สลับชะตา ชายามือสังหาร - ตอนที่ 21 ท้าทาย
ซือหม่าโยวเย่ว์เดินมุ่งหน้าไปยังชั้นเรียน เฟิงจือสิงไม่ได้ไล่เธอกลับไป ทำให้เธอวางใจลงไม่น้อย แต่คำพูดประโยคหนึ่งของเจ้าวิญญาณน้อยทำให้อารมณ์ดีของเธอหายไปในพริบตา
“เจ้าต้องระวังนะ เจ้าคนเมื่อครู่นี้อาจจะสังเกตพบแล้วก็ได้ว่าเจ้าฝึกยุทธ์ได้แล้ว”
ซือหม่าโยวเย่ว์หยุดชะงักแล้วถามเจ้าวิญญาณน้อยในใจว่า “เจ้ามิได้บอกว่ามีเจ้าอยู่ ผู้อื่นก็จะมองไม่ออกว่าข้าฝึกยุทธ์ได้แล้วหรอกหรือ”
“โดยทั่วไปแล้วก็ใช่อยู่หรอก” เจ้าวิญญาณน้อยพูด “ข้าซ่อนเร้นระลอกพลังวิญญาณบนร่างของเจ้าเอาไว้ได้ คนทั่วไปย่อมมองไม่ออกอยู่แล้ว แต่ว่าคนผู้นั้นทำให้ข้ารู้สึกลึกลับยิ่งนัก เมื่อครู่ตอนที่เขาจับตัวเจ้าก็น่าจะรู้สึกได้”
“แล้วเขาจะตรวจสอบข้าไปทำไมกัน”
ซือหม่าโยวเย่ว์คิดแล้วคิดอีกแต่ก็ไม่เข้าใจ เธอจึงสลัดมันทิ้งออกไปจากสมอง ในตอนนี้เธอคิดเรื่องที่ว่าจะฝึกยุทธ์ในเวลาสั้นที่สุดได้อย่างไรจะดีกว่า
เมื่อกลับไปถึงชั้นเรียน สายตาของคนเหล่านั้นต่างจับจ้องมองเธอเป็นตาเดียวอีกครั้ง สายตาส่วนใหญ่ล้วนมีความชื่นชมยินดีในเคราะห์ร้ายของผู้อื่น กำลังคิดกันว่าเฟิงจือสิงจะเฉดหัวเธอออกไปแล้วใช่หรือไม่
ซือหม่าโยวเย่ว์เดินตรงไปยังที่นั่งของตน ขณะที่เดินไปได้ครึ่งทางก็มีเท้าข้างหนึ่งยื่นออกมาตรงหน้าเธอ หมายจะให้เธอสะดุดล้ม
เห็นว่าเธอกำลังจะสะดุดขาของคนผู้นั้น ในจังหวะเส้นยาแดงผ่าแปดเธอก็ก้าวขึ้นไปข้างหน้าครึ่งก้าว แล้วเท้าข้างหนึ่งก็ก้าวขึ้นไปบนขาข้างนั้นก่อนจะเดินเหยียบลงไป
“โอ๊ย…” ในขณะที่ซือหม่าโยวเย่ว์เหยียบลงไปนั้นทิ้งน้ำหนักทั้งตัวลงไปบนร่างของคนผู้นั้น ทำให้นางร้องออกมาในทันใด
“ซือหม่าโยวเย่ว์ เจ้าเดินอย่างไรของเจ้ากัน!” คนผู้นั้นตะคอกใส่ซือหม่าโยวเย่ว์
“ก็เดินแบบนี้นี่แหละ” ซือหม่าโยวเย่ว์เดินไปยังที่นั่งของตนโดยไม่แม้แต่จะหันไปมอง ไม่เห็นคนผู้นั้นอยู่ในสายตาอย่างสิ้นเชิง
“เจ้า…” คนผู้นั้นลุกขึ้นหมายจะไปสั่งสอนสักรอบหนึ่ง ซือหม่าโยวเย่ว์กลับถูกเพื่อนร่วมโต๊ะของนางจับตัวเอาไว้
“คุณหนูเมิ่ง ท่านอาจารย์เฟิงมาแล้ว”
เมิ่งถิงมองเห็นเฟิงจือสิงเดินเข้ามาในชั้นเรียนแล้วก็ได้แต่นั่งลงไปอย่างไม่พอใจ นางหันหน้ามามองซือหม่าโยวเย่ว์ปราดหนึ่งด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเคียดแค้น
“คุณหนูเมิ่ง เจ้าอย่าได้โกรธไปเลยนะ อยากจะจัดการเขา ยังต้องกลัวว่าจะไม่มีโอกาสด้วยหรือ” เหอชิวจือพูด
“ก็ถูก” เมิ่งถิงพูด “ต่อให้เขาเป็นหลานของท่านแม่ทัพใหญ่ ตระกูลเมิ่งของข้าก็ไม่กลัวหรอก!”
