สลับชะตา ชายามือสังหาร - ตอนที่ 125 การจากไปของเฟิงจือสิง
“เจ้าคงจะรู้อยู่แล้วว่าข้ามิใช่คนของดินแดนอี้หลิน ข้าใช้ชีวิตอยู่ที่ดินแดนที่อยู่สูงกว่าดินแดนแห่งนี้ระดับหนึ่ง หลังจากสำเร็จระดับเทพแล้วก็จะไปยังสถานที่แห่งนั้นได้” เฟิงจือสิงเห็นซือหม่าโยวเย่ว์ตกตะลึง ยังคิดว่าเธอเพียงแค่สนใจใคร่รู้ว่าที่นั่นคือสถานที่เช่นไรเท่านั้น
“ระดับเทพจึงจะไปได้อย่างนั้นหรือ”
“ใช่แล้ว เหนือกว่าจ้าววิญญาณขึ้นไปก็คือระดับเทพ เพิ่งเข้าสู่ระดับเทพ ก็จะเป็นสิ่งมีชีวิตระดับล่างของที่นั่น ดังนั้นหากไม่ถึงระดับเทพ ก็ย่อมมิอาจไปที่นั่นได้อย่างแน่นอน” เฟิงจือสิงพูด
“อาจารย์พ่อ ท่านน่าจะรู้จักกับท่านพ่อท่านแม่ของข้ากระมัง พวกเขาก็อยู่ที่นั่นด้วยใช่หรือไม่” ซือหม่าโยวเย่ว์ส่งเสียงถามขึ้นในทันใด
เฟิงจือสิงสะดุ้งแล้วถามว่า “เจ้าว่าอะไรนะ”
หรือซือหม่าเลี่ยบอกชาติกำเนิดของเธอให้เธอรู้ไปแล้ว
“ท่านอย่าได้ปิดบังข้าอีกเลย ข้าเดาได้หมดแล้วล่ะ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “ข้ามิใช่ลูกของตระกูลซือหม่า และพ่อแม่ข้าก็มิใช่คนอาณาจักรตงเฉินด้วย”
“พวกท่านปู่รู้แล้วใช่หรือไม่” เฟิงจือสิงถาม
ซือหม่าโยวเย่ว์ส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ข้าเพียงแค่เดาเอาเองเท่านั้น มิได้ไปถามพวกเขาหรอก อาจารย์พ่อ ท่านทราบชาติกำเนิดของข้าใช่หรือไม่”
เฟิงจือสิงมองซือหม่าโยวเย่ว์อยู่ครู่หนึ่งแล้วถอนหายใจก่อนจะพูดว่า “ในเมื่อเจ้าเดาได้แล้ว จะบอกเจ้าก็ได้ เจ้ามิใช่ลูกของตระกูลซือหม่าจริงๆ และข้ากับท่านพ่อของเจ้าก็รู้จักกันจริงๆ นั่นแหละ”
ซือหม่าโยวเย่ว์ไม่ประหลาดใจเลย เพราะนี่เป็นเรื่องที่เธอคาดเดาได้อยู่แล้ว
“อาจารย์พ่อ เช่นนั้นท่านรู้…” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดไปได้ครึ่งประโยคก็หยุดลงกลางคัน มิได้เอ่ยคำพูดที่เหลือออกมา
“เจ้าอยากถามว่า เหตุใดพวกเขาต้องปล่อยเจ้าเอาไว้ที่นี่ด้วยใช่หรือไม่” เฟิงจือสิงถาม
ซือหม่าโยวเย่ว์พยักหน้า ความจริงแล้วถามเพื่อเจ้าของร่างเดิมนั่นเอง
“ความจริงแล้วพวกเขาก็มิได้อยากทำเช่นนี้หรอก เพียงแต่ว่าสถานการณ์ในตอนนั้นช่างซับซ้อนเหลือเกิน” เฟิงจือสิงถอนหายใจก่อนจะพูดต่อไป “เรื่องราวเหล่านี้ ข้ามิอาจบอกเจ้าอย่างเฉพาะเจาะจงในตอนนี้ได้ เจ้ารู้เพียงแค่ว่าพวกเขามิได้เจตนาจะปล่อยเจ้าทิ้งเอาไว้ที่นี่ก็พอแล้ว พวกเขาเองก็ความลำบากใจและไร้ซึ่งทางเลือกเหมือนกัน”
“อืม ข้าเข้าใจ ขอเพียงแค่มิใช่ว่าพวกเขาไม่ต้องการข้า ข้าก็จะไม่แค้นฝังใจกับพวกเขา” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
เมื่อได้ฟังคำพูดของเธอ เฟิงจือสิงก็รู้สึกปลื้มปีติเป็นอย่างยิ่ง
“อาจารย์พ่อ ท่านกับท่านพ่อท่านแม่ข้าเป็นสหายสนิทกันหรือไม่” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม
เฟิงจือสิงยิ้มจางๆ แล้วเอ่ยว่า “ใช่แล้ว ข้ากับท่านพ่อท่านแม่เจ้าเป็นสหายสนิทกัน ข้ากับท่านพ่อเจ้ารู้จักกันตั้งแต่เด็ก เติบใหญ่มาด้วยกัน วัยเยาว์คึกคะนอง อยากจะวัดกันอยู่ตลอดว่าใครมีพรสวรรค์ยอดเยี่ยมกว่ากัน ความสัมพันธ์จึงมิใคร่จะดีนัก แต่ต่อมากลับค้นพบว่าทั้งคู่พัฒนาขึ้นในระหว่างที่ผลัดกันนำผลัดกันตามนี่เอง ความไม่ลงรอยในอดีตจึงกลายเป็นความทรงจำระหว่างกัน”
ซือหม่าโยวเย่ว์คล้ายกับได้เห็นภาพเหตุการณ์ที่ชายหนุ่มสองคนไล่ตามกันและกันแล้วพัฒนาขึ้นมาด้วยกันเลยทีเดียว
“เช่นนั้นท่านแม่ข้าเล่า”
“ท่านแม่เจ้า…” นัยน์ตาเฟิงจือสิงฉายแววขมขื่น “นางงดงามยิ่งนัก เอ่อ… มิอาจนับได้ว่าใจดีมีเมตตาหรอก แต่กลับกระตือรือร้นกับคนที่ตนรู้จักอย่างที่สุด เจ้าคล้ายคลึงกับท่านแม่เจ้าในจุดนี้เหลือเกิน”
“ท่านพ่อท่านแม่ข้า…ตอนนี้พวกท่านอยู่ที่ไหนหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม
“ตอนนี้พวกเขาอยู่ในสถานที่ที่คนธรรมดาทั่วไปมิอาจเข้าถึงได้” เฟิงจือสิงพูด “มิใช่ว่าพวกเขาไม่อยากมาดูเจ้าหรอกนะ เพียงแต่พวกเขามิอาจมาได้เท่านั้น”
“มามิได้หรือ เพราะเหตุใดเล่า ท่านยังมาได้เลย แล้วเหตุใดพวกเขาจึงมามิได้” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม
“สถานการณ์ของพวกเขาในตอนนี้มิสู้ดีนัก เดิมทีเจ้าไม่อาจบำเพ็ญได้ จึงไม่สมควรบอกเรื่องเหล่านี้แก่เจ้า แต่ตอนนี้เจ้าไม่เพียงแต่จะบำเพ็ญได้แล้วเท่านั้น แต่ถึงกับสำเร็จเป็นนักหลอมยา ในอนาคตยังเป็นไปได้ว่าจะสำเร็จเป็นปรมาจารย์ค่ายกล ดังนั้นข้าจึงบอกเรื่องเหล่านี้กับเจ้าได้ หวังว่าเจ้าจะพัฒนาขึ้นมาโดยเร็วที่สุดแล้วไปที่นั่น แล้วเจ้าก็จะได้รู้เรื่องราวมากขึ้นเองนั่นแหละ” เฟิงจือสิงพูด
ความจริงแล้วเหตุผลที่เขามาที่นี่ก็เพื่อถอนพิษให้กับซือหม่าโยวเย่ว์ คิดไม่ถึงว่าตอนที่เขามา เธอก็เริ่มต้นฝึกยุทธ์ได้แล้ว
ซือหม่าโยวเย่ว์มองเฟิงจือสิง เขาพูดอย่างคลุมเครือเหลือเกิน แต่เธอกลับรู้สึกได้ว่าคล้ายจะเกิดเรื่องใหญ่บางอย่างขึ้นกับบิดามารดาของเธอ ดังนั้นจึงต้องส่งเธอมาที่นี่ในตอนนั้น นอกจากนี้ยังไม่เคยมาดูเธอเลยแม้แต่ครั้งเดียวจนกระทั่งถึงตอนนี้
“ข้าจะพยายามตั้งใจศึกษาเล่าเรียน”
“โยวเย่ว์ จงจำเอาไว้ว่าจะต้องมีพลังยุทธ์ไร้เทียมทาน เจ้าจึงจะมีสิทธิ์อย่างเด็ดขาดในการพูด จึงจะทำสิ่งที่เจ้าอยากทำได้ เข้าใจหรือไม่” เฟิงจือสิงพูดอย่างมีความหมายลึกซึ้ง
“ข้าเข้าใจแล้ว อาจารย์พ่อ” ซือหม่าโยวเย่ว์ตอบอย่างจริงจัง เหตุผลนี้ เธอเข้าใจมานานแล้ว
เฟิงจือสิงมองซือหม่าโยวเย่ว์อย่างปลาบปลื้มใจ พรสวรรค์ของเธอยังยอดเยี่ยมกว่าบุตรแห่งสวรรค์ที่เบื้องบนเหล่านั้นเสียอีก แต่กลับเข้าใจเหตุผลมากกว่า ทั้งยังไม่มีความหยิ่งยโสโอหังเหมือนคนเหล่านั้นเลยแม้แต่น้อย
เขาความคิดวูบไหวคราหนึ่ง หีบใบหนึ่งก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าเขาแล้วจึงพูดว่า “สิ่งเหล่านี้คือค่ายกลนำส่งแบบใช้ครั้งเดียว พอเจ้าเปิดพวกมันออกแล้วจะสุ่มส่งตัวเจ้าไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง ในภายหน้าหากเจ้าติดกับก็สามารถใช้มันหนีเอาชีวิตรอดได้”
“ขอบคุณอาจารย์พ่อ” ซือหม่าโยวเย่ว์รับหีบมาอย่างไม่เกรงใจ
“นอกจากนี้ข้ายังคิดว่าจะประทับตราอันหนึ่งเอาไว้บนตัวเจ้าด้วย ในภายหน้าเจ้าก็จะรู้ถึงประโยชน์ของมันเอง เจ้าเข้ามาสิ”
ซือหม่าโยวเย่ว์เดินเข้าไป เฟิงจือสิงให้เธอนั่งลงบนม้านั่ง หลังจากนั้นก็ยืนอยู่ที่ด้านหลังของเธอ
ซือหม่าโยวเย่ว์ไม่รู้ว่าเฟิงจือสิงทำอย่างไร แต่ทันใดนั้นเธอก็รู้สึกว่ามีร่างคนแคระจางๆ ร่างหนึ่งเพิ่มขึ้นมาในห้วงสมองของเธอ โดยมีรูปลักษณ์เหมือนกับตัวเฟิงจือสิงเอง
“เสร็จแล้ว” เสียงเจือความเหนื่อยล้าของเฟิงจือสิงดังขึ้นมาจากด้านหลัง
ซือหม่าโยวเย่ว์ลุกขึ้นแล้วหันไปมอง ก็เห็นว่าสีหน้าของเฟิงจือสิงซีดขาวอยู่บ้าง จึงถามว่า “อาจารย์พ่อ ท่านไม่เป็นไรใช่ไหม”
เฟิงจือสิงโบกไม้โบกมือแล้วพูดว่า “ไม่เป็นไรหรอก เพียงแต่การแบ่งสติรับรู้ส่วนหนึ่งออกมานั้นออกจะเจ็บปวดอยู่บ้าง แต่พักผ่อนสักหน่อยก็หายดีแล้ว”
“ขอบคุณท่านมาก” ซือหม่าโยวเย่ว์รู้ว่าการแบ่งสติรับรู้ออกมานั้นจะต้องทำให้ร่างกายเจ็บปวดอย่างแน่นอน แต่เขากลับทำลงไปโดยไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย เธอจะจดจำความรักนี้เอาไว้ในใจไปตลอดกาล
“นอกจากนี้ ถ้าหากเจ้าไปที่ดินแดนโบราณแล้วประสบความยากลำบาก จงอาศัยป้ายหยกชิ้นนี้ไปขอความช่วยเหลือที่โรงประมูลจันทราวายุ พวกเขาจะช่วยเหลือเจ้าอย่างไร้เงื่อนไข” เฟิงจือสิงพูดพลางหยิบป้ายหยกชิ้นหนึ่งออกมาวางลงบนฝ่ามือซือหม่าโยวเย่ว์
ซือหม่าโยวเย่ว์มองเฟิงจือสิงพลางพูดอย่างจริงจังว่า “อาจารย์พ่อ ท่านวางใจได้เลย ข้าจะตั้งใจบำเพ็ญอย่างดีแน่นอน แล้วไปหาพวกท่านที่เบื้องบนในเร็ววัน”
“อืม ข้าเชื่อเจ้า” เฟิงจือสิงตบบ่าซือหม่าโยวเย่ว์ “กลับไปเถิด อีกประเดี๋ยวข้าจะไปกล่าวลาท่านอาจารย์ใหญ่แล้ว”
ซือหม่าโยวเย่ว์พยักหน้าแล้วหมุนกายเดินออกจากประตูไป เฟิงจือสิงโคจรปราณเพื่อพักผ่อนอยู่ในนั้นครู่หนึ่ง
ลำแสงภายในห้องค่อยๆ หม่นลง เขารู้สึกว่าพลังจิตดีขึ้นบ้างแล้วจึงลุกขึ้นเดินออกจากห้อง พอเปิดประตูก็เห็นซือหม่าโยวเย่ว์รออยู่นอกประตู
“โยวเย่ว์” เขามองซือหม่าโยวเย่ว์อย่างประหลาดใจ
“ข้าอยากไปส่งอาจารย์พ่อ ดูอาจารย์พ่อจากไป” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
เธอรู้ว่าเฟิงจือสิงต้องการเวลาฟื้นฟู ดังนั้นจึงได้คอยอยู่หน้าประตูมาโดยตลอด
เฟิงจือสิงมองเธออย่างอ่อนไหว เดิมทีเขาคิดจะจากไปคนเดียวอย่างสงบ แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าจะเป็นไปไม่ได้เสียแล้วสิ!
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็มาด้วยกันเสียเลยสิ” เฟิงจือสิงพูดแล้วหมุนตัวเดินออกไป ซือหม่าโยวเย่ว์ก็รีบตามไปติดๆ
ทั้งสองมาถึงลานเล็กแห่งหนึ่งในวิทยาลัย ซึ่งก็คือสถานที่ที่ท่านอาจารย์ใหญ่อาศัยอยู่นั่นเอง
เมื่อได้รู้ว่าเฟิงจือสิงจะไป ท่านอาจารย์ใหญ่อาวุโสก็มิได้ตกใจอะไรมากนัก เขารู้มาตลอดว่าช้าเร็วอย่างไรเฟิงจือสิงก็ต้องจากไป
หลังจากบอกลาอย่างง่ายๆ แล้ว ซือหม่าโยวเย่ว์และเฟิงจือสิงก็ไปยังภูเขาด้านหลังวิทยาลัย
“ข้าไปก่อนนะ หวังว่าคราวหน้าที่พวกเราพบกันหวังเวลานั้นเจ้าจะทำให้ข้าดีใจ” เฟิงจือสิงลูบศีรษะซือหม่าโยวเย่ว์
“ขอให้อาจารย์พ่อเดินทางปลอดภัย” ซือหม่าโยวเย่ว์มองเฟิงจือสิงพลางเอ่ยขึ้น
เฟิงจือสิงพยักหน้าแล้วปล่อยศีรษะเธอ ปลายนิ้วทั้งสองข้างประทับกัน อุโมงค์แห่งหนึ่งก็ปรากฏขึ้นด้านหลังของเขา
เขายิ้มให้ซือหม่าโยวเย่ว์ก่อนจะหมุนกายเข้าไปในอุโมงค์ห้วงมิติ