สลับชะตา ชายามือสังหาร - ตอนที่ 317 กองทัพสัตว์อสูรเทพของตระกูลซือหม่า
เรื่องที่ซือหม่าโยวเย่ว์ก่อเรื่องวุ่นวายใหญ่โตในตระกูลซือหม่าในตอนนั้นแพร่สะพัดไปทั่วทั้งดินแดน ดังนั้นทุกคนจึงรู้กันหมดว่าพวกซือหม่าโยวเย่ว์มาจากสถานที่เนรเทศ พลังยุทธ์มิได้แข็งแกร่งมากนัก
ดังนั้นหลังจากที่คนตระกูลหลี่เห็นซือหม่าโยวหรานแล้ว จึงรู้สึกว่าเขาเป็นไก่อ่อนโดยสัญชาตญาณ
คุกเข่าเรียกเขาว่าท่านบรรพชนอย่างนั้นหรือ
ซือหม่าโยวหรานหรี่ตาลงเล็กน้อย ดูเหมือนว่าไม่ต้องให้ซือหม่าโยวเย่ว์ร้องขอ เขาก็จะทุบตีคู่ต่อสู้ให้กลายเป็นหัวหมูอยู่แล้ว!
คนตระกูลหลี่ถูกซือหม่าโยวหรานมองเช่นนี้ก็รู้สึกเสียวสันหลังวาบในทันใด ยังไม่ทันมีปฏิกิริยาตอบสนอง ซือหม่าโยวหรานก็พุ่งตัวมาอยู่ตรงหน้าแล้วส่งหมัดขวาเข้าใส่ใบหน้าเขาเสียแล้ว ทำให้ฟันเขาหักไปซี่หนึ่งในทันที ก่อนที่คนจะล้มลงบนพื้นอย่างแรง
สองปีมานี้พวกเขาถูกซือหม่าโยวเย่ว์เคี่ยวเข็ญในยามฝึกฝนอยู่ตลอด ทั้งยังสอนเคล็ดลับการต่อสู้ประชิดตัวเช่นนี้ให้กับพวกเขาอีกด้วย
“โอ้… พลังการต่อสู้แข็งแกร่งยิ่งนัก!”
ผู้คนบนอัฒจันทร์เห็นซือหม่าโยวหรานต่อยอีกฝ่ายล้มลงไป มิอาจตอบสนองได้ในทันใด
ปรมาจารย์วิญญาณกลัวการต่อสู้ประชิดตัวเป็นที่สุด เพราะพวกเขามีร่างกายที่ค่อนข้างอ่อนแอ ถึงขนาดที่อ่อนแอกว่าคนทั่วไปเสียอีก
ซือหม่าโยวหรานอาศัยจังหวะที่อีกฝ่ายยังไม่ทันลุกขึ้นมา เดินเข้าไปใช้ข้อศอกกระทุ้งไปที่ท้องของเขา หลังจากนั้นจึงกระชากคางของเขา ก่อนจะเริ่มต้นทุบตีอย่างบ้าคลั่ง
“พรึ่บ…”
ผู้คนบนอัฒจันทร์เห็นคนตระกูลหลี่ถูกทุบตีจนกลายเป็นหัวหมูอีกครั้ง จึงอดที่จะปิดตามิได้
ช่าง…อำมหิตเกินไปแล้วจริงๆ!
