สลับชะตา ชายามือสังหาร - ตอนที่ 318 แฉภูมิหลังของเธอ
กรรมการมองคนบนสังเวียนทั้งสองปราดหนึ่งพลางเอ่ยว่า “เวทีหมายเลขหนึ่ง ตระกูลซือหม่าชนะ”
คนตระกูลซางเรียกตัวสัตว์อสูรผูกพันธสัญญาของตนกลับมาแล้วพยักหน้าให้กับซือหม่าโยวฉิง ก่อนจะลงไปจากสังเวียนเอง
“ชนะง่ายๆ เช่นนี้น่ะหรือ”
“สัตว์อสูรเทพขั้นหกเชียวนะ ชีวิตนี้ข้ายังไม่เคยเห็นสัตว์อสูรวิเศษที่มีระดับขั้นสูงถึงเพียงนี้มาก่อนเลย!”
“ก็จริง สัตว์อสูรวิเศษระดับขั้นสูงขนาดนี้มาเป็นสัตว์อสูรผูกพันธสัญญาของเด็กสาวคนหนึ่งได้ ช่างชวนให้คนพรั่นพรึงเสียจริง”
“ช่างเป็นความสามารถของตระกูลชั้นหนึ่งโดยแท้ มีสัตว์อสูรเทพระดับสูงถึงเพียงนี้อยู่ในครอบครองอย่างสบายๆ เลย”
“ทั้งยังมีสัตว์อสูรