สลับชะตา ชายามือสังหาร - ตอนที่ 12 หีบที่ท่านพ่อทิ้งเอาไว้ให้
ซือหม่าโยวเย่ว์มองดูหีบตรงหน้าตนด้วยความอยากรู้อยากเห็นอยู่บ้างว่าด้านในจะเป็นสิ่งของใด แต่ในใจกลับมีความลังเลอยู่บ้าง ผ่านไปเนิ่นนานก็ยังไม่ได้เปิดมันออก คล้ายกับว่าเมื่อเธอเปิดสิ่งนี้ออกมาแล้วจะต้องเดินบนเส้นทางที่ไม่มีวันหวนกลับมาได้อีกอย่างไรอย่างนั้น
“เอาละ ในเมื่อเป็นสิ่งที่ท่านพ่อทิ้งเอาไว้ให้ จะไม่เปิดดูก็คงไม่ได้หรอก” ซือหม่าโยวเย่ว์หยิบหีบขึ้นมาแล้วเปิดสลักด้านบนก่อนจะออกแรงเปิดหีบออก
ภายในหีบมีแหวนที่มีกลิ่นอายโบราณวงหนึ่ง กระดาษหนังวัวแผ่นหนึ่ง และยังมีก้อนหินสีดำขลับอีกก้อนหนึ่งวางอยู่อย่างเงียบๆ เธอหยิบกระดาษหนังวัวขึ้นมาแล้วเปิดออกดู มันคล้ายกับแผนที่ของสถานที่แห่งหนึ่ง บนนั้นมีเส้นทางและสถานที่ตั้งของบ้านวาดอยู่เป็นจำนวนไม่น้อย ซือหม่าโยวเย่ว์มองแล้วมองอีกก็ยังไม่เห็นร่องรอยอะไรในนั้นเลย จากนั้นเธอก็วางสิ่งนี้กลับลงไปในหีบ กลับเห็นซองจดหมายอันหนึ่งวางอยู่ตรงที่เคยวางกระดาษหนังวัว
“นี่มันอะไรกัน”
ซือหม่าโยวเย่ว์หยิบซองจดหมายขึ้นมาแล้วก็เห็นว่าด้านบนเขียนว่า ‘ถึงบุตรสาวของข้าเท่านั้น’ เธอเปิดซองจดหมายออกแล้วก็เห็นว่าด้านในมีกระดาษบางๆ อยู่แผ่นหนึ่ง เธอจึงเปิดออกดู
หลังจากที่อ่านเนื้อความในจดหมายทั้งหมดอย่างรวดเร็วแล้วสีหน้าก็แปรเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม
เนื้อความในจดหมายไม่ยาวนัก พอซือหม่าโยวเย่ว์อ่านจบแล้วจึงวางจดหมายลงก่อนจะหยิบแหวนกลิ่นอายโบราณวงนั้นขึ้นมา ในจดหมายบอกว่าแหวนวงนี้คือสัญลักษณ์ประจำตระกูล เป็นแหวนเก็บวัตถุที่หาได้ยากยิ่ง นอกนั้นก็มิได้พูดอะไรมากมาย ถ้าหากนี่เป็นสิ่งที่สืบทอดกันลงมาภายในตระกูลจริงๆ แล้วเหตุใดซือหม่าเลี่ยจึงไม่รู้เล่า เธอรู้สึกว่าชาติกำเนิดของตนจะต้องมิได้เป็นอย่างที่เห็นอยู่ในตอนนี้แน่นอน
เธอวางแหวนลง ตอนนี้เธอยังไม่มีพลังวิญญาณ ย่อมไม่อาจหยดโลหิตแสดงความเป็นเจ้าของได้
