สลับชะตา ชายามือสังหาร - ตอนที่ 272 เตรียมเอาไว้ให้ตระกูลน่าหลาน
เช้าวันรุ่งขึ้น พวกซือหม่าโยวเย่ว์จึงเตรียมตัวออกเดินทาง ตอนออกมาจากห้องก็พบกับหญิงสาวสองคนเมื่อวานนี้เข้าพอดี
หญิงสาวกระโปรงขาวยิ้มให้พวกเขา ส่วนหงสยานั้นมีท่าทีหยิ่งยโสมากยิ่งขึ้นกว่าเดิมเสียอีก
“เมื่อวานนี้ขอบคุณพวกเจ้ามากที่ยกห้องให้พวกเรา ทำให้พวกเราไม่ต้องไปนอนข้างถนน” เหยียนลู่พูดยิ้มๆ
“ไม่ต้องเกรงใจหรอก เมื่อวานเจ้าก็ขอบคุณไปแล้วด้วย” ซือหม่าโยวเย่ว์รับคำ
ซือหม่าโยวหยางปิดห้องเรียบร้อยแล้วจึงเดินเข้ามาแล้วเอ่ยว่า “ไปกันเถิด มิฉะนั้นคืนนี้จะไปไม่ถึงเขาภาพมังกรเอานะ”
เหยียนลู่ได้ยินชื่อเขาภาพมังกร จึงเอ่ยว่า “พวกเจ้าก็จะไปที่เมืองวิเศษเหมือนกันหรือ”
“ใช่แล้ว พวกเจ้าก็ด้วยหรือ” ซือหม่าโยวหยางเอ่ยถาม
“ถูกต้อง ในเมื่อจะไปที่เมืองวิเศษเหมือนกันทั้งหมด เช่นนั้นก็ร่วมทางไปด้วยกันมิดีกว่าหรือ พวกเจ้าคงไม่รังเกียจที่มีพวกเราเพิ่มมาอีกสองคนกระมัง” เหยียนลู่พูดยิ้มๆ
“ศิษย์พี่หญิง!” หงสยาขมวดคิ้วอย่างไม่เห็นด้วย
“ไม่เป็นไรหรอก” เหยียนลู่พูดกับหงสยา “ถึงอย่างไรก็ไปทางเดียวกันอยู่แล้ว”
“พวกเจ้าเป็นคนของเมืองวิเศษหรือ” ซือหม่าโยวฉิงถาม
“ใช่แล้ว พวกเรารับคำสั่งอาจารย์ออกมาทำธุระแล้วกำลังจะกลับน่ะ” เหยียนลู่พูด
“เช่นนี้ก็ดี พวกเราไม่เคยไปที่เมืองวิเศษกันมาก่อนเลย อยากจะหาคนนำทางอยู่พอดีทีเดียว!” ซือหม่าโยวหยางพูดด้วยรอยยิ้ม “มีหญิงงามสองคนเป็นเพื่อนร่วมทาง ช่างเป็นเรื่องน่ายินดีเสียจริง!”
ถึงแม้ว่าหงสยาจะไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง แต่ก็ดูเหมือนจะเชื่อฟังคำพูดของเหยียนลู่อยู่มาก ดังนั้นจึงได้แต่เดินทางไปพร้อมกันกับพวกเขา
หลังออกมาจากเมืองเล็ก พวกเขาก็เดินทางมุ่งหน้าขึ้นไปทางเหนือ สัตว์อสูรบินได้เดินทางมาสองวันก็มาถึงเมืองวิเศษ ระหว่างนั้นล้วนมีแต่เทือกเขาเขียวขจี มีเพียงแค่เขาภาพมังกรเท่านั้นที่มีหมู่บ้านขนาดเล็กอยู่ พอจะเป็นที่พักอาศัยให้กับผู้ฝึกยุทธ์ได้
และพวกเขาจำเป็นต้องไปถึงหมู่บ้านแห่งนั้นก่อนฟ้ามืด
เจ้าอ้วนชวีไม่รู้จักที่นี่เลย จึงถามอย่างสงสัยว่า “พวกเราแวะพักท่ามกลางขุนเขาไม่ได้หรือ เหตุใดจึงต้องไปที่หมู่บ้านในเขาภาพมังกรด้วยเล่า”
“พวกเจ้าไม่เคยได้ยินชื่อเทือกเขาหมื่นอสูรมาก่อนเลยหรือ” เหยียนลู่ถามอย่างประหลาดใจ
เจ้าอ้วนชวีเกาท้ายทอยพลางเอ่ยว่า “ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย”
“ช่างบ้านนอกเสียจริง แค่นี้ก็ไม่รู้จัก!” หงสยามองเจ้าอ้วนชวีอย่างดูแคลน
เหยียนลู่มิได้ดูแคลนพวกเขา นางเอ่ยว่า “เมืองวิเศษอยู่ภายในเทือกเขาหมื่นอสูร เทือกเขาหมื่นอสูรแห่งนี้ไม่เหมือนเทือกเขาอื่น พอตกกลางคืนแล้วอาจพบกับการจลาจลสัตว์อสูรวิเศษได้ตลอดเวลา อันตรายเป็นอย่างยิ่ง ถ้าหากพบกับการอพยพสัตว์อสูรเข้า ก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย”
ซือหม่าโยวเย่ว์เองก็เพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรก จึงเอ่ยพึมพำว่า “เทือกเขาหมื่นอสูรใช้เขตเวลาอเมริกาหรือไง เวลาถึงได้กลับกันกับเทือกเขาแห่งอื่น”
“เจ้าว่าอะไรนะ” เหยียนลู่ฟังไม่ชัดจึงเอ่ยถามอีกครั้ง
“แค่กๆ ไม่มีอะไรหรอก” ซือหม่าโยวเย่ว์ถามต่อ “เช่นนั้นหมู่บ้านของเขาภาพมังกรก็น่าจะมีค่ายกลหรือข่ายมนตร์คุ้มกันสินะ”
“ใช่แล้ว” เหยียนลู่พูด “เพื่อให้เป็นสถานที่แวะพักได้ คนของเมืองวิเศษจึงได้สร้างหมู่บ้านบนเขาภาพมังกรซึ่งมีความปลอดภัยมากกว่า นอกจากนี้ยังได้เชิญปรมาจารย์ค่ายกลจากโลกเบื้องบนมาจัดวางค่ายกลคุ้มกันอีกด้วย”
“ในเมื่ออันตรายถึงเพียงนี้ แล้วเหตุใดจึงไม่ติดตั้งค่ายกลนำส่งเสียเล่า” เว่ยจือฉีถาม
“ก่อนหน้านี้ก็มีอยู่หรอก แต่ต่อมาห้วงมิติที่นั่นกลายเป็นไม่เสถียรขึ้นมา จึงไม่มีทางใช้ค่ายกลนำส่งได้อีกแล้ว” เหยียนลู่พูดอธิบาย
“เช่นนั้นก็เปลี่ยนที่ตั้งเสียสิ” เจ้าอ้วนชวีพูด
เหยียนลู่ยิ้มพลางส่ายหน้าแล้วเอ่ยว่า “เมืองวิเศษสืบทอดที่นั่นต่อมากว่าหมื่นปีแล้ว ย่อมต้องมีเหตุผลบางอย่างอยู่แน่นอน ใช่ว่านึกอยากจะย้ายถิ่นฐานก็ย้ายได้เลยหรอก”
“ในเมื่อเทือกเขาหมื่นอสูรอันตรายถึงเพียงนี้ พวกเจ้าสองคนออกมาแล้วไม่กังวลกันหรือ” ซือหม่าโยวหยางถาม
“จากที่นี่ไปถึงเขาภาพมังกรมิได้อันตรายมากนัก นอกจากนี้ยังมีคนคอยรับพวกเราอยู่ที่เขาภาพมังกรด้วย” เหยียนลู่พูด “ตอนนี้ออกนอกเมืองแล้ว พวกเราใช้สัตว์อสูรบินได้กันเถิด”
“เฮ้… สัตว์อสูรบินได้ของพวกเรารวดเร็วจะตายไป เพียงครู่เดียวก็ทิ้งห่างพวกเจ้าแล้วล่ะ!” หงสยาพูด
“เจ้าไม่ต้องกังวลหรอก” ซือหม่าโยวหยางพูด “โยวเย่ว์ ไม่อย่างนั้นก็ให้เจ้าวิหคน้อยของเจ้าออกมาเสียสิ มันเร็วที่สุดแล้วนี่นา”
“ได้สิ” ซือหม่าโยวเย่ว์พยักหน้าแล้วเรียกเจ้าวิหคน้อยออกมา ให้มันแปลงเป็นร่างเดิม
“วิหคสี่ปีก!” เหยียนลู่ตกใจเล็กน้อย นี่เป็นราชันในบรรดาสัตว์อสูรบินได้เลยทีเดียว คิดไม่ถึงว่าพวกเขาจะมีสัตว์อสูรวิเศษเช่นนี้อยู่ด้วย
หงสยามีสีหน้าไม่น่าดูอยู่บ้าง ตนเพิ่งจะเย้ยหยันพวกเขาว่าอย่าถูกทิ้งห่างไปอยู่หยกๆ ตอนนี้อีกฝ่ายกลับเรียกตัวสัตว์อสูรบินได้ที่บินเร็วกว่าออกมา นี่เท่ากับเป็นการตบหน้านางฉาดใหญ่เลยทีเดียว
ถึงอย่างไรเหยียนลู่ก็มีหูตากว้างไกลกว่า นางฟื้นคืนสู่สภาวะปกติได้อย่างรวดเร็วแล้วเอ่ยว่า “สัตว์อสูรบินได้ของพวกเรามีความเร็วไม่เท่าของพวกเจ้า มิสู้ไปพร้อมกันกับพวกเจ้าเลยจะดีกว่า”
ซือหม่าโยวเย่ว์มองเธอด้วยสีหน้าเรียบเฉย ไม่มีเจตนาไม่ดีเลยแม้แต่น้อย ก่อนจะพยักหน้าเห็นด้วย
พอทุกคนขึ้นไปกันหมดแล้วเจ้าวิหคน้อยจึงสยายปีกบินขึ้นไป เพียงไม่นานก็ทิ้งเมืองเล็กเอาไว้เบื้องหลัง
“มิเสียทีที่ตระกูลซือหม่าเป็นขุมอำนาจชั้นหนึ่ง จึงมีพื้นฐานอันมั่นคงเช่นนี้” เหยียนลู่ได้สัมผัสกับความเร็วของเจ้าวิหคน้อยจึงเอ่ยปากชม
เพราะเจ้าวิหคน้อยรวดเร็วเป็นอย่างยิ่ง เดิมทีควรจะมาถึงเขาภาพมังกรในยามราตรี แต่พวกเขากลับมาถึงที่นี่ตั้งแต่พลบค่ำ
“ที่นี่คือหมู่บ้านหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์มองดูหมู่บ้านภาพมังกรที่เป็นเพียงแค่บ้านเรือนกลุ่มหนึ่งตั้งอยู่ด้วยกันเท่านั้น พร้อมกับกะพริบตาอย่างแรง
“ที่นี่ค่อนข้างเล็ก แต่ก็มีครบครันทุกสิ่งทุกอย่าง ข้าวของข้างในก็ดีมากเลยทีเดียวนะ” เหยียนลู่ลงมาจากร่างเจ้าวิหคน้อยแล้วเอ่ยพลางมองพวกเขา “โรงเตี๊ยม ร้านค้า อะไรก็ไม่ขาดตกบกพร่องเลย เพียงแต่ออกจะแพงอยู่บ้างเท่านั้นเอง”
“พวกเราเข้าไปดูกันก่อนดีกว่า” ซือหม่าโยวเย่ว์ก็กระโดดลงมาแล้วเอ่ยขึ้น
เจ้าวิหคน้อยแปลงร่างกลายเป็นนกน้อยตัวหนึ่งบินมาเกาะบนบ่าเธอ
พวกเขาเดินเข้าไปในหมู่บ้าน เดิมทีคิดว่าจะต้องเงียบเหงาวังเวง แต่คิดไม่ถึงว่ากลับค่อนข้างคึกคัก คลาคล่ำไปด้วยทหารรับจ้างและผู้ฝึกยุทธ์ รวมทั้งผู้ที่เตรียมตัวจะไปเข้าร่วมงานประลองเหมือนกับพวกเขา
“ยากจะจินตนาการจริงๆ ว่าที่นี่จะรองรับผู้คนได้มากมายถึงเพียงนี้!” เว่ยจือฉีเอ่ยชม
“นั่นสิ ช่างเปิดโลกทัศน์เสียจริง” พวกซือหม่าโยวฉิงก็เพิ่งเคยมาเป็นครั้งแรก จึงมีความสนใจในสถานที่แห่งนี้เป็นอย่างยิ่ง
เหยียนลู่พาพวกเขาไปยังโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งบนถนนหลักพลางเอ่ยว่า “ที่นี่คือโรงเตี๊ยมที่ใหญ่ที่สุดในนี้ พวกศิษย์พี่ของข้าบอกว่าจะมารอรับพวกเราอยู่ที่นี่”
พอพวกซือหม่าโยวเย่ว์เข้าไปแล้วก็สัมผัสได้ถึงสายตามากมาย ซึ่งมีสายตาสองสายในบรรดานั้นที่มิได้เป็นมิตรมากนัก
“ศิษย์น้องหญิง” บุรุษรูปร่างสูงใหญ่ผู้หนึ่งเห็นพวกเขาจึงเดินเข้ามาหาพลางถามว่า “เหตุใดพวกเจ้าจึงเพิ่งกลับมาถึงในวันนี้เล่า พวกเรารอพวกเจ้ามาตั้งครึ่งค่อนเดือน ยังคิดว่าจะเกิดเรื่องอันใดขึ้นกับพวกเจ้าเสียแล้ว เป็นห่วงพวกเจ้าแทบแย่เลยนะ”
เหยียนลู่ดูไม่ค่อยจะชอบพอคนผู้นี้สักเท่าใดนัก นางยิ้มด้วยสีหน้าเรียบเฉย แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ศิษย์พี่หลี่ เหตุใดท่านจึงเป็นคนมารับเล่า”
“เกิดเรื่องที่ตำหนักผู้วิเศษน่ะสิ จึงได้เรียกตัวศิษย์พี่หานไป ท่านอาจารย์เป็นห่วงความปลอดภัยของพวกเจ้า จึงให้ข้าพาคนมารับพวกเจ้าแทน” หลี่มู่พูดอธิบาย
“อ้อ” เหยียนลู่รับคำเสียงหนึ่ง
ถึงแม้ว่าจะไม่ชอบหน้าหลี่มู่ผู้นี้ แต่ในเมื่อเรื่องมาถึงขนาดนี้แล้ว นางจึงมิอาจพูดอะไรได้อีก
“คนเหล่านี้คือใครหรือ” หลี่มู่มิได้ลืมเลือนว่าเมื่อครู่ตอนที่เหยียนลู่เข้ามานั้นยังพูดคุยหัวร่อต่อกระซิกกับพวกเขา นัยน์ตาจึงสาดประกายเยียบเย็น
“พวกเขาเป็นสหายที่พวกเรารู้จักระหว่างทางน่ะ” เหยียนลู่พูด หลังจากนั้นจึงออกคำสั่งกับเสี่ยวเอ้อร์ว่า “เสี่ยวเอ้อร์ เจ้าเตรียมห้องให้พวกเขาหน่อยสิ”
“ต้องขออภัยด้วยจริงๆ นะขอรับคุณหนูเหยียน ห้องรับรองแขกของพวกเราได้ถูกศิษย์พี่ของท่านเหมาไปหมดแล้ว ตอนนี้ไม่มีห้องว่างเหลือเลยขอรับ” เสี่ยวเอ้อร์เอ่ยตอบ
“ในเมื่อศิษย์พี่เหมาเอาไว้ เช่นนั้นก็ให้พวกเขาพักเถิด” เหยียนลู่พูด
“ศิษย์น้องหญิง ขอโทษด้วย ห้องนี้เตรียมเอาไว้สำหรับคนตระกูลน่าหลานน่ะ”