สลับชะตา ชายามือสังหาร - ตอนที่ 234 ออกทะเล
พวกเขาจึงตกลงเรื่องออกทะเลกันเช่นนี้ ผู้อาวุโสใหญ่นำขบวนด้วยตัวเอง พร้อมทั้งนำระดับจ้าววิญญาณหนึ่งคน ระดับราชันวิญญาณสิบคน และระดับบรรพวิญญาณห้าสิบคน เสริมด้วยซือหม่าโยวเย่ว์และซือหม่าโยวหลานอีกสองคน
เวลาออกเดินทางที่กำหนดไว้คืออีกสามวันให้หลัง เพราะต้องรอให้ซือหม่าโยวหลานออกจากการปลีกวิเวก
ซือหม่าโยวเย่ว์เข้าใจดี ตอนนั้นซือหม่าโยวหลานผู้นี้รับรู้ถึงการมีอยู่ของผลอสรพิษทองคำได้ จะต้องมีพรสวรรค์เหนือผู้คนอย่างแน่นอน การพานางไปด้วยอาจมีประโยชน์
“มิน่าเล่าจึงไม่เห็นนางเลย หลังจากที่พวกเป่ยกงพบนางแล้ว นางต้องเริ่มปลีกวิเวกเลยแน่” ซือหม่าโยวเย่ว์ครุ่นคิด
หลังจากนั้นซือหม่าโยวเย่ว์ก็ไปยังเรือนรับแขกแล้วบอกเรื่องที่ตนจะไปจากที่นี่ระยะหนึ่งให้พวกเว่ยจือฉีทราบ นอกจากนี้ยังบอกพวกเขาไว้ด้วยว่าถ้าหากมีเรื่องอะไรอันใดให้ไปหาซือหม่าโยวหยาง เขาจะช่วยเหลือได้
สามวันให้หลัง ซือหม่าโยวหลานออกจากการปลีกวิเวก คนของตระกูลซือหม่าต่างเก็บข้าวของพร้อมออกเดินทาง
ซือหม่าโยวเย่ว์พบว่าในขบวนที่จะเดินทางไปนั้นมีคนเพิ่มมาอีกคนหนึ่ง
“เหตุใดเขาจึงจะไปด้วยเล่า” เมื่อเห็นซือหม่าโยวหลินที่บวกเพิ่มมาอย่างกะทันหัน เธอจึงพึมพำเสียงเบา
ไม่คิดว่าซือหม่าโยวหลินจะเดินเข้ามาแล้วได้ยินวาจาของเธอเข้าพอดี จึงหยุดฝีเท้าลงแล้วเอ่ยว่า “งานประลองใกล้จะเริ่มขึ้นแล้ว ข้าจะตามไปฝึกประสบการณ์ด้วย”
พอพูดจบนางก็เดินตรงขึ้นไปจนถึงข้างกายผู้อาวุโสใหญ่ แล้วพูดอะไรบางอย่างกับเขา
“ความสามารถในการเก็บซ่อนกลิ่นอายของคนผู้นี้ช่างร้ายกาจเสียจริง!” เมื่อนึกถึงว่าอีกฝ่ายเข้ามาใกล้ตนถึงเพียงนี้แล้วจึงรู้ตัว ในใจของเธอก็ตื่นตระหนกอยู่บ้าง
ซือหม่าโยวหลานเดินเข้ามาแล้วเอ่ยว่า “พี่โยวหลินฝึกความสามารถในการเก็บซ่อนกลิ่นอายตั้งแต่ยังเล็กแล้ว ตอนนี้มันซึมลึกเข้าไปในกระดูกเขาเรียบร้อยแล้วล่ะ”
ซือหม่าโยวเย่ว์หันไปพยักหน้าให้กับซือหม่าโยวหลาน
เธอไม่มีความแตกต่างอะไรกับเมื่อสามปีก่อนเลย แม้แต่ร่างกายก็มิได้เจริญเติบโตขึ้นมากสักเท่าใดนัก เมื่อเปรียบเทียบกับผู้อื่นแล้ว ความเร็วในการเติบโตของเธอก็ช้ากว่าอยู่พอสมควรอย่างเห็นได้ชัด
