สลับชะตา ชายามือสังหาร - ตอนที่ 314 พลังการต่อสู้ของปรมาจารย์ค่ายกล
หลังจากที่พวกซือหม่าโยวเย่ว์ไปถึงสังเวียนต่อสู้ได้ไม่นาน คนของตำหนักผู้วิเศษ สมาคมนักหลอมยา สมาคมนักหลอมวัตถุ สมาคมนักฝึกสัตว์อสูร และสมาคมปรมาจารย์ค่ายกลก็มาถึงที่นั่นพร้อมกัน
คนจากตำหนักผู้วิเศษหนึ่งคน และจากสมาคมอื่นๆ แห่งละสองคน รวมทั้งสิ้นเก้าคน ไปยังโต๊ะกรรมการ
จากนั้นเจ้าตำหนักผู้วิเศษพร้อมกับนารีทิพย์และอูหลิงอวี่ ด้านหลังมีประธานสมาคมแต่ละแห่งและรองประธานสมาคมตามมา พวกเขาไปยังที่นั่งผู้ชมด้านหน้า ผู้จัดงานคนหนึ่งเดินไปข้างหน้าแล้วพูดว่า “สวัสดีทุกท่าน ข้าคือผู้จัดงานในวันนี้ ซึ่งเป็นวันแรกของงานประลอง และเป็นเวลาแห่งการจัดลำดับขุมอำนาจครั้งเดียวในรอบยี่สิบปีอีกด้วย พวกเรายินดีอย่างยิ่งที่ได้เชิญผู้วิเศษแห่งตำหนักผู้วิเศษของโลกเบื้องบนมาชมการประลองในครั้งนี้ พร้อมกันนั้นยังได้เชิญ…”
ซือหม่าโยวเย่ว์ดูผู้จัดงานพูดพล่ามอยู่บนนั้นเป็นเวลาเนิ่นนาน นับถือความสามารถในการพูดพล่ามไร้สาระของเขาจากใจจริง
ผ่านไปเนิ่นนาน ผู้จัดงานผู้นั้นจึงเอ่ยว่า “ต่อไปจะเริ่มต้นการประลองของวันนี้ สังเวียนสามแห่ง แข่งขันได้สามคู่พร้อมกัน ส่วนกฎกติกานั้นได้แจ้งทุกท่านเอาไว้ก่อนหน้านี้แล้ว ตระกูลทั้งห้า ส่งรุ่นชรามาสี่คน รุ่นกลางแปดคน และรุ่นเยาว์สิบหกคน ทำการแข่งขันแบบไขว้ จัดลำดับจากจำนวนครั้งที่ชนะ ลำดับสุดท้ายจะต้องรับการท้าประลองจากขุมอำนาจชั้นสอง เอาละ คราวนี้พวกเราจะเริ่มแข่งขันจากรุ่นชราก่อน ต่อไปขอเชิญทุกตระกูลส่งคนออกมาสี่คน”
ห้าตระกูล ยี่สิบคน ระดับจ้าววิญญาณขั้นสูงยี่สิบคน
ป้ายลำดับเลขที่ยี่สิบอัน ตระกูลเดียวกันก็จะเป็นสีเดียวกัน มิอาจเลือกคนในตระกูลของตัวเองได้
ซือหม่าโยวเย่ว์นั่งอยู่บนอัฒจันทร์ เธอค้นพบว่าคนของตระกูลซือหม่าที่ขึ้นไปนั้นนอกจากจ้าววิญญาณขั้นแปดหนึ่งคน และจ้าววิญญาณขั้นเจ็ดสองคนแล้ว อีกคนหนึ่งก็คือซือหม่าหลิน ถึงแม้ว่าหลายปีมานี้พลังยุทธ์ของเขาจะเพิ่มพูนขึ้นอย่างรวดเร็ว และเพิ่มขึ้นหลายขั้นด้วยความช่วยเหลือของซือหม่าโยวเย่ว์ แต่ก็ยังเป็นเพียงแค่จ้าววิญญาณขั้นสี่เท่านั้น