คนตระกูลหลี่เสียโอกาสในการรุกก่อนตั้งแต่ต้น ตอนนี้อยากจะปล่อยพลังวิญญาณออกมาก็ทำไม่ได้ ถูกทุบตีจนถึงขนาดที่ลืมเรียกสัตว์อสูรผูกพันธสัญญาของตนออกมา ในจังหวะที่เขายังหลุดออกจากสถานการณ์ที่ถูกทุบตีไม่ได้ เขาก็ถูกซือหม่าโยวหรานถีบจนตกลงไปจากสังเวียน
“สังเวียนหมายเลขสอง ตระกูลซือหม่าชนะ” กรรมการรู้สึกว่าตากระตุกเล็กน้อย เหตุใดคนตระกูลซือหม่าจึงชมชอบการทุบตีคู่ต่อสู้จนกลายเป็นหัวหมูกันเหลือเกินนะ
สองรอบต่อมาไม่มีคนตระกูลซือหม่าเลย เหล่ากรรมการจึงพากันถอนหายใจ
ผ่านไปไม่นาน ซือหม่าโยวเล่อก็ขึ้นไป โดยมีคู่ต่อสู้คือตระกูลน่าหลาน
บางทีอาจเป็นเพราะสองยกก่อนหน้านี้ คนตระกูลหลี่ถูกทุบตีรุนแรงเหลือเกิน พอคนตระกูลน่าหลานขึ้นไปแล้วจึงมองซือหม่าโยวเล่ออย่างระแวดระวัง รักษาระยะห่างกับเขา ป้องกันไม่ให้เขาเข้าประชิดตัวอย่างฉับพลันได้
“เจ้าอย่าระวังตัวเช่นนั้นสิ ข้ามิได้มีความสามารถในการโจมตีประชิดตัวเหมือนพี่ชายข้าหรอกนะ” ซือหม่าโยวเล่อพูด
“คนตระกูลซือหม่าอย่างพวกเจ้านั้นเจ้าเล่ห์จะตายไป ใครจะไปรู้ว่าสิ่งที่เจ้าพูดเป็นความจริงหรือไม่กันเล่า” คนตระกูลน่าหลานมองเขาแล้วเอ่ยว่า “ข้ามิได้โง่งมถึงขนาดที่จะปล่อยให้เจ้าเข้าประชิดตัวได้หรอก”
เขาพูดพลางเรียกสัตว์อสูรผูกพันธสัญญาของตนออกมาเผชิญหน้าซือหม่าโยวเล่อพร้อมกันกับเขา
“ของข้าเป็นสัตว์อสูรเทพขึ้นหนึ่ง ข้าไม่เชื่อหรอกว่าพวกเจ้าคนตระกูลซือหม่าจะเป็นราชันวิญญาณกันหมดแล้ว!”
“ข้ามิใช่ราชันวิญญาณจริงๆ นั่นแหละ” ซือหม่าโยวเล่อพูด
“ฮ่าๆ คราวนี้คนของตระกูลซือหม่าตายแน่!” มีคนหัวเราะเสียงดัง แต่ยังไม่ทันสุดเสียงก็ถูกซือหม่าโยวเล่อตอกกลับไปเสียก่อน
“ถึงแม้ว่าข้าจะมิใช่ราชันวิญญาณ แต่ขอโทษด้วยนะ ข้าก็มีสัตว์อสูรเทพเหมือนกัน”
ซือหม่าโยวเล่อพูดพลางเรียกสัตว์อสูรผูกพันธสัญญาออกมา แน่นอนว่าสิ่งที่เขาเรียกออกมานั้นคือสัตว์อสูรเทพขั้นสองตนหนึ่ง มิได้เรียกนกยักษ์ที่ซือหม่าโยวเย่ว์ให้ตนตอนอยู่ที่ดินแดนบรรพบุรุษออกมา
“อะไรกัน!” คนตระกูลน่าหลานเบิกตาโพลง ไม่อยากจะเชื่อว่าซือหม่าโยวเล่อก็มีสัตว์อสูรเทพอยู่เช่นเดียวกัน
“ฮวาฮวา ไป ไปเหวี่ยงเขาให้ตกสังเวียนเลย” ซือหม่าโยวเล่อออกคำสั่ง
“ได้เลย เจ้านาย” ถึงแม้ว่าฮวาฮวาจะรังเกียจชื่อที่เขาตั้งให้ตนยิ่งนัก แต่ก็ยังพุ่งเข้าโจมตีคู่ต่อสู้ ใครใช้ให้มันมิอาจทรยศต่อคำสั่งของเจ้านายตนได้เล่า
สัตว์อสูรเทพขั้นสอง ถึงแม้ว่าการจัดการกับหนึ่งมนุษย์และหนึ่งสัตว์อสูรนั้นออกจะลำบากอยู่บ้าง แต่ใช้เวลาไม่นานเท่าใดนัก ก็โยนพวกเขาลงไปจากสังเวียนได้สำเร็จ
แน่นอนว่าก่อนที่จะโยนคนตระกูลน่าหลานลงไป ฮวาฮวาก็ไม่ลืมที่จะทุบตีอีกฝ่ายจนกลายสภาพเป็นหัวหมูอีกด้วย
“คนตระกูลซือหม่าอ่อนแอมากจริงๆ น่ะหรือ เหตุใดขึ้นมากันสามคน ก็ชนะหมดทั้งสามคนเลยเล่า”
ผู้คนบนอัฒจันทร์เริ่มเกิดความสงสัยขึ้นมา ถ้าหากชนะแค่ครั้งสองครั้งแรกก็อาจยังบอกได้ว่าเป็นเพราะความบังเอิญและความโชคดี แต่ถ้าหากชนะได้ทุกครั้ง นั่นก็คงมิใช่เพราะโชคช่วย แต่เป็นเพราะความสามารถแล้วละ!