“ขอบใจเจ้ามากที่มอบยาให้เมื่อสามปีก่อน” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
“ตอนนั้นข้าก็แค่เห็นเจ้าบาดเจ็บสาหัสถึงขนาดนั้น แต่ก็ยังอดทนเพียงนั้น พรั่นพรึงเพราะเจ้ามาจนถึงตอนนี้เลยล่ะ” ซือหม่าโยวหลานยิ้มขึ้นมาอย่างบริสุทธิ์ใจ ระยะเวลาสามปีขจัดความหยิ่งยโสของนางไปจนหมดสิ้นแล้ว
“ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องขอบคุณเจ้าอยู่ดีนั่นแหละ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
“ว่ากันตามจริงแล้วถึงแม้ว่าตอนนั้นข้าจะพรั่นพรึงเพราะเจ้า แต่กลับไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าเจ้าจะทำได้สำเร็จ ดังนั้นเมื่อรู้สึกได้ว่าใกล้จะบรรลุแล้วจึงเลือกที่จะไปปลีกวิเวกน่ะ” ซือหม่าโยวหลานพูด “คิดไม่ถึงว่าพอข้าออกมา ตระกูลจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างมหาศาลเสียแล้ว แต่ข้าก็ยังรู้สึกดีใจอย่างยิ่งที่พวกเจ้ากลับมาได้”
สามปีก่อน ทั้งสองคนก็มิได้มีความขัดแย้งกันใหญ่โต ตอนนี้กลายเป็นคนครอบครัวเดียวกันแล้ว การถกเถียงกันสองสามประโยคนั้นย่อมปล่อยผ่านไปได้
“น้องห้า ข้าได้ยินเจ้าโยวหยางบอกว่าพื้นสมุทรนั้นค่อนข้างอันตราย เจ้าต้องดูแลตัวเองให้ดีล่ะ หากมีเรื่องอันใดก็อย่าวิ่งตรงเข้าไปหามัน เข้าใจหรือไม่”
พวกซือหม่าโยวเล่อมาส่ง กลัวว่าเธอจะวิ่งบึ่งเข้าไปคนเดียว จึงย้ำนักย้ำหนากับเธอ
ซือหม่าโยวเย่ว์จึงรับปากกับพวกเขาว่าจะไม่วิ่งนำหน้าเข้าไปหา จนกระทั่งผู้อาวุโสใหญ่บอกว่าออกเดินทางได้ เธอจึงขึ้นไปนั่่งบนสัตว์อสูรบินตัวเดียวกันกับซือหม่าโยวหลาน
เมืองอันหยางอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของอาณาจักรอู๋กลาง อยู่ไม่ไกลจากชายฝั่งทะเล สัตว์อสูรบินทั่วไปใช้เวลาเพียงไม่กี่วันก็ถึงแล้ว
เมืองอัน ชื่อต่างกับเมืองอันหยางเพียงแค่คำเดียวเท่านั้น แต่ขนาดกลับแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว
เมืองอันมีขนาดไม่ถึงครึ่งของเมืองอันหยาง จำนวนประชากรก็น้อยกว่ามาก คนที่นี่ส่วนใหญ่ต่างดำรงชีวิตด้วยการออกทะเลหาปลา
ณ ท่าเรือเมืองอัน เรือของตระกูลซือหม่าถูกตระเตรียมเอาไว้เรียบร้อยแล้ว ยาวร้อยเมตร กว้างสิบเมตร ว่ากันว่าเป็นเรือขนาดกลางของตระกูลซือหม่า
พอพวกเขาขึ้นไปแล้ว เรือก็ค่อยๆ เคลื่อนตัวออกจากชายฝั่ง มุ่งหน้าออกสู่ทะเลลึก
นี่มิใช่การนั่งเรือครั้งแรกของซือหม่าโยวเย่ว์ เมื่อชาติก่อนเธอถึงขั้นมีเรือบดเป็นของตัวเองอย่างลับๆ ลำหนึ่งเสียด้วยซ้ำ ซึ่งใช้ค่าตอบแทนจากการเป็นมือสังหารของเธอ และใช้อีกตัวตนหนึ่งของเธอในการซื้อ แต่ความรู้สึกในการนั่งเรือของชาติก่อนกับชาตินี้นั้นไม่เหมือนกันเอาเสียเลย
“ปลาที่นี่ช่างตัวใหญ่เสียจริง” ซือหม่าโยวเย่ว์ปีนขึ้นไปบนราวเรือแล้วมองดูปลาที่ว่ายอยู่ห่างออกไปเพียงเมตรเดียวพลางเอ่ยชม
“นี่ยังเล็กอยู่เลยนะ” ซือหม่าโยวหลานยืนอยู่บนกราบข้างเรือกับเธอพลางมองดูปลาในน้ำแล้วเอ่ยว่า “พวกนี้คือปลาทั่วๆ ไป พวกปลากลางทะเลนั้นตัวใหญ่โตมโหฬารยิ่งกว่านี้เสียอีก พอถึงตอนนั้นหากเห็นปลาที่ตัวใหญ่เท่าภูเขาลูกย่อมๆ ก็อย่าตกใจเสียล่ะ”
ซือหม่าโยวเย่ว์สองตาเปล่งประกายพลางเอ่ยว่า “ใหญ่เท่าภูเขาลูกย่อมๆ เชียวหรือ ปลาขนาดใหญ่ถึงเพียงนั้น เนื้อเป็นเช่นไรบ้าง อร่อยหรือไม่”
ซือหม่าโยวหลานขมวดคิ้วมุ่นพลางมองเธออย่างจนคำพูดอยู่บ้าง “สัตว์ทะเลขนาดใหญ่ถึงเพียงนั้น พลังยุทธ์ย่อมแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง คงมีไม่กี่คนหรอกกระมังที่เคยกินเนื้อพวกมัน”
ซือหม่าโยวเย่ว์ลูบคางพลางคิดในใจว่าคราวนี้จะต้องหาโอกาสลองชิมให้ได้
“สัตว์อสูรวิเศษทะเลใช้ปราณวิญญาณชำระล้างร่างกาย ไม่ต้องพูดถึงคุณภาพเนื้อเลย” ซือหม่าโยวหลินเดินเข้ามาแล้วพูดอย่างเรียบเรื่อย
ซือหม่าโยวเย่ว์และซือหม่าโยวหลานประหลาดใจกับการที่ซือหม่าโยวหลินเดินเข้ามาสนทนากับพวกตนอยู่บ้าง ตลอดขามาเขาไม่เคยสนทนาเรื่องเหล่านี้กับพวกตนมาก่อนเลยมิใช่หรือ แล้วเหตุใดจึงเข้ามาตอนนี้เล่า
“ท้องฟ้าแดงๆ เหมือนฝนจะตกเลยนะ” ซือหม่าโยวเย่ว์เงยหน้าขึ้นมอง “ก็ไม่มีนี่นา! แปลกจริง”
ซือหม่าโยวหลินถลึงตาใส่ซือหม่าโยวเย่ว์ เจ้าคนผู้นี้ช่างน่าต่อยเสียจริง
เขายืนอยู่บนกราบข้างเรือตั้งแต่ตอนที่ซือหม่าโยวเย่ว์ตื่นเต้นกับปลาในน้ำแล้ว เดิมทีก็ไม่คิดจะเข้ามาร่วมวงด้วย แต่เมื่อเห็นนัยน์ตาเปล่งประกายคู่นั้นของซือหม่าโยวเย่ว์ เขาก็เดินเข้ามาร่วมสนทนากับเธอโดยไม่รู้ตัว
