่ว์ออกมาจากข้างใน เมื่อเห็นปรมาจารย์ค่ายกลที่พูดถึงกันเป็นเจ้าเด็กน้อยที่เยาว์วัยถึงเพียงนี้ โจวซู่เหรินก็รู้สึกยากจะเชื่ออย่างเห็นได้ชัด ด
“เจ้าสำนักโจวไปจัดการธุระของเจ้าอย่างสบายใจได้เลย สองวันนี้ข้าจะอยู่ที่ตระกูลจัว อีกสองวันให้หลังก็รบกวนพาข้าไปเที่ยวชมสำนักพยัคฆ์สวรรค์ด้วยแล้วกัน” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “ระยะเวลาสองวันเพียงพอหรือไม่”
“พอแล้วขอรับๆ เช่นนั้นอีกสองวันข้าค่อยมาใหม่” โจวซู่เหรินรับคำ “ขอลาก่อน”
เขาคารวะซือหม่าโยวเย่ว์ก่อนจะพาคนของตนจากไป
ถึงแม้ว่าเขาจะอยากพาซือหม่าโยวเย่ว์ไปทันที แต่ก็รู้สึกว่ามิอาจแสดงออกชัดเจนจนเกินไปได้ ถ้าหากเขาจับสังเกตได้แล้วไม่ไปพร้อมกับตน เช่นนั้นก็คงวุ่นวาย
พอออกจากประตูใหญ่ตระกูลจัวแล้ว โจวซู่เหรินก็ออกคำสั่งในทันทีว่า “พวกเจ้าสองคนเฝ้าอยู่ที่นี่ก่อน ให้แน่ใจว่าเขาจะไม่หนีไป”
“ท่านเจ้าสำนัก พวกเราจะพาเขาไปที่สำนักพยัคฆ์สวรรค์จริงๆ หรือขอรับ” สารถีผู้นั้นเอ่ยถาม
“จะเป็นไปได้อย่างไรกัน!” ติงซานเขกศีรษะสารถีแล้วพูดว่า “ตอนนี้คนผู้นั้นอยู่ภายในค่ายกล พวกเราหมดหนทางจะทำอะไรเขาได้ รอให้เขาออกมาจากค่ายกลก่อน เช่นนั้นก็ตกอยู่ในกำมื อพวกเราแล้วมิใช่หรือ”
“อ้อ ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เองหรือขอรับ” สารถีพยักหน้าอย่างเข้าใจ
“พวกเจ้าทั้งสองเฝ้าคนเอาไว้ให้ดีล่ะ ห้ามให้เกิดความผิดพลาดใดๆ ขึ้นมาเป็นอันขาด ถ้าหากสองวันให้หลังข้าหาตัวคนไม่พบ ข้าจะลากคอพวกเจ้าสองคนมาถาม” โจวซู่เหรินพูดจบแล้วขึ้นร รถเทียมสัตว์อสูรของตน ให้สารถีเคลื่อนรถจากไป
พอโจวซู่เหรินจากไปแล้ว จัวหรานจึงมองซือหม่าโยวเย่ว์อย่างเป็นกังวลพลางเอ่ยว่า “ต้องขอโทษด้วยจริงๆ พวกเราก็ไม่รู้เช่นกันว่าโจวซู่เหรินจะมาที่นี่”
“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับพวกเจ้าเลย ไม่ต้องโทษตัวเองหรอก” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
“โยวเย่ว์ เจ้าจะไปสำนักพยัคฆ์สวรรค์กับพวกเขาจริงๆ หรือ” จัวหม่าถาม
ซือหม่าโยวเย่ว์พยักหน้า
“โยวเย่ว์ โจวซู่เหรินผู้นี้จิตใจคับแคบ คราวนี้เจ้าล่วงเกินเขา ถ้าหากยังไปกับเขาอีก เกรงว่าจะเป็นอันตรายได้ เจ้าอยากไปที่เมืองใหญ่ มิสู้รอให้ถึงเวลาที่พวกเราไปส่งส่วยแล้วค ค่อยไปพร้อมกันดีกว่า” จัวหรานพูดอย่างไม่เห็นด้วย
“ไม่ต้องหรอก ถ้าหากข้าไม่ไป เกรงว่าสำนักพยัคฆ์สวรรค์คงไม่มีทางละเว้นพวกเจ้าอย่างแน่นอน” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “นอกจากนี้ข้ายังอยากออกไปฟังข่าวคราวข้างนอกให้เร็วหน่อยด้วย”
“เช่นนั้นก็ดี” เมื่อได้ฟังซือหม่าโยวเย่ว์พูดเช่นนี้ พวกจัวหรานก็ไม่ดึงดันต่อ
ในช่วงสองวันนี้ ซือหม่าโยวเย่ว์ได้ติดตั้งค่ายกลคุ้มกันให้กับตระกูลจัว ซึ่งแน่นอนว่ามีการเก็บเงินด้วย
ไม่ง่ายเลยกว่าตระกูลจัวจะได้พบกับปรมาจารย์ค่ายกลสักคนหนึ่ง ทั้งยังเป็นปรมาจารย์ค่ายกลที่มีฝีมือสูงส่งถึงเพียงนี้ด้วย พวกเขาย่อมต้องคว้าโอกาสเอาไว้ให้มั่น ถึงแม้ว่าราคาจ จะค่อนข้างสูงพอสมควร แต่ต่อให้ต้องหยิบยืมก็ต้องยืมมาทำให้ได้
ไม่อย่างนั้นหากเขาจากไปแล้ว ต่อไปพวกตนจะหาปรมาจารย์ค่ายกลมาจากไหนได้อีกเล่า!
และที่ซือหม่าโยวเย่ว์อยากจะรออีกสักสองวันก็เพราะอยากลองดูว่าเจดีย์วิญญาณจะมีความเปลี่ยนแปลงอะไรบ้างหรือไม่ เจ้าคำรามน้อยออกมาได้ เช่นนั้นสัตว์อสูรผูกพันธสัญญาตนอื่นๆ ก็ น่าจะใกล้แล้ว
นอกจากนี้การเชื่อมโยงระหว่างเธอกับเจดีย์วิญญาณก็ฟื้นฟูขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ระยะเวลาสองวันก็น่าจะเกิดความเปลี่ยนแปลงมากพอสมควร
ผลปรากฏว่าสองวันให้หลัง เธอก็เรียกสัตว์อสูรผูกพันธสัญญาทั้งหมดออกมาได้แล้ว มีพวกเจ้าไก่ฟ้าอยู่ ต่อให้เธอต้องบุกเข้าถ้ำเสือเธอก็มีความมั่นใจ
ระยะเวลาสองวันมาถึง โจวซู่เหรินก็มายังตระกูลจัว และได้รู้จากผู้ใต้บังคับบัญชาของตนว่าซือหม่าโยวเย่ว์มิได้ก้าวออกจากตระกูลจัวเลยแม้แต่ครึ่งก้าว จึงค่อยคลายใจลง
ซือหม่าโยวเย่ว์อุ้มเจ้าคำรามน้อยออกมาจากบ้านตระกูลจัว พอออกจากประตูก็เห็นท่าทีประจบประแจงของโจวซู่เหริน
เธอบอกลาพวกจัวหรานอย่างง่ายๆ ก่อนจะเข้าไปในรถม้าของโจวซู่เหริน
โจวซู่เหรินก็เข้ามาด้วยแล้วปิดประตูอย่างลวกๆ สารถีผู้นั้นขับรถจากไป
“เจ้าสำนักโจว ดีร้ายอย่างไรเจ้าก็เป็นประมุขสำนักหนึ่ง เหตุใดแม้กระทั่งสัตว์อสูรบินได้สักตนก็ไม่มีเลยหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดพลางเอื้อมมือไปลูบหลังเจ้าคำรามน้อย
“ท่านปรมาจารย์คงจะไม่ทราบว่านักฝึกสัตว์อสูรหายากยิ่งนัก ที่นี่ไม่มีนักฝึกสัตว์อสูรมานานมากแล้ว ดังนั้นจึงมีเพียงแค่บรรดาเจ้าสำนักคนก่อนๆ เท่านั้นที่มีสัตว์อสูรบินได้” ถึง งแม้ว่าโจวซู่เหรินจะไม่พอใจ แต่ก็ยังอธิบายด้วยรอยยิ้ม “อันที่จริงในสำนักก็มีอยู่ แต่ตอนที่ข้าออกมาก็มิได้รีบนัก จึงมิได้ขี่สัตว์อสูรบินได้ และระยะเวลาสองวันก็ไม่เพียงพ พอให้ข้ากลับไปด้วย”
ซือหม่าโยวเย่ว์ความคิดวิ่งวน ไม่มีนักฝึกสัตว์อสูรมาที่นี่นานแล้วอย่างนั้นหรือ เป็นเพราะนักฝึกสัตว์อสูรที่ดินแดนแห่งนี้มีน้อยเกินไป หรือเป็นเพราะที่นี่ห่างไกลเกินไปกันแ แน่
“จากที่นี่ไปยังสำนักพยัคฆ์สวรรค์ต้องใช้ระยะเวลาเท่าใดหรือ”
“ราวๆ ยี่สิบวัน”
ซือหม่าโยวเย่ว์มือไม้สั่น ยี่สิบวัน ผู้คนที่เบื้องบนนี่ช่างมีอายุขัยยืนยาว ไม่กลัวสิ้นเปลืองเวลากันเสียบ้างเลย!