แต่คนที่ตระกูลอื่นส่งมานั้น หากมิใช่ขั้นแปดก็เป็นขั้นเก้า ห่างชั้นกับเขามากมายเลยทีเดียว
“ท่านปู่หลินขึ้นไปจะไม่มีปัญหาหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์ถามอย่างเป็นกังวลอยู่บ้าง
“วางใจเถิด ท่านปู่ข้าบอกว่าถึงแม้ท่านปู่หลินจะมีระดับขั้นไม่สูงนัก แต่พลังการต่อสู้กลับมิได้อ่อนแอเลยแม้แต่น้อย เจ้าคอยดูสิ” ซือหม่าโยวหยางนั่งลงทางฝั่งซ้ายมือของเธอ เมื่อได้ยินความกังวลใจของเธอจึงพูดขึ้น
ซือหม่าโยวเย่ว์รู้ว่าพวกเขาหมายความว่าซือหม่าหลินเป็นปรมาจารย์ค่ายกล แต่เธอไม่เคยเห็นปรมาจารย์ค่ายกลต่อสู้มาก่อน จึงไม่รู้ว่าที่แท้แล้วพลังการต่อสู้จะเป็นเช่นไรบ้าง
แต่คิดดูแล้วจิ้งจอกเฒ่าผู้นั้นไม่มีทางปล่อยให้ตระกูลซือหม่าลำบากแน่นอน ในเมื่อส่งซือหม่าหลินขึ้นไปได้ ย่อมต้องคิดคำนวณมาเป็นอย่างดีแล้ว
ไม่อย่างนั้นคราวนี้มีจ้าววิญญาณขั้นสูงมากันตั้งหลายคน เขาก็ไม่จำเป็นต้องส่งซือหม่าหลินขึ้นไปก็ได้
เมื่อคนตระกูลอื่นเห็นระดับขั้นของซือหม่าหลินแล้วต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคนรุ่นชราของตระกูลซือหม่าคงจะไม่มีใครแล้วจริงๆ ถึงได้ส่งจ้าววิญญาณขั้นสี่ขึ้นไปเช่นนี้
ทว่าซือหม่าหลินกลับมิได้มีปฏิกิริยาต่อเรื่องนี้เลย และการประลองต่อมาทำให้คนที่หัวเราะเยาะเขาเหล่านั้นตบปากตัวเองอย่างแรง
การประลองของซือหม่าหลินจัดที่เวทีแรก คนเหล่านั้นพูดกันว่าเขาคงรับคู่ต่อสู้มิได้แม้แต่กระบวนท่าเดียว แต่เขากลับใช้ปราณวิญญาณผนวกเข้ากับห้วงมิติจนเอาชนะจ้าววิญญาณขั้นแปดที่ตระกูลหลี่เชิญมาได้ภายในสิบกระบวนท่า
ตอนที่กรรมการประกาศผู้ชนะ ทั่วทั้งสังเวียนต่อสู้ต่างฮือฮากันขึ้นมา จนกระทั่งตอนที่เขากลับมาหาคนตระกูลซือหม่า ทุกคนก็ยังไม่ได้สติกลับคืนมาเลย
เอาชนะง่ายๆ เช่นนี้น่ะหรือ อีกฝ่ายระดับสูงกว่าเขาถึงสี่ขั้นเต็มๆ เชียวนะ!
ซือหม่าโยวเย่ว์ก็ตกตะลึงเป็นอย่างยิ่ง พลังการต่อสู้ของปรมาจารย์ค่ายกลผู้นี้แข็งแกร่งเกินไปเสียแล้ว!
