สลับชะตา ชายามือสังหาร - ตอนที่ 315 น่าหลานหลานขึ้นสังเวียน
ตระกูลน่าหลานและตระกูลหลี่ดีใจกับผลงานเช่นนี้ของตระกูลซือหม่าเป็นอย่างยิ่ง สิ่งที่อยากเห็นที่สุดก็คือให้พวกเขาพ่ายแพ้อย่างราบคาบ หลังจากนั้นก็ถูกเอาชนะในการท้าประลอง แล้วหล่นลงไปเป็นขุมอำนาจชั้นสองจะดีที่สุด
ตระกูลซางและตระกูลซือหม่ามิได้มีความแค้นอันใดต่อกัน ดังนั้นจึงมิได้คิดอะไรกับพวกเขาเลย มีเพียงแค่คนตระกูลหั่วเท่านั้นที่เป็นกังวลแทนพวกเขาอยู่บ้าง
แต่คนตระกูลซือหม่ากลับไม่กังวลใจเลย เพราะพวกเขารู้ว่าคนรุ่นเยาว์ของพวกเขานั้นร้ายกาจกว่าตระกูลอื่นๆ อย่างแน่นอน
“ตระกูลซือหม่า รอจนถูกตีให้หน้าหงายกันหมดเสียก่อนเถิด!” คนตระกูลหลี่เห็นพวกซือหม่าโยวเย่ว์ จึงชูนิ้วกลางพลางพูดขึ้น หลังจากนั้นก็จากไปพร้อมเสียงหัวเราะดังลั่น
เด็กหนุ่มตระกูลซือหม่าคนหนึ่งโมโหขึ้นมา จึงคิดจะเข้าไปสั่งสอนคนผู้นั้น แต่ถูกซือหม่าโยวเย่ว์ปรามเอาไว้เสียก่อน
“โยวเย่ว์ เจ้าอย่ามารั้งข้า ข้าจะไปต่อยเขาสักทีหนึ่ง!” เด็กหนุ่มผู้นั้นดิ้นรนไปพลาง ตะโกนไปพลาง
“อย่าเพิ่งมุทะลุไปเลย ที่นี่คือสังเวียนต่อสู้ของงานประลอง ถ้าหากเจ้าก่อเรื่องวุ่นวายแล้วถูกพันธมิตรสมาคมขับไล่ออกไป ก็จะเสียสิทธิ์ในการประลองเลยนะ” ซือหม่าโยวหยางที่อยู่ข้างๆ เอ่ยขึ้น
“คนตระกูลหลี่ช่างน่าชังนัก!” เด็กคนนั้นพูดอย่างไม่พอใจ
“ข้ารู้จักคนผู้นั้น เขาคือหลี่เซินแห่งตระกูลหลี่ เป็นพี่ชายของหลี่มู่ และจะเข้าร่วมในการประลองวันนี้ด้วย” ซือหม่าโยวหรานพูด
“เช่นนั้นก็ดีเลย” ซือหม่าโยวหยางพูด “ทุกคนฟังให้ดี วันนี้เมื่อพบคนตระกูลน่าหลานและคนตระกูลหลี่ จงทุบตีพวกเขาให้พ่อแม่พวกเขาจำลูกไม่ได้เลย เข้าใจหรือไม่”
“เข้าใจแล้ว!”คนตระกูลซือหม่าตอบเป็นเสียงเดียวกัน
พวกเขากลับไปนั่งยังที่นั่ง คนรุ่นชราได้เห็นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่แล้วพึงพอใจอย่างยิ่งที่พวกเขามิได้ก่อเรื่องวุ่นวายเพราะถูกยั่วยุ