“นั่นน่ะสิ ออกจะน่าประหลาดอยู่เหมือนกันนะ”
“ข้าได้ยินมาว่าตอนนี้ตระกูลซือหม่านั้นไม่ไหวแล้ว คนรุ่นเยาว์อ่อนแอกว่าตระกูลอื่นอยู่พอสมควร แล้วเหตุใดแต่ละคนจึงได้แข็งแกร่งกันถึงเพียงนี้เล่า”
“ดูต่อไปก่อนเถิด ไม่แน่ว่าอาจจะมีแค่สามคนนี้ที่ดีหน่อยก็ได้นะ”
“ข้าว่าไม่แน่หรอก ข้ารู้สึกว่าถ้าไม่ใช่เพราะก่อนหน้านี้ตระกูลซือหม่าปิดบังความสามารถเอาไว้ ก็ต้องเป็นเพราะพัฒนาขึ้นอย่างก้าวกระโดดในช่วงไม่กี่ปีมานี้”
“ข้าก็รู้สึกเช่นกัน บางทีการประลองของคนรุ่นเยาว์ในคราวนี้ ตระกูลซือหม่าอาจเป็นตระกูลที่ได้รับชัยชนะอย่างยิ่งใหญ่ที่สุดก็เป็นได้นะ”
มีคนมองตระกูลซือหม่าในแง่ดี
“เฮอะ ขอเพียงแค่เอาชนะได้ไม่ถึงสิบครั้ง พวกเขาก็ต้องเป็นลำดับสุดท้าย ข้าไม่เชื่อว่าพวกเขาจะเอาชนะได้ถึงสิบครั้งหรอกน่า!” มีคนพูดขึ้นอย่างไม่คล้อยตาม
“จะเอาชนะได้ถึงสิบครั้งหรือไม่ อีกประเดี๋ยวก็รู้แล้วล่ะ”
ผู้คนบนอัฒจันทร์คิดกันไปต่างๆ นานา แต่ก็พากันเงียบลงแล้วดูการประลองที่เหลือต่อไป
เพียงไม่นานซือหม่าโยวฉิงก็ขึ้นไปประมือกับคนตระกูลซาง
ตลอดมาคนตระกูลซางไม่เคยดูแคลนคนตระกูลซือหม่าเลย โดยเฉพาะหลังจากผ่านประสบการณ์การประลองหลายครั้งก่อนหน้านี้มา ก็ยิ่งเป็นเช่นนี้
“เจ้าวางใจได้เลย พวกเรารู้จักแยกแยะ ข้าไม่มีทางทุบตีจนเจ้ากลายเป็นหัวหมูแน่” ซือหม่าโยวฉิงยิ้มให้อีกฝ่ายอย่างมีมิตรไมตรี
คนตระกูลหลี่และตระกูลน่าหลานสีหน้าดำทะมึนเมื่อได้ฟังคำพูดของเธอ หากพูดเช่นนี้ก็หมายความว่าพวกซือหม่าโยวเล่อจงใจทุบตีคู่ต่อสู้จนกลายเป็นหัวหมูสินะ
“ขอบคุณมาก” ชายหนุ่มตระกูลซางผู้นั้นพูดอย่างมีมารยาทพลางพยักหน้าให้นาง “พวกเราเริ่มกันเลยดีกว่า เสวียนเฟิง ออกมา”
“ลาลา ออกมา” ซือหม่าโยวฉิงก็เรียกสัตว์อสูรผูกพันธสัญญาของตนออกมาเช่นกัน
สัตว์อสูรเทพขั้นสามสองตนปรากฏตัวขึ้นบนสังเวียนพลางโก่งคอส่งเสียงเห่าหอน หลังจากนั้นจึงเริ่มต่อสู้กัน
เพราะทั้งสองคนต่างก็เป็นสมาชิกตัวหลักของตระกูล ดังนั้นเมื่อทุกคนเห็นว่าพวกเขามีสัตว์อสูรเทพ จึงไม่ได้รู้สึกอะไร