“โอ้ หลังจากกลับไปแล้วข้าจะฝึกฝนการควบคุมห้วงมิติให้นำมาใช้ร่วมกับการต่อสู้ได้บ้าง” เธอลูบคางพลางเอ่ยว่า “มิน่าเล่าท่านอาจารย์จึงบอกว่าปรมาจารย์ค่ายกลร้ายกาจเป็นอย่างยิ่ง ดูเหมือนเขาจะบอกว่าในตอนต่อสู้นั้นไม่เพียงแต่จะรวมค่ายกลเข้ามาใช้เท่านั้น แต่รวมถึงพลังห้วงมิติด้วย”
การต่อสู้ของรุ่นชรามิได้สิ้นสุดลงอย่างรวดเร็วเช่นนั้น ไม่มีใครเสร็จสิ้นลงอย่างรวดเร็วเหมือนซือหม่าหลินอีกแล้ว การประลองสิบคู่ แข่งพร้อมกันทีละสามสนาม ก็ยังใช้เวลายาวนานตลอดทั้งวันจึงจะเสร็จสิ้นลง
ซือหม่าโยวเย่ว์ดูการต่อสู้ระหว่างบรรดายอดฝีมืออย่างถี่ถ้วน โชคดีที่ยามรักษาการณ์แข็งแกร่งพอ คุ้มกันคนบนอัฒจันทร์เป็นอย่างดี ไม่อย่างนั้นทุกคนคงจะง่วนอยู่กับการหลบเลี่ยงเอาชีวิตรอดจนไม่มีเวลาดูการประลองแล้ว
ซือหม่าโยวเย่ว์ได้รับแรงบันดาลใจไม่น้อยจากการแข่งขันทุกยก บวกกับประสบการณ์ในการต่อสู้ของตน จึงได้เรียนรู้สิ่งที่มีประโยชน์ไม่น้อยเลย
หลังจากการประลองในวันแรกสิ้นสุดลงแล้ว ทุกคนต่างแยกย้ายกันไปพักผ่อน ตอนที่ซือหม่าโยวเย่ว์และคนรุ่นเยาว์ของตระกูลซือหม่าออกไปนั้นก็พบหลี่มู่อยู่กับชายหนุ่มอีกคนหนึ่ง พร้อมกันนั้นยังมีเหยียนลู่ด้วย
ซือหม่าโยวเย่ว์เห็นพวกเขากำลังมุ่งหน้ามาทางนี้เช่นกันจึงลงมาอย่างช้าๆ และพบกับพวกเขาเข้าพอดี
“โยวเย่ว์” เหยียนลู่ทักทายพวกเขาก่อน
“คุณหนูเหยียน” ซือหม่าโยวเย่ว์พยักหน้า หลังจากนั้นจึงมองหลี่มู่
หลี่มู่รู้ว่าเธอเจตนา เมื่อครู่เขาเห็นอยู่ชัดๆ ว่าพวกเธอกำลังจะออกไปอยู่แล้ว แต่กลับจงใจชะลอฝีเท้าเพื่อให้ได้พบกับพวกตน
ผู้คนรอบๆ เห็นพวกเขาเผชิญหน้ากัน จึงพากันหยุดเพื่อดูละครฉากสนุก
หลี่มู่ชักสีหน้า แต่ก็ยังคารวะซือหม่าโยวเย่ว์พลางเอ่ยว่า “ลูกพี่”
“ลุกขึ้นเถิด” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดอย่างเรียบเรื่อย
“โยวเย่ว์ โยวหยาง นี่คือศิษย์พี่หานโม่ของข้า ศิษย์พี่ พวกเขาคือโยวเย่ว์ โยวหยาง และโยวหลินแห่งตระกูลซือหม่าที่ข้าเล่าให้ฟัง…” เหยียนลู่แนะนำคนตระกูลซือหม่าให้หานโม่รู้จัก
หานโม่รูปโฉมหล่อเหลาพิสุทธิ์ ถึงแม้ว่าเขาจะกำลังอมยิ้มน้อยๆ แต่กลับทำให้คนรู้สึกคล้ายกับเสือยิ้มอยู่บ้าง เพราะในรอยยิ้มน้อยๆ นั้นแฝงความหนาวเหน็บเอาไว้ด้วย