“สัตว์ทะเลเหล่านั้นพลังยุทธ์แข็งแกร่งยิ่งนัก แม้แต่พวกเราก็มิอาจไปยุแหย่พวกมันตามใจชอบได้” เขาเอ่ยเตือน “ถึงแม้ว่าเจ้าจะมีความสนใจต่อพวกมันมาก ก็อย่าทำอะไรหุนหันพลันแล่นล่ะ”
“อืมๆ ข้าจะพยายาม” ซือหม่าโยวเย่ว์พยักหน้า
เธอมาที่พื้นสมุทรเป็นครั้งแรก ย่อมไม่มีทางทำอะไรหุนหันพลันแล่นอยู่แล้ว ถึงอย่างไรที่นี่ก็เป็นถึงสถานที่ที่แม้แต่จ้าววิญญาณยังต้องหวาดหวั่น ย่อมต้องมีความอันตรายในตัวของมันเองอย่างแน่นอน
“โยวหลิน ทุกครั้งที่ได้ยินชื่อนี้ข้าต้องคิดถึงภูตผีวิญญาณทุกครั้งเลย” ซือหม่าโยวเย่ว์พึมพำเสียงเบา แต่เห็นได้ชัดว่าเสียงนั้นยังไม่เบาพอ เพราะทั้งสองคนที่อยู่ข้างเธอล้วนได้ยินกันทั้งคู่
เมื่อเห็นว่าสีหน้าของซือหม่าโยวหลินมิได้เรียบเฉยอีกต่อไป ซือหม่าโยวหลานจึงอดที่จะปิดปากพลางลอบหัวเราะมิได้
เมื่อเห็นท่าทีไม่สงบของเขา ซือหม่าโยวเย่ว์ก็พึงพอใจยิ่ง “ใช่แล้ว ข้าจะไปจำแนกเครื่องยา ส่วนโยวหลินจะอาศัยโอกาสนี้ในการฝึกฝน แล้วเหตุใดเจ้าต้องไปด้วยเล่า โยวหลาน มิได้ว่ากันว่าที่นี่อันตรายอย่างยิ่งหรอกหรือ”
“เพราะโยวหลานมีสัมผัสไวต่อวัตถุวิญญาณตั้งแต่กำเนิดน่ะสิ” ซือหม่าโยวหลินพูด
“สัมผัสวัตถุวิญญาณได้ตั้งแต่กำเนิดอย่างนั้นหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์เบิกตาโตพลางมองประเมินซือหม่าโยวหลานอย่างใคร่รู้
“ว่ากันว่าบรรพบุรุษผู้ก่อตั้งของพวกเรามีสายโลหิตสัตว์อสูรวิเศษแฝงอยู่ในกาย แต่ไม่เคยมีใครใส่ใจมาโดยตลอด เพราะแต่ไหนแต่ไรก็ไม่มีใครเคยสำแดงมันอกมาเลย” ซือหม่าโยวหลินตอบ
“สายโลหิตสัตว์อสูรวิเศษในร่างกายโยวหลานตื่นรู้แล้วอย่างนั้นหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม
ซือหม่าโยวหลานพยักหน้า
ซือหม่าโยวเย่ว์ยังอยากพูดอะไรบางอย่างอีก แต่ทันใดนั้นก็รู้สึกได้ถึงกลิ่นอายอันตรายขุมหนึ่ง จึงหมุนกายมองไปทางมหาสมุทร
“มีสัตว์ทะเลเข้ามาใกล้!” ภายในห้องชั้นบนสุด เสียงของผู้อาวุโสใหญ่ดังลอยมา เพียงไม่นานเหล่าบรรพวิญญาณก็มาปรากฏตัวบนกราบข้างเรือ
ซือหม่าโยวเย่ว์มองไปที่ผิวน้ำ ดูแล้วคลื่นลมยังคงสงบนิ่ง แต่ที่ใต้ท้องน้ำ กลิ่นอายอันตรายก็ยังคงเข้ามาใกล้
“วี้ดดด…”
หลังจากเสียงร้องแหลมสูง ปลาทะเลหลายสิบตัวก็ปรากฏตัวขึ้น
………………………………………