เธอเคลื่อนนิ้วมือผ่านกระดาษหนังวัวแล้วก็ชะงัก ดวงตาหรี่ลงเล็กน้อย บิดาที่ไม่ได้เกี่ยวข้องทางสายโลหิตบอกว่านี่คือแผนที่ของสถานที่ที่มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง ห้ามให้ผู้อื่นรู้เป็นอันขาดว่าอยู่กับตน
กระดาษหนังวัวนี้ดูเก่าคร่ำคร่าอยู่พอสมควร จะต้องอยู่มาเป็นเวลานานอย่างแน่นอน แต่กลับดูไม่ออกเลยแม้แต่น้อยว่าแผนที่บนนั้นเป็นแผนที่ของสถานที่แห่งใด นอกจากนี้ยังไม่มีคำใบ้ใดๆ เลยแม้แต่น้อยอีกด้วย
“ก็แค่กระดาษขาดๆ แผ่นหนึ่ง บิดาที่ไม่ได้เกี่ยวข้องทางสายโลหิตเอ๋ย อย่างน้อยท่านก็ควรจะบอกข้าสักหน่อยสิว่านี่มันเป็นแผนที่ของที่ไหนกัน ไม่อย่างนั้นข้าเอามาแล้วจะมีประโยชน์อะไรเล่า” ซือหม่าโยวเย่ว์ส่ายหน้าพลางทอดถอนใจ ไม่รู้ว่าบิดาที่ไม่ได้เกี่ยวข้องทางสายโลหิตจะทำลับๆ ล่อๆ เช่นนี้ไปทำไมกัน
สุดท้ายเธอก็หยิบก้อนหินสีดำสนิทขึ้นมาวางบนอุ้งมือแล้วมองดูอย่างละเอียด ก็ยังมองไม่ออกเลยแม้แต่น้อยถึงความเป็นวัตถุเทพโบราณที่เขียนบอกในจดหมาย
“ดูดำสนิทเหมือนตุ้มน้ำหนักอันหนึ่ง เป็นวัตถุเทพโบราณจริงๆ น่ะหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์กะน้ำหนักดูแล้วเอ่ยว่า “บิดาที่ไม่ได้เกี่ยวข้องทางสายโลหิตบอกว่าวัตถุเทพโบราณนี้จะแสดงความเป็นเจ้าของได้ก็ต้องได้รับการยอมรับจากมันก่อน เป็นไปได้หรือไม่ว่าเราทั้งสองไม่เข้ากัน ดังนั้นข้าจึงยังไม่พบข้อดีของเจ้าเลย”
ซือหม่าโยวเย่ว์วางก้อนหินกลับลงไป จากนั้นก็เก็บหีบขึ้น เตรียมตัวบำเพ็ญ ขอเพียงแค่กลายเป็นผู้ฝึกวิญญาณ เธอก็จะหยดโลหิตแสดงความเป็นเจ้าของกับแหวนเก็บวัตถุได้แล้ว ถึงตอนนั้นเธอก็จะได้เห็นว่าภายในยังมีอะไรอยู่อีกบ้าง เธอยังมีความสนใจใคร่รู้ต่อแหวนที่ท่านพ่อทิ้งเอาไว้ให้วงนี้เป็นอย่างมากเลยทีเดียว
เธอลูบคลำแหวนมนตร์บนนิ้ว หัวใจบอกว่าแหวนเก็บวัตถุนี้ช่างยุ่งยากนัก จะต้องบำเพ็ญแล้วจึงจะแสดงความเป็นเจ้าของได้ ถ้าหากเป็นเหมือนแหวนมนตร์นี้ได้ก็ดีน่ะสิ!