หานโม่พยักหน้าให้กับพวกเขา หลังจากนั้นจึงมองซือหม่าโยวเย่ว์พลางเอ่ยว่า “ข้าได้ฟังเรื่องการประลองระหว่างเจ้ากับหลี่มู่มาบ้าง ได้ยินว่าเจ้าแข็งแกร่งยิ่งนัก”
“ร้ายกาจกว่าเขาเล็กน้อยเท่านั้น ไม่อย่างนั้นจะเอาชนะเขาได้อย่างไรเล่า” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
“ถ้าหากเจ้าต้องการ ไม่ลองมาเข้าร่วมงานประลองหลอมยาในภายหน้าดูเล่า” หานโม่พูดพลางหยิบเทียบเชิญสีทองออกมา
ซือหม่าโยวเย่ว์รับเทียบเชิญมาโดยไม่แสดงท่าทีแล้วอมยิ้มเอ่ยว่า “ถ้าถึงตอนนั้นข้ามีอารมณ์อยากไป บางทีอาจจะไปก็ได้นะ”
“หวังว่าพวกเราจะได้พบกันที่งานประลองนะ สมาคมยังมีธุระต้องทำ พวกเราขอตัวกลับก่อน” หานโม่พูดพลางพยักหน้าให้เธอแล้วพาคนของสมาคมนักหลอมยาจากไป
“น้องห้า เจ้าจะไปเข้าร่วมงานประลองหลอมยาหรือไม่” ซือหม่าโยวเล่อถาม
“ข้าไม่ได้สนใจเลย” ซือหม่าโยวเย่ว์โยนเทียบเชิญเก็บเข้าไปในแหวนเก็บวัตถุโดยไม่แม้แต่จะมอง
“ได้ยินว่างานประลองคราวนี้จะมีการตกรางวัลอย่างงามเชียวนะ” ซือหม่าโยวหยางพูด
“มีผู้เชี่ยวชาญแขนงอื่นด้วยหรือไม่ นักฝึกสัตว์อสูร? นักหลอมวัตถุ?” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม
“มีครบหมดเลย” ซือหม่าโยวหยางพูด
“อีกประเดี๋ยวไปถามพวกเจ้าอ้วนว่าอยากไปเข้าร่วมกันหรือไม่ ถึงอย่างไรข้าก็ไม่สนใจอยู่ดี” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
“ข้าว่าหานโม่ผู้นั้นมีความสนใจในตัวเจ้าเป็นอย่างยิ่ง นอกจากนี้ยังได้ยินมาว่าเขาหัวรั้นนัก ถ้าหากเขาอยากให้เจ้าไป ก็ต้องหาทางให้เจ้าไปเข้าร่วมจนได้” ซือหม่าโยวเล่อพูด
“จริงหรือ เช่นนั้นก็ต้องมาดูกันว่าเขามีความสามารถพอหรือไม่” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “ไปเถิด กลับกันดีกว่า”
สองวันต่อมาเป็นการประลองของคนรุ่นกลาง ซึ่งซือหม่าโยวเย่ว์มิได้ไปดูการประลองเลย หากแต่ใช้เวลาฝึกยุทธ์อยู่ในลานบ้านแทน รอให้ถึงเวลาที่คนรุ่นเยาว์ประลองกันแล้วจึงค่อยไปยังสังเวียนต่อสู้ใหม่อีกครั้ง
ในการประลองสองครั้งที่ผ่านมา สถานการณ์ของตระกูลซือหม่ามิสู้ดีนัก ควรจะเรียกว่าย่ำแย่เสียมากกว่า เพราะอยู่เป็นลำดับสุดท้ายในห้าตระกูล ถ้าหากรุ่นเยาว์ชนะได้ไม่ถึงสิบครั้งพวกเขาก็จะรั้งอยู่ลำดับท้ายสุดโดยสิ้นเชิง
……………………………………