เธอไม่อยากสิ้นเปลืองเวลายาวนานถึงขนาดนั้นหรอก
นอกจากนี้เธอยังไม่รู้สึกว่าโจวซู่เหรินจะให้เวลายาวนานขนาดนั้นกับตนได้ด้วย ตอนนี้เขายังเคารพนบนอบต่อตนอยู่ ก็เพราะยังไม่รู้ความสามารถทั้งหมดของตนคิดว่าผ่านไปอีกไม่นาน เขาก็คงจะลงมือกับตนแล้ว
ก็เหมือนกับที่เธอคาดการณ์เอาไว้ โจวซู่เหรินมักจะอาศัยการสนทนาเป็นข้ออ้างในการหยั่งเชิงเธอ ทว่าเธอก็มิได้พูดให้ชัดเจน เพียงแค่พูดถึงเรื่องของตัวเองตามคำถามของเขาเท่านั้ น อย่างเช่นการขึ้นมาจากโลกเบื้องล่าง การได้รับบาดเจ็บแล้วพลังยุทธ์ยังไม่ฟื้นฟู อะไรเช่นนี้เป็นต้น
โจวซู่เหรินเห็นว่าเธอไม่ได้โกหก หลังจากได้รู้พลังยุทธ์ของเธอแล้วก็กระหยิ่มยิ้มย่องในใจเป็นอย่างยิ่ง
ขึ้นมาจากโลกเบื้องล่าง นั่นก็หมายความว่าไม่มีขุมอำนาจหนุนหลังอยู่ ถ้าหากสังหารเขา ก็จะไม่นำพาความเดือดร้อนมาให้
ได้รับบาดเจ็บ พลังยุทธ์ยังไม่ฟื้นฟู ก็แปลว่านอกจากค่ายกลแล้ว เขาก็ไม่มีพลังการต่อสู้อื่นใดอยู่อีก ขอเพียงแค่ตนไม่ปล่อยให้เขาสร้างค่ายกลได้ก็เพียงพอแล้ว
พวกเขาเดินทางมาตลอดเจ็ดแปดวัน หลังจากที่โจวซู่เหรินแน่ใจว่าซือหม่าโยวเย่ว์ไม่มีพลังการต่อสู้จริงๆ แล้ว จึงเผยโฉมหน้าที่แท้จริงออกมาในที่สุด
ตอนนั้นพวกเขากำลังพักผ่อนอยู่ภายในหุบเขาแห่งหนึ่ง โจวซู่เหรินให้ผู้ใต้บังคับบัญชาของตนสามคนล้อมซือหม่าโยวเย่ว์เอาไว้ ใบหน้าเผยแววเหี้ยมโหด หมายจะสังหารเธอเสียที่นี่
ซือหม่าโยวเย่ว์มิได้ตื่นตระหนก เธอยิ้มพลางพูดว่า “ข้าคิดว่าเจ้าจะลงมือตั้งแต่ออกจากตระกูลจัวมาสองสามวันแล้ว คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะระแวดระวัง รอมานานหลายวันเช่นนี้ แต่ข้าก็ต้อ องการระยะเวลาหลายวันนี้อยู่พอดี ยังต้องขอบใจเจ้าจริงๆ”