ซือหม่าโยวฉิงและคู่ต่อสู้ของนางมิได้เคลื่อนไหวเลย เพียงแค่มองดูสัตว์อสูรผูกพันธสัญญาต่อสู้กันเท่านั้น คนตระกูลซางเห็นสัตว์อสูรวิเศษของตนกำลังจะพ่ายแพ้ จึงเรียกสัตว์อสูรเทพขั้นสองออกมาอีกตนหนึ่ง
“สัตว์อสูรเทพอีกตนหรือ” ซือหม่าโยวฉิงคิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะมีสัตว์อสูรเทพถึงสองตน จึงพูดอย่างประหลาดใจอยู่บ้าง
คนทั่วไปนั้นอย่าว่าแต่สัตว์อสูรเทพสองตนเลย ต่อให้มีตนเดียวก็เป็นสมบัติล้ำค่าอย่างยิ่งแล้ว โดยทั่วไปตระกูลใหญ่เช่นนี้มักจะมีได้เพียงแค่สัตว์อสูรเทพหนึ่งตน บวกกับสัตว์อสูรทิพย์เท่านั้น
ถึงอย่างไรสัตว์อสูรเทพก็มิอาจพบเห็นได้บ่อยนักบนดินแดนแห่งนี้
ส่วนคนผู้นี้มีสัตว์อสูรเทพถึงสองตน แสดงว่าสถานะของตระกูลซางต้องไม่ธรรมดาเลย!
คนผู้นั้นพยักหน้าพลางเอ่ยว่า “ใช่แล้ว ตอนนี้สัตว์อสูรเทพของข้าสองตน ต่อสัตว์อสูรเทพของเจ้าหนึ่งตน ข้าไม่อยากทำร้ายเจ้า เจ้ายอมแพ้เองดีกว่านะ”
“ข้าไม่ชอบยอมแพ้เสียด้วยสิ” ซือหม่าโยวฉิงพูดพลางยิ้มตาหยี “เจ้ามีสัตว์อสูรเทพ ข้าก็มีเช่นกัน เฟยเฟย ออกมาสิ”
เฟยเฟยคือหนึ่งในบรรดานกยักษ์หลายตัวที่ซือหม่าโยวเย่ว์มอบให้พวกเขาที่ดินแดนบรรพบุรุษในคราวนั้น ตั้งแต่ติดตามซือหม่าโยวฉิงมา มันก็ออกมาน้อยครั้งนัก
“สะ…สัตว์อสูรเทพขั้นหก!”
เมื่อเห็นระดับขั้นของเฟยเฟย ทุกคนในลานประลองต่างพากันตื่นตะลึง
มิใช่ว่าพวกเขาเห็นสัตว์อสูรผูกพันธสัญญาระดับสัตว์อสูรเทพขั้นหกเป็นครั้งแรก สัตว์อสูรผูกพันธสัญญาของบรรดาผู้เฒ่าในที่นี้จำนวนไม่น้อยก็อยู่ในระดับขั้นนี้แล้วเช่นเดียวกัน แต่พอได้เห็นสัตว์อสูรผูกพันธสัญญาระดับขั้นสูงถึงเพียงนี้อยู่กับคนรุ่นเยาว์อายุน้อย ก็เป็นเรื่องเหนือความคาดหมายของทุกคนเลยทีเดียว
พอคนตระกูลซางได้เห็นเฟยเฟยก็ตกตะลึงไป บนใบหน้าปรากฏรอยยิ้มขมขื่น เขาจะไปสู้สัตว์อสูรเทพระดับจ้าววิญญาณได้อย่างไรกัน
เขาประสานหมัดคำนับซือหม่าโยวฉิงพลางเอ่ยว่า “ข้าแพ้แล้ว”