สลับชะตา ชายามือสังหาร - ตอนที่ 26 ราชันแห่งอาวุธเทพ
เสียงหวีดแหลมและเสียงก่นด่าของเจ้าวิญญาณน้อยดังขึ้นอย่างพร้อมเพรียงกัน ดังนั้นอีกเสียงหนึ่งจึงมิอาจเป็นเสียงกรีดร้องของเจ้าวิญญาณน้อยไปได้
ซือหม่าโยวเย่ว์มองดูเจ้าคำรามน้อยที่สีหน้าเต็มไปด้วยความสงสัยเช่นเดียวกัน เสียงกรีดร้องนั้นก็มิได้เกิดจากมันเสียหน่อย
ยังมิทันจะคิดเป็นอย่างอื่น ภาพเหตุการณ์ตรงหน้าเธอก็เปลี่ยนแปลงไป เธอถูกดึงเข้ามาอยู่ในมณีวิญญาณ เจ้าวิญญาณน้อยปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าเธอ
“มิได้บอกว่าเข้ามาได้เฉพาะตอนที่ข้าอยากจะเข้ามาเท่านั้นหรอกหรือ แล้วเจ้าพาตัวข้าเข้ามาได้อย่างไรกัน”
เจ้าวิญญาณน้อยกลอกตาใส่ซือหม่าโยวเย่ว์แล้วพูดว่า “พวกนั้นเป็นอาวุธวิญญาณทั่วไป ขอเพียงแค่เป็นอาวุธวิญญาณที่แข็งแกร่งสักหน่อยก็ยังดึงเข้ามาได้เลย ไม่ต้องพูดถึงข้าหรอก”
“เช่นนั้นก็ดีเลย” ซือหม่าโยวเย่ว์ลูบจมูกของตัวเองแล้วถามว่า “เจ้าดึงข้าเข้ามาทำไมกัน แล้วเมื่อครู่เจ้าร้องอะไรของเจ้า”
“เจ้านี่มันโง่จริงๆ!” เจ้าวิญญาณน้อยรู้สึกว่าซือหม่าโยวเย่ว์ผู้นี้เป็นคนที่โง่ที่สุดในบรรดาเจ้านายมากมายที่มันเคยยอมรับมาแล้ว คิดไม่ออกจริงๆ ว่านางมีชะตาผูกกับตนจนทำให้ตนยอมรับเป็นเจ้านายได้อย่างไร
ซือหม่าโยวเย่ว์งอนิ้วชี้แล้วเขกลงบนหัวเจ้าวิญญาณน้อยเบาๆ ครั้งหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยอย่างไม่พอใจว่า “มีอาวุธวิญญาณที่ไหนเขาดูแคลนเจ้านายกันด้วยหรือ เจ้าบ้านี่ ถ้าหากยังดูแคลนข้าอีก ข้าจะเอาเจ้าไปเผาในกองไฟแล้วนะ!”
“ข้าก็แค่พูดไปตามความเป็นจริงเท่านั้นเอง” เจ้าวิญญาณน้อยมิได้เกรงกลัวการข่มขู่ของซือหม่าโยวเย่ว์เลย
“เอาละ รีบบอกเหตุผลที่เจ้าดึงข้าเข้ามาเร็วเข้าเถิด” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดจบแล้วความคิดก็วูบไหวคราหนึ่ง เก้าอี้ตัวหนึ่งก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าเธอ
เธอค้นพบแล้วว่าเมื่ออยู่ที่นี่อำนาจจิตของเธอก็คือเทพ เพียงแค่เธอนึกคิดเท่านั้น ของที่อยู่ที่อื่นล้วนปรากฏขึ้นตรงหน้าตนได้ในพริบตาทั้งสิ้น
เจ้าวิญญาณน้อยเห็นซือหม่าโยวเย่ว์ตระหนักรู้ในจุดนี้ได้อย่างรวดเร็วถึงเพียงนี้จึงเลิกคิ้วขึ้น
“ไอ้หยา เจ้ามัวแต่อมพะนำอันใดอยู่เล่า รีบบอกมาเร็วเข้าสิ!” เจ้าคำรามน้อยที่รออยู่ข้างๆ เห็นเจ้าวิญญาณน้อยไม่ยอมพูดเสียทีจึงเอ่ยเร่ง
เจ้าวิญญาณน้อยไม่ตอบพวกเขา มันร่อนตัวลงบนหินลับมีดแล้วยื่นมือน้อยๆ อันเล็กป้อมไปเขี่ยกริชเล่มนั้นแล้วเอ่ยว่า “เจ้าจะแกล้งทำไปจนถึงเมื่อไหร่กัน”
กริชไร้ซึ่งความเคลื่อนไหว
“หากเจ้ายังแกล้งทำอยู่อีก ข้าจะให้นางลับคมเจ้าแล้วนะ!” เจ้าวิญญาณน้อยข่มขู่
ดูท่าคำขู่นี้จะค่อนข้างได้ผล จึงเห็นกริชเล่มนั้นสั่นไหวอยู่บนหินลับมีดสองครั้ง หลังจากนั้นก็ยืนขึ้นมาเสียงดังสวบ ก่อนจะลอยไปอยู่เหนือหัวของเจ้าวิญญาณน้อยเสียงดังพึ่บพั่บ แล้วอาศัยจังหวะที่มันยังไม่ทันตั้งตัวตีลงไปแรงๆ น้ำเสียงอ่อนวัยดังขึ้นมาในขณะเดียวกันว่า “ถ้าเจ้ากล้าลับข้าล่ะก็ ข้าจะสับเจ้าที่นี่ให้แหลกละเอียดไปเลย!”
อารมณ์ของเจ้าวิญญาณน้อยถูกจุดจนลุกโชน จึงมิได้สนใจพวกซือหม่าโยวเย่ว์ ต่อกรกับเจ้ากริชต่อไป
ซือหม่าโยวเย่ว์และเจ้าคำรามน้อยตะลึงงันไปกับภาพเหตุการณ์ตรงหน้า มองดูกริชกับเจ้าวิญญาณน้อยข่มขู่กันไปมาอย่างตกตะลึง
“แม้แต่กริชยังพูดได้ด้วยหรือ” เจ้าคำรามน้อยพูดอย่างประหลาดใจ
“เจ้ารู้หรือไม่ว่านี่มันเรื่องอะไรกัน” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม
“ไม่รู้สิ” เจ้าคำรามน้อยตอบอย่างเรียบง่ายอย่างยิ่ง
“เจ้ามิได้บอกว่าเจ้าเป็นสัตว์อสูรเทพโบราณที่รู้ทุกสิ่งทุกอย่างหรอกหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์หันหน้าไปถาม
“ไอ้หยา ข้าเป็นเพียงแค่คำรามเทพรุ่นหลังเท่านั้นเอง มิใช่สัตว์ประหลาดโบร่ำโบราณที่ใช้ชีวิตอยู่มาหลายสิบล้านปีเช่นนั้นจริงๆ เสียหน่อย ที่ข้าบอกว่ารู้ทุกสิ่งทุกอย่างนั้นหมายความว่านับตั้งแต่พวกเรารับถ่ายทอดมา แต่หลังการรับถ่ายทอดก็มิได้มีเจ้านี่อยู่เสียหน่อย ข้าก็ย่อมไม่รู้จักอยู่แล้วละ” เจ้าคำรามน้อยกลอกตาใส่ซือหม่าโยวเย่ว์ครั้งหนึ่ง พร้อมกันนั้นก็แอบทอดถอนใจ
ก่อนหน้านี้มันเคยพูดกับเธอเช่นนี้ แต่วิญญาณของเธอถูกทำลายจนจำมิได้เสียแล้ว
รอจนเจ้าวิญญาณน้อยกับเจ้ากริชตบตีกันไปครู่หนึ่ง ซือหม่าโยวเย่ว์จึงค่อยส่งเสียงห้ามปราม “ข้าอยากรู้นักว่าพวกเจ้าทั้งสองจะตีกันไปจนถึงเมื่อไหร่ มิใช่ว่าควรจะบอกข้าสักหน่อยหรือว่านี่มันเรื่องอันใดกัน”
เจ้ากริชได้ยินคำพูดของซือหม่าโยวเย่ว์แล้วจึงลอยเข้ามาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าซือหม่าโยวเย่ว์ก่อนจะพูดว่า “เย่ว์เย่ว์น้อย เจ้าอย่าได้ใช้หินลับมีดลับข้าเชียว!”
ซือหม่าโยวเย่ว์เอื้อมมือไปเขี่ยกริชที่ลอยเข้ามาเองแล้วพูดว่า “บนตัวเจ้ามีสนิมมากมายถึงเพียงนี้ หากไม่ลับจนเกลี้ยงเกลาแล้วจะใช้การได้อย่างไรกัน สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าคือเจ้าพูดได้อย่างไรกัน! เจ้าวิญญาณน้อย เจ้ามาตอบข้าที”
น้ำเสียงของเธอสูงขึ้นอย่างฉับพลันจนทำให้เจ้าวิญญาณน้อยและเจ้ากริชพากันสะดุ้งตัวลอย
“มันมิใช่อาวุธเทพธรรมดาๆ หรอกนะ” เจ้าวิญญาณน้อยพูด
“ข้ามองออกแล้ว บอกจุดสำคัญมาสิว่าเจ้านี่เป็นของสิ่งใดกันแน่” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
“ข้ามิใช่สิ่งของ ข้าเป็นสุดยอดอาวุธเทพต่างหากเล่า!” เจ้ากริชพูด
มิใช่สิ่งของ…
ซือหม่าโยวเย่ว์สะดุ้งกับคำพูดของเจ้ากริช แต่ในขณะเดียวกันก็รู้สึกประหลาดใจเพราะคำพูดครึ่งหลังของมัน
“เจ้าเป็นสุดยอดอาวุธเทพอย่างนั้นหรือ เห็นชัดๆ ว่าสุดยอดอาวุธเทพคือข้าต่างหากเล่า!” เจ้าวิญญาณน้อยได้ยินวาจาของเจ้ากริชแล้วก็ไม่ยอม จึงพูดขัดคอขึ้นมาในทันที
“ข้าต่างหากที่เป็นสุดยอดอาวุธเทพ เก่งกาจกว่าเจ้าเยอะ!” กริชสวนขึ้น
“ข้าต่างหากล่ะที่เก่งกาจกว่าเจ้า!” เจ้าวิญญาณน้อยเถียง
“ข้าต่างหากที่เก่งกาจ!”
“เอาละ พวกเจ้าทั้งสองอย่าเถียงกันอีกเลย รีบบอกข้ามาเร็วเข้าว่าที่แท้แล้วนี่มันเรื่องอันใดกัน ที่แท้แล้วเจ้าเป็นสิ่งของอันใดกันแน่” ซือหม่าโยวเย่ว์ขัดมิให้ทั้งสองถกเถียงกันต่อไป ถ้าไม่อย่างนั้น ดูจากสถานการณ์ของพวกเขาแล้ว เถียงกันไปถึงพรุ่งนี้ก็คงไม่จบแน่
“เย่ว์เย่ว์น้อย ข้าก็บอกแล้วนี่ว่าข้ามิใช่สิ่งของเสียหน่อย” เจ้ากริชพูดอย่างเศร้าสร้อยอยู่บ้าง “ข้าคืออาวุธเทพ หลิงหลง”
เจ้าวิญญาณน้อยได้ยินเจ้ากริชประกาศว่าตนเป็นสุดยอดอาวุธเทพอีกครั้งแล้วก็นึกอยากจะเอ่ยวาจา แต่กลับถูกซือหม่าโยวเย่ว์ถลึงตาใส่ครั้งหนึ่ง จึงกลืนคำพูดกลับลงคอไป
“หลิงหลงหรือ นี่คืออาวุธอันใดกัน” ซือหม่าโยวเย่ว์ถามอย่างไม่เข้าใจ
“ก็คือหลิงหลงน่ะสิ!” หลิงหลงพูด “ก่อนหน้านี้ข้าเป็นศิลาเทพอันวิจิตรแห่งยุคดึกดำบรรพ์ที่ถือกำเนิดขึ้นมาพร้อมกับฟ้าดิน สายแร่ที่มีอยู่ภายในร่างของข้าเหล่านั้นก็เพียงพอสำหรับการหลอมอาวุธเทพแล้ว ต่อมายุคดึกดำบรรพ์มีมหาเทพหลอมวัตถุขึ้นมาคนหนึ่ง เขาหาข้าพบแล้วหลอมข้าจนกลายเป็นอาวุธเทพขึ้นมาได้สำเร็จ ก่อนที่ข้าจะถูกหลอมกลายเป็นอาวุธเทพก็มีสติรับรู้อยู่แล้ว ระหว่างกระบวนการหลอมนั้นข้าถูกแยกสลายและหลอมรวมใหม่ ความเจ็บปวดนั้นทำให้ข้าสูญสิ้นสติรับรู้ไป ข้าเองยังคิดว่าข้าตายไปเสียแล้ว แต่ผลปรากฏว่าตอนที่ข้าลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ข้าก็มีรูปลักษณ์เป็นเช่นนี้เสียแล้ว”
“แล้วเหตุใดเขาจึงหลอมเจ้าขึ้นมาเป็นกริชเล่า ที่โลกแห่งนี้ พลังโจมตีของกริชสู้อาวุธอื่นๆ มิได้เสียหน่อย” ซือหม่าโยวเย่ว์ถามอย่างไม่เข้าใจ
“นี่ก็มิใช่รูปลักษณ์ที่แท้จริงของข้าหรอก” หลิงหลงพูด “เพียงแต่ว่าตอนนี้ข้าแสดงได้เพียงแค่รูปลักษณ์นี้เท่านั้นเอง”
“พูดเช่นนี้ก็หมายความว่าเจ้ายังมีรูปลักษณ์อื่นอยู่อีกอย่างนั้นหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์ตื่นเต้นเสียแล้ว
“ใช่แล้ว ในเมื่อได้รับการขนานนามว่าเป็นสุดยอดอาวุธเทพ ข้าก็ย่อมต้องมีทักษะเฉพาะตัวของข้าอยู่แล้วสิ!” เสียงของหลิงหลงเปลี่ยนเป็นลำพองใจขึ้นมาแล้วพูดว่า “ข้าแปลงเป็นอาวุธต่างๆ ได้ดังใจนึก ไม่ว่าจะเป็นหอกยาว มีดใหญ่ หรือจะเป็นกระบี่อันแหลมคม อยากจะแปลงเป็นสิ่งใดก็ได้ทั้งสิ้น
นอกจากเจ้านี่เท่านั้นที่ข้าไม่อาจแปลงกายเลียนแบบได้ ส่วนอาวุธอื่นๆ นั้นข้าล้วนแปลงกายเลียนแบบได้ทั้งสิ้น”
“นี่ก็ชัดเจนแล้วว่าเจ้าสู้ข้ามิได้!” เจ้าวิญญาณน้อยพูดอย่างลำพองใจ
ซือหม่าโยวเย่ว์มองเจ้ากริชด้วยสองตาเปล่งประกายแล้วเอ่ยว่า “เช่นนั้นเจ้าลองแปลงกายเป็นอาวุธอื่นๆ ให้ข้าดูสักหน่อยสิ”
“การแปลงร่างนี้ก็ต้องให้เจ้านายเป็นผู้ควบคุมด้วย” เจ้ากริชพูด “เย่ว์เย่ว์น้อย ข้าชอบเจ้ายิ่งนัก ให้ข้ายอมรับเจ้าเป็นเจ้านายเถิดนะ”
“ยอมรับเป็นเจ้านายหรือ อาวุธนี้ก็จำเป็นต้องยอมรับเป็นเจ้านายด้วยหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม
“โง่เง่ายิ่งนัก! หากมิได้ยอมรับเป็นเจ้านาย แล้วเจ้าจะเข้ามาภายในมณีวิญญาณนี่ได้อย่างไรกันเล่า” เจ้าวิญญาณน้อยพูด
ซือหม่าโยวเย่ว์ถลึงตาใส่เจ้าวิญญาณน้อยครั้งหนึ่ง เจ้านี่ ด่าเธอว่าโง่บ่อยเหลือเกิน เธอโง่ตรงไหนกัน เพียงแค่ยังไม่ค่อยรู้จักโลกแห่งนี้ดีสักเท่าไรนักเท่านั้นเอง
“อะแฮ่มๆๆ…” ตอนที่เจ้ากริชมิได้ทะเลาะเจ้าวิญญาณน้อย ล้วนเป็นช่วงเวลาที่มันอารมณ์ดี มันอธิบายให้ซือหม่าโยวเย่ว์ฟังอย่างอดทนว่า “โลกแห่งนี้ ระหว่างอาวุธวิญญาณกับเจ้านายของตนนั้นจำเป็นจะต้องมีสายสัมพันธ์ต่อกัน สายสัมพันธ์นี้จะทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งสองฝ่ายเพิ่มความใกล้ชิดกันมากยิ่งขึ้น ตอนที่ใช้งานอาวุธวิญญาณก็จะทำให้พลังเพิ่มมากขึ้นด้วย”
“เช่นนี้นี่เอง!” ซือหม่าโยวเย่ว์เข้าใจขึ้นมาแล้ว “ข้ายังคิดว่ามีเพียงแค่เจ้าวิญญาณน้อยเท่านั้นที่ต้องทำการยอมรับเป็นเจ้านาย ส่วนอาวุธวิญญาณอื่นๆ ไม่ต้องทำการยอมรับเป็นเจ้านาย เช่นนั้นพวกเราก็มาทำการยอมรับเป็นเจ้านายกันเถิด”
…………………