เวลาผ่านไปหนึ่งวัน เธอก็ยังไม่อาจดูดซับปราณวิญญาณเหล่านั้นเข้าไปในร่างกายได้ แต่ใช้เวลารับสัมผัสปราณวิญญาณมาตลอดหนึ่งวัน คราวนี้เธอสังเกตอย่างละเอียดรอบหนึ่ง สิ่งที่เธอรับสัมผัสได้นั้นเป็นจุดแสงที่มีครบทุกสีจริงๆ เพียงแต่ว่ามีบางสีที่มากหน่อย บางสีน้อยหน่อยเท่านั้นเอง จุดแสงเหล่านั้นเริงระบำอยู่รอบกายไม่หยุดคล้ายกับว่าสามารถสัมผัสถึงซือหม่าโยวเย่ว์ได้ด้วย ดูราวกับว่าอยากจะเจาะเข้ามาในร่างกายเธออย่างไรอย่างนั้น
ก่อนมื้ออาหารเย็น ซือหม่าโยวเย่ว์ก็ออกจากการเพ่งสมาธิ คาดว่าคงใกล้ถึงเวลาแล้ว ตอนนี้พี่ชายทั้งหลายก็น่าจะกลับมาเรียบร้อยแล้ว
“คุณชายเจ้าคะ คุณชายสี่กลับมาแล้ว กำลังรอท่านอยู่ที่โถงรับแขกเจ้าค่ะ” อวิ๋นเย่ว์พูดอยู่นอกประตู
“ข้ารู้แล้ว บอกเขาทีนะว่าข้าจะไปเดี๋ยวนี้แหละ” ซือหม่าโยวเย่ว์ลุกขึ้นมาจากเตียงแล้วออกคำสั่งกับอวิ๋นเย่ว์
“เจ้าค่ะ” อวิ๋นเยว่รับคำเสียงหนึ่งแล้วก็จากไป
ซือหม่าโยวเย่ว์วางหีบเอาไว้ใต้หมอน เธอที่กำลังรีบร้อนออกไปมิได้สังเกตเห็นเลยว่าภายในหีบเปล่งประกายออกมาจำนวนหนึ่ง
“ท่านพี่สี่ ท่านกลับมาแล้วหรือ” พอซือหม่าโยวเย่ว์มาถึงโถงรับแขกแล้วก็เห็นซือหม่าโยวเล่อกำลังดื่มชาอยู่ที่นั่น
ซือหม่าโยวเล่อเห็นซือหม่าโยวเย่ว์เข้ามาจึงวางถ้วยชาลงแล้วเอ่ยว่า “ข้ามาเรียกเจ้าไปกินข้าวน่ะ”
“ท่านให้เด็กมาเรียกข้าสักคำหนึ่งก็พอแล้ว ทำไมต้องอุตส่าห์มาถึงนี่ด้วยตัวเอง” ซือหม่าโยวเย่ว์ได้ยินเขาบอกว่ามาเพื่อเรียกตนไปกินข้าว จึงไม่เดินเข้าไปด้านในอีกแล้วยืนพูดอยู่ตรงหน้าประตูว่า “เช่นนั้นพวกเราก็ไปกันเดี๋ยวนี้เลยเถอะ”
ซือหม่าโยวเล่อลุกขึ้นแล้วเดินมุ่งหน้าไปยังลานบ้านพร้อมนางพลางเอ่ยว่า “ที่ข้ามาเพราะยังมีอีกเรื่องหนึ่งอยากจะบอกเจ้าด้วย”
“อะไรหรือ”
“ท่านอาจารย์มู่บอกว่าถ้าหากพรุ่งนี้เจ้ายังไม่ไปที่วิทยาลัยอีก ก็จะให้อาจารย์ใหญ่ไล่เจ้าออกแล้วนะ ต่อให้เป็นองค์จักรพรรดิมาขอร้องให้ก็ไม่มีทางให้เจ้าเข้าเรียนอีกต่อไปแล้ว” ซือหม่าโยวเล่อพูด
“ท่านอาจารย์มู่หรือ เป็นท่านอาจารย์มู่คนไหนกัน” ซือหม่าโยวเย่ว์กะพริบตาปริบๆ แล้วมองซือหม่าโยวเล่ออย่างสงสัย
เห็นท่าทีเช่นนั้นของซือหม่าโยวเย่ว์ ซือหม่าโยวเล่อก็ตบศีรษะของเธอเบาๆ ก่อนจะเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ก็คืออาจารย์ประจำชั้นของพวกเจ้าอย่างไรเล่า”