“ใช่เลย ถึงแม้ว่าซือหม่าเลี่ยจะเป็นท่านแม่ทัพใหญ่พิทักษ์อาณาจักร แต่เขากลับไม่มีครอบครัว แล้วจะมาเทียบเคียงกับตระกูลเมิ่ง ตระกูลใหญ่ที่สุดแห่งเมืองโยวได้อย่างไรกันเล่า” เหอชิวจือพูดยิ้มๆ
“เงียบ!” เฟิงจือสิงมองคนสามสิบห้าคนในชั้นเรียนแล้วเอ่ยว่า “วันนี้พวกเราจะมาเรียนเนื้อหาที่เหลืออยู่ของเมื่อวานกัน”
ซือหม่าโยวเย่ว์ฟังเฟิงจือสิงสอนหนังสือ ในขณะที่คนอื่นๆ ต่างนั่งจดบันทึก แต่เธอกลับเพียงแค่ฟังอย่างตั้งใจเท่านั้น ไม่ได้ขยับพู่กันเลย
“เหตุใดเจ้าจึงไม่จดบันทึกเล่า”
ในขณะที่เฟิงจือสิงให้พวกเขาจดบันทึก เมื่อเป่ยกงถังจดเสร็จเรียบร้อยแล้วก็เห็นว่าซือหม่าโยวเย่ว์ยังไม่ได้ขยับพู่กันเลย จึงเอ่ยปากพูดอย่างหาได้ยากยิ่ง
“หา…” ซือหม่าโยวเย่ว์มองเป่ยกงถังแล้วสะดุ้งครั้งหนึ่ง จากนั้นจึงพูดว่า “ข้าจดเอาไว้หมดแล้วล่ะ”
เป่ยกงถังมองสมุดบันทึกสะอาดเอี่ยมของเธอแล้ว หลักฐานชัดเจน ไม่ต้องพูดก็รู้
ซือหม่าโยวเย่ว์ชี้ตรงสมองของตัวเองแล้วพูดว่า “ข้าจดจำเอาไว้ตรงนี้แล้ว”
เมื่อเห็นว่าเป่ยกงถังไม่เชื่อจึงพูดว่า “ข้ามีทักษะการมองเห็นแล้วไม่ลืมเลือนมาตั้งแต่เด็กแล้ว ข้าจำสิ่งที่ท่านอาจารย์พูดพวกนั้นได้หมดแล้วล่ะ”
เห็นได้ชัดว่าเป่ยกงถังไม่เชื่อคำพูดของเธอเลย แต่มิได้พูดอะไรอีก แล้วอ่านสิ่งที่ตัวเองจดบันทึกเอาไว้ต่อไป
ซือหม่าโยวเย่ว์คิดไม่ถึงว่าเป่ยกงถังจะนั่งอยู่ที่แถวหลังสุด เมื่อเห็นท่าทีตั้งอกตั้งใจอ่านหนังสืออย่างสงบของนางแล้ว บวกกับกลิ่นอายเยียบเย็นบนร่าง ก็ยังคงทำให้เธอรู้สึกโดดเดี่ยว ทำให้เธออดคิดไม่ได้ว่านางผ่านประสบการณ์อะไรมาจึงทำให้คนเกิดความรู้สึกเช่นนั้นขึ้นมาได้ นอกจากนี้… นัยน์ตาของนางยังแฝงไว้ด้วยความโกรธแค้นอย่างมิอาจซ่อนเร้นได้
วันหนึ่งมีคาบเรียนเพียงคาบเดียวเท่านั้น บางทีก็เป็นช่วงเช้า บางทีก็เป็นช่วงบ่าย ในเวลาที่ไม่ได้เข้าเรียนก็ปล่อยให้นักเรียนฝึกยุทธ์หรือจัดการธุระเรื่องอื่นๆ
หลังจากเลิกเรียนแล้วซือหม่าโยวเย่ว์และเจ้าอ้วนชวีพากันกลับไปยังเรือนพัก พลางลูบท้องที่เริ่มหิวขึ้นมาบ้างแล้ว เธอพุ่งตัวเข้าไปในห้องครัว ขณะที่ทำอาหารเธอก็อดทอดถอนใจมิได้ ทุกวันนี้ตนสิ้นเปลืองเวลาไปกับการกินตั้งมากมาย ไม่รู้ว่าเมื่อไรจะเลื่อนขั้นได้เสียที
“เจ้าอย่ากังวลไปเลย ของกินนี่ช่วยฝึกยุทธ์ได้เช่นกัน” เจ้าวิญญาณน้อยสัมผัสความคิดของนางได้จึงส่งเสียงพูดออกมา
“ของกินก็สามารถฝึกยุทธ์ได้อย่างนั้นหรือ เหตุใดข้าจึงไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยเล่า” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม
“นั่นเพราะเจ้าอ่อนต่อโลกน่ะสิ” เจ้าวิญญาณน้อยพูดความจริงออกมาโดยไม่เกรงใจเลยแม้แต่น้อย
ซือหม่าโยวเย่ว์เบ้ปาก เจ้านี่ จะต้องแทงใจดำกันขนาดนี้ด้วยหรือ!
คนมีวุฒิภาวะอย่างเธอ ไม่มาต่อล้อต่อเถียงกับเด็กน้อยอยู่แล้ว จึงเอ่ยถามอย่างสุภาพว่า “กินอาหารแล้วจะฝึกยุทธ์ได้อย่างไร”
“ถึงแม้ว่าพืชทั่วไปจะไม่อาจฝึกยุทธ์ได้ แต่ว่าพวกมันก็ดูดซับปราณวิญญาณได้เช่นเดียวกัน ก่อนจะเปลี่ยนแปลงและสะสมภายในร่างกาย กลายเป็นพืชวิญญาณ” เจ้าวิญญาณน้อยพูด
เมื่อนึกถึงการสังเคราะห์ด้วยแสงของพืชที่เคยเรียนมาในชาติที่แล้ว ก็เป็นการดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์แล้วเปลี่ยนเป็นก๊าซออกซิเจน ดังนั้นการที่พืชสามารถดูดซับปราณวิญญาณได้นั้นก็เป็นสิ่งที่เข้าใจได้
“เพียงแค่สิ่งที่กินนั้นมีปราณวิญญาณอยู่ ก็ดูดซับสิ่งที่อยู่ในวัตถุดิบเข้าสู่ร่างกายได้แล้ว” เจ้าวิญญาณน้อยพูด
“จริงหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์ไม่เชื่ออยู่บ้าง แล้วเอ่ยว่า “ถ้าหากเป็นเช่นนั้นจริง คนอื่นๆ ก็ไม่ค้นพบวิธีการนี้กันไปหมดแล้วหรอกหรือ แต่ก็ยังไม่เคยเห็นใครพูดมาก่อนเลยนี่”
“นั่นเป็นเพราะพลังวิญญาณของที่นี่เบาบางเกินไปน่ะสิ ก็ย่อมไม่มีทางทำให้วัตถุดิบอาหารดูดซับเข้าไปภายในร่างกายได้อยู่แล้ว ดังนั้นของที่อยู่ที่นี่จึงเป็นพืชพรรณธรรมดาทั้งสิ้น มิใช่พืชวิญญาณ กินเข้าไปก็ย่อมไม่มีประโยชน์แน่นอนอยู่แล้ว” เจ้าวิญญาณน้อยกล่าวอย่างเหยียดหยาม
พอซือหม่าโยวเย่ว์ได้ฟังว่าของที่นี่ล้วนไม่ใช่พืชวิญญาณ ก็อดที่จะเอ่ยคำรามใส่เจ้าวิญญาณน้อยไม่ได้ “เช่นนั้นเจ้าบอกข้าแล้วมันมีประโยชน์เสียที่ไหนกันเล่า!”
“ช่างโง่เหลือเกิน” เจ้าวิญญาณน้อยด่า “ของที่อยู่ข้างนอกนั่นมิใช่พืชวิญญาณ แต่มิได้หมายความว่าของภายในมณีวิญญาณมิใช่เสียหน่อยนี่!”
เอ๊ะ!
ซือหม่าโยวเย่ว์ได้ฟังคำพูดของเจ้าวิญญาณน้อยแล้วกระวีกระวาดกลับไปยังห้องของตนก่อนจะปิดประตูแล้วเข้าไปภายในมณีวิญญาณ
“เจ้าวิญญาณน้อย วาจาเมื่อครู่นี้ของเจ้าหมายความว่าอย่างไรกัน”
เจ้าวิญญาณน้อยปรากฏตัวขึ้นกลางอากาศอย่างช้าๆ แล้วพูดว่า “เจ้ารับสัมผัสปราณวิญญาณที่นี่ดูสักครู่หนึ่งสิ”
ซือหม่าโยวเย่ว์หลับตาลงรับสัมผัสครู่หนึ่งก่อนจะลืมตาขึ้นพูดอย่างตื่นเต้นว่า “ปราณวิญญาณเข้มข้นยิ่งนัก!”
“อือฮึ” เจ้าวิญญาณน้อยขานรับอย่างพึงพอใจในตัวเองเสียงหนึ่ง
“เช่นนั้นของที่นี่ก็เป็นพืชวิญญาณทั้งหมดเลยหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม
“แน่นอนสิ” เจ้าวิญญาณน้อยพูด “เจ้ามากับข้า”
ซือหม่าโยวเย่ว์ตามเจ้าวิญญาณน้อยไปยังดินแดนอีกแห่งหนึ่ง พอก้าวเข้าไปก็เห็นพืชผักละลานตาและเป็ดไก่อีกจำนวนหนึ่ง!
เมื่อมองเห็นเป็ดไก่ที่คุ้นเคย ซือหม่าโยวเย่ว์ประหลาดใจอยู่บ้าง เธอรู้สึกคิดถึงความหลังขึ้นมาแล้วเอ่ยถามว่า “ที่นี่มีสัตว์เหล่านี้ได้อย่างไรกัน”
“เจ้าพวกนี้ล้วนเป็นสัตว์ชั้นต่ำทั้งสิ้น ถึงแม้ว่าจะฝึกยุทธ์มาเนิ่นนาน ก็ยังมิอาจสำเร็จเป็นสัตว์อสูรวิเศษได้ เอาแต่ขยายพันธุ์ไม่หยุดหย่อน ทำเอาข้าต้องแบ่งเวลาส่วนหนึ่งมาจัดการพวกมันเลยทีเดียว” เจ้าวิญญาณน้อยพูด
“ข้าไม่เคยเห็นมาก่อนเลยว่ามีเจ้าสัตว์พวกนี้อยู่ในโลกแห่งนี้ด้วย แต่เหตุใดที่นี่จึงมีอยู่มากมายถึงเพียงนี้เล่า” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม
“พวกมันล้วนเป็นสิ่งที่เจ้านายคนก่อนทิ้งเอาไว้ทั้งสิ้น ข้าเองก็ไม่รู้ว่าเขาไปจับมาจากที่ใด” เจ้าวิญญาณน้อยพูด “ถึงอย่างไรพวกมันก็ใช้ชีวิตอยู่ที่นี่มาเนิ่นนานแล้ว แม้มิได้สำเร็จเป็นสัตว์อสูรวิเศษ แต่ดีร้ายอย่างไรในร่างกายต่างก็มีปราณวิญญาณอยู่ด้วยกันทั้งสิ้น นอกจากนี้พืชผักที่นี่ต่างเป็นพืชวิญญาณ ส่วนทางด้านนั้นเป็นเครื่องปรุงทั้งหมดเลย”
ซือหม่าโยวเย่ว์มองดูวัตถุดิบอาหารที่คุ้นเคย ทั้งยังมีเครื่องปรุงต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นพริก พริกหอม ขมิ้น และอื่นๆ เธอพูดว่า “เจ้านายคนก่อนของเจ้าคงจะมิได้ไปปล้นมาจากบนโลกกระมัง”
“ใครจะไปรู้เขากันเล่า! ถึงอย่างไรเขาก็เป็นนักกินตัวยงคนหนึ่ง หากเจ้าต้องการผักที่นี่เพียงแค่ควบคุมความคิดก็ใช้ได้แล้ว” เจ้าวิญญาณน้อยพูดจบก็หายตัวไปเสียแล้ว
ซือหม่าโยวเย่ว์มองดูเจ้าวิญญาณน้อยหายตัวไป เธอสัมผัสได้ถึงความเดียวดายในน้ำเสียงของเขาแล้วก็คาดเดาว่าเขาน่าจะเห็นของเหล่านี้แล้วระลึกถึงเจ้านายคนก่อนขึ้นมา
แต่มีวัตถุดิบอาหารเหล่านี้แล้ว หลังจากนี้เธอจะทำอาหารเลิศรสออกมาได้มากมาย นอกจากนี้ยังฝึกยุทธ์ได้ด้วย พอคิดๆ ดูแล้วรู้สึกว่าไม่เลวเลยทีเดียว
ตอนที่เธอออกมาจากมณีวิญญาณ เสียงเคาะประตูอย่างเร่งร้อนก็ดังขึ้นมา
………………………