เพียงไม่นานการแข่งขันก็เริ่มต้นขึ้น ตัวแทนทั้งหมดต้องขึ้นไปจับฉลากเพื่อไม่ให้จับคู่ได้คนในตระกูลตัวเอง หลังจากนั้นจึงขึ้นเวทีประลองไปตามลำดับหมายเลข
การประลองในคราวนี้มิอาจตัดสินผู้มีพรสวรรค์จากแต่ละตระกูลได้ นอกเสียจากว่าพวกเขาจะได้ปะทะกันตรงๆ หลังจากที่การประลองสิ้นสุดลงแล้วจะมีการแข่งขันจัดอันดับของคนรุ่นเยาว์อีก ถึงแม้ว่าการแข่งขันจัดอันดับนี้จะไม่ส่งผลกระทบต่อการจัดลำดับขุมอำนาจ แต่ก็ส่งผลกระทบที่มองไม่เห็นถึงสถานะของแต่ละตระกูลใหญ่ เพราะถึงอย่างไรคนรุ่นเยาว์เหล่านี้ก็คือความหวังในภายหน้าของตระกูล
ดังนั้นในตอนที่ประลองคนรุ่นกลางเมื่อวานจึงมีคนที่ไม่ได้มาเป็นจำนวนมาก แต่สังเวียนต่อสู้ในวันนี้กลับแน่นขนัด แม้กระทั่งผู้เฒ่าผู้แก่ของแต่ละสมาคมก็ยังมากันหมด
ห้าตระกูล ตระกูลละสิบหกคน รวมทั้งสิ้นแปดสิบคน แบ่งออกเป็นการประลองสี่สิบคู่ ซื่งจะจัดบนสังเวียนสามแห่งพร้อมกันเช่นเดิม
สิบคู่แรกไม่มีคนตระกูลซือหม่าเลย และในขณะนี้ก็ไม่มีใครสนใจพวกเขาอีกต่อไปแล้ว เพราะในสายตาของทุกคน พวกเขาก็คือลำดับสุดท้ายแล้ว
“ผู้มีพรสวรรค์ของตระกูลหั่วช่างร้ายกาจเสียจริง!”
“ไม่น่าจะใช่กระมัง ได้ยินว่าหั่วจือเหยียนร้ายกาจกว่านี้อีก!”
“น่าหลานเจี๋ยแห่งตระกูลน่าหลานก็มีพลังยุทธ์แข็งแกร่งอย่างยิ่ง วันนั้นข้าเดินเฉียดไหล่เขายังรู้สึกถึงกลิ่นอายอันน่าหวาดหวั่นได้เลย!”
“ข้าว่าซางเฉียงหลีแห่งตระกูลซางนั้นร้ายกาจที่สุด จะต้องสร้างผลงานอันน่าประทับใจในการประลองอย่างแน่นอน”
“ซือหม่าโยวหลินแห่งตระกูลซือหม่าก็ไม่เลวเลยนะ!”
“ก็พอใช้ได้อยู่หรอก แต่น่าเสียดายที่ตอนนี้ตระกูลซือหม่าตกต่ำไปเสียแล้ว มีเพียงแค่เขาคนเดียวก็แก้ไขอะไรไม่ได้หรอกนะ”
“ถูกต้อง ตอนนี้ความสามารถของตระกูลซือหม่านั้นสู้อีกสี่ตระกูลไม่ได้เลย น่าเสียดายตระกูลที่สืบทอดต่อกันมานานนะ”
“ไม่แน่ว่าตอนนี้พวกเขาอาจจะสู้ขุมอำนาจชั้นสองอย่างพวกเรามิได้เลยเสียด้วยซ้ำ!”
“ได้ยินว่านอกจากตระกูลซือหม่าจะมีผู้มีพรสวรรค์ในการหลอมยาคนหนึ่งแล้ว ยังเป็นผู้ที่เป็นนักหลอมยาขั้นสี่ตั้งแต่อายุยี่สิบสองอีกด้วย ถ้าหากคนตระกูลซือหม่าน่าอัศจรรย์เหมือนเขากันหมด ตระกูลซือหม่าจะมีสภาพเช่นในตอนนี้อยู่หรือ”
ผู้คนบนอัฒจันทร์ดูการประลองไปพลาง วิพากษ์วิจารณ์ผู้เข้าแข่งขันเหล่านั้นไปพลาง พร้อมกันนั้นก็ดูความสามารถของพวกเขาไปด้วย เพื่อเป็นการเตรียมตัวลงพนันสำหรับการแข่งขันท้าประลองในภายหลัง
คนรอบตัวซือหม่าโยวเย่ว์ต่างลงไปเตรียมตัวประลอง บริเวณรอบกายอันว่างเปล่าทำให้เธอโดดเด่นสะดุดตาขึ้นมาท่ามกลางอัฒจันทร์อันแน่นขนัด
ตอนที่พวกเจ้าอ้วนชวีมาถึงก็ไม่มีที่นั่งแล้ว เมื่อเห็นซือหม่าโยวเย่ว์จึงเข้ามาหาแล้วหย่อนก้นลงนั่ง
“มีแต่พวกเจ้าตรงนี้นี่แหละที่แสนสบาย พวกเราทางด้านโน้นอึดอัดกันจะตายอยู่แล้ว” เจ้าอ้วนชวีปาดเหงื่อพลางพร่ำบ่น
“ข้าบอกตั้งแต่แรกแล้วว่าให้มากับพวกเรา แต่พวกเจ้าทั้งสองบอกว่าอยากไปที่อัฒจันทร์รวม ก็สมควรจะอึดอัดกันอยู่หรอก” ซือหม่าโยวเย่ว์หยิบผลไม้ทิพย์ลูกหนึ่งขึ้นมากัด
“ใครจะไปรู้ว่าวันนี้จะมีคนมามากมายถึงเพียงนี้กันเล่า เจ้าดูทางนั้นสิ อึดอัดกันแทบแย่ สองวันก่อนหน้ายังไม่เห็นเป็นเช่นนี้เลย” เจ้าอ้วนชวีพูด “เอาผลไม้ให้ข้าสักลูกสิ”
ซือหม่าโยวเย่ว์หยิบอีกผลหนึ่งส่งให้เขา แล้วให้เป่ยกงถังด้วยผลหนึ่งพลางเอ่ยว่า “ดูเหมือนว่าทุกคนจะชอบดูการประลองของคนรุ่นเยาว์มากกว่า บวกกับที่เป็นรุ่นสุดท้ายในทั้งสามรุ่นด้วย ผู้ชมก็ย่อมมากเป็นธรรมดาอยู่แล้ว”
“การท้าประลองของคนรุ่นเยาว์หลังจากนี้จะต้องมีคนดูมากกว่านี้อีกแน่นอน” เป่ยกงถังพูด
“ตอนที่ข้าเข้ามาเมื่อครู่ มีคนบอกว่าจะเปิดลงพนันกันแล้วด้วย!” เจ้าอ้วนชวีหรี่ตาพลางเอ่ยว่า “ถึงตอนนั้นพวกเราก็มาทายกันว่าผู้ที่จะได้อันดับแรกคือใคร จะต้องทำเงินก้อนโตได้แน่”
“ได้สิ เรื่องนี้ยกให้เจ้าจัดการเลยแล้วกัน เจ้าจะต้องชนะพนัน เอาเงินมาให้พวกเราให้ได้เลยนะ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดพลางตบบ่าเจ้าอ้วนชวี
“ไม่มีปัญหา อีกประเดี๋ยวข้าจะไปหาโอวหยาง ไปเอาเงินมาสักหน่อย” เจ้าอ้วนชวีรับปาก
“เหตุใดจึงต้องไปหาโอวหยางด้วยเล่า” เป่ยกงถังและซือหม่าโยวเย่ว์ต่างไม่เข้าใจ
“พวกเจ้าอาศัยตำแหน่งของโอวหยางในราชวงศ์อาณาจักรทักษิณายาตรสิ สบายจะตายไป ไม่ให้ไปหาเขาแล้วให้ไปหาใครเล่า” เจ้าอ้วนชวีพูด
โอวหยางเฟยคล้ายจะรู้สึกได้ว่าบรรดาสหายกำลังพูดถึงเขาอยู่ จึงมองมายังพวกเขาสามคน
“ในบรรดาคนตระกูลน่าหลาน มีน่าหลานหลานอยู่จริงๆ เสียด้วยสิ” เป่ยกงถังเห็นน่าหลานหลานลงสนาม จึงเอ่ยอย่างตกใจอยู่บ้าง
“พวกเราจะได้เห็นพลังยุทธ์ของนางพอดี ข้าศึกษามาโดยเฉพาะเลยว่าเมื่อใดที่กายดอกบัวถูกกระตุ้น ความเร็วในการบำเพ็ญก็จะเป็นรองเพียงแค่กายทิพย์นรชาติเท่านั้น” เป่ยกงถังพูดพลางมองซือหม่าโยวเย่ว์ปราดหนึ่ง
กายทิพย์นรชาติก็คือกายแสงสว่าง ซึ่งเป็นครึ่งด้านสว่างของร่างกายซือหม่าโยวเย่ว์นั่นเอง
“ร้ายกาจถึงเพียงนี้เชียว!” เจ้าอ้วนชวีมองน่าหลานหลานที่อยู่บนสังเวียนอย่างประหลาดใจ
เป่ยกงถังพยักหน้าแล้วเอ่ยต่อไปว่า “แต่ได้ยินว่าตระกูลน่าหลานสูญเสียทรัพยากรไปไม่น้อยกับการกระตุ้นกายภาพของนาง ใช้สิ่งล้ำค่าไปมากมาย ไม่รู้ว่าตอนนี้พลังยุทธ์ของนางไปถึงระดับใดแล้ว”
“ตอนที่นางประมือกับคู่ต่อสู้ พวกเราก็จะได้เห็นกันแล้วละ” เจ้าอ้วนชวีพูด
แต่น่าเสียดายที่น่าหลานหลานมิได้ทำให้พวกเขาสมปรารถนา เพราะหลังจากที่นางขึ้นไปบนเวทีแล้วก็มิได้ลงมือด้วยตัวเอง หากแต่เรียกสัตว์อสูรผูกพันธสัญญาของตนออกมา
นั่นก็คือจิ้งจอกวิญญาณสี่หางระดับสัตว์อสูรเทพขั้นสองตนหนึ่ง พลังการต่อสู้เทียบได้กับราชันวิญญาณขั้นสี่
คู่ต่อสู้ของนางคือเด็กหนุ่มตระกูลหลี่คนหนึ่ง เมื่อเขาเห็นจิ้งจอกวิญญาณของนางแล้วจึงยอมแพ้ในทันที โดยไม่ได้สู้กันแม้แต่ครั้งเดียว ทำให้ทุกคนที่อยากเห็นลีลาของเทพธิดาต้องผิดหวังไปตามๆ กัน
“คู่หมายเลขสาม น่าหลานหลานชนะ!” กรรมการประกาศผลการแข่งขัน
เป่ยกงถังมองซือหม่าโยวเย่ว์ปราดหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “ดูเหมือนว่าคราวนี้จะไม่ได้การเสียแล้ว ต้องรอดูว่านางจะยอมรับการท้าประลองในตอนท้ายหรือไม่”
“อื้ม”
“โยวเย่ว์ มีคนตระกูลเจ้าขึ้นไปแล้ว” เจ้าอ้วนชวีพูด
ซือหม่าโยวเย่ว์มองเข้าไปในสังเวียน ก็เห็นซือหม่าโยวหลานขึ้นไปบนเวทีหมายเลขสาม
“เป็นโยวหลานนี่เองที่ขึ้นไปคนแรก” พอซือหม่าโยวเย่ว์ได้เห็นฝ่ายตรงข้ามของเธอแล้วก็มีความสุขอย่างยิ่ง หึๆ คู่ต่อสู้ของนางคือคนตระกูลหลี่พอดี