ซือหม่าโยวเย่ว์นึกถึงอาจารย์ประจำชั้นขึ้นมา ก็เหมือนกับครูประจำชั้นในชาติก่อนนั่นแหละ ที่นอกจากจะสอนหนังสือแล้วยังต้องคอยดูแลจัดการเรื่องต่างๆ ภายในชั้นเรียนอีกด้วย
ซือหม่าโยวเล่อมองดูท่าทีเงียบงันของซือหม่าโยวเย่ว์แล้วก็คิดว่านางไม่อยากไป จึงเอ่ยว่า “แต่ถ้าเจ้าไม่อยากไป พรุ่งนี้ข้าจะไปพูดกับท่านอาจารย์มู่ให้เอง เพียงแต่ว่าเช่นนั้นแล้วต่อจากนี้ไปเจ้าจะไปที่วิทยาลัยอีกมิได้แล้วนะ”
“ไม่ต้องหรอก พรุ่งนี้ข้าจะไปเรียนพร้อมกันกับท่าน” ซือหม่าโยวเย่ว์เอ่ยพลางส่ายหน้า
ก่อนหน้านี้เธอไม่อาจบำเพ็ญได้ ดังนั้นเธอจึงไม่ชอบไปอ้อยอิ่งอยู่ที่โรงเรียน แต่ตอนนี้เธอบำเพ็ญได้แล้ว สองวันมานี้ก็ค้นพบสิ่งที่ศึกษาได้มากพอสมควร ถึงแม้ว่าพรุ่งนี้จะค่อนข้างกระชั้นชิดอยู่บ้าง แต่ว่าก็ไม่ได้เป็นปัญหาใหญ่โตอะไรเลย
ต่อจากนั้น ตอนที่กินอาหารค่ำ ซือหม่าโยวเย่ว์ก็บอกเรื่องที่จะไปวิทยาลัยกับซือหม่าเลี่ย ซือหม่าเลี่ยเองก็รู้สึกว่าตอนนี้ซือหม่าโยวเย่ว์บำเพ็ญได้แล้ว ให้ไปเรียนที่วิทยาลัยก็ถือเป็นเรื่องดีทีเดียว จึงพยักหน้าเห็นด้วย
ขณะนี้เอง พวกซือหม่าโยวฉีทั้งสี่คนจึงได้รู้ว่าซือหม่าโยวเย่ว์บำเพ็ญได้แล้ว แต่ละคนพากันยินดีกับนาง
หลังกินอาหารค่ำเสร็จซือหม่าโยวเย่ว์ก็กลับไปเพ่งสมาธิต่อในห้องของตน แต่คราวนี้เธอไม่เพียงแค่รับสัมผัสจุดแสงเหล่านั้นเท่านั้น แต่ยังทดลองดูดซับจุดแสงเหล่านั้นเข้าไปในร่างกายตนอีกด้วย
ในตอนแรกจุดแสงเหล่านั้นก็ยังต้านทานแรงดึงดูดของเธออยู่บ้าง แต่หลังจากนั้นไม่นานจุดแสงจุดแรกก็เข้าสู่ร่างกายของเธอ จากนั้นเส้นลมปราณของเธอก็มาถึงยังบริเวณท้องของเธอ แล้วก็หยุดลงตรงท้องของเธอในท้ายที่สุด
มีจุดแรก ก็มีจุดที่สอง จากนั้นก็มีจุดแสงเข้าสู่ร่างกายเธออย่างต่อเนื่อง แล้วก็คงอยู่ในร่างของเธอ
ในขณะเดียวกันกับที่เธอบำเพ็ญอยู่นั้นเอง หีบที่วางอยู่ใต้หมอนของเธอก็เปล่งประกายหลากสีอีกครั้ง ภายใต้ประกายอันระยิบระยับ จุดแสงเหล่านั้นก็ยิ่งมารวมตัวกันอยู่รอบกายซือหม่าโยวเย่ว์มากยิ่งขึ้นแล้วถูกเธอดูดซับเข้าไปภายในร่างกายในที่สุด
มาถึงครึ่งคืนหลัง ซือหม่าโยวเย่ว์ก็ออกมาจากสภาวะบำเพ็ญ เพราะว่าวันรุ่งขึ้นต้องไปเรียน เธอจึงต้องหยุดเพื่อพักผ่อน เมื่อเธอหยุด ประกายภายในหีบก็หายลับไปเช่นเดียวกัน ทั้งหมดทั้งมวลคล้ายกับว่าไม่เคยเกิดขึ้นเลยอย่างไรอย่างนั้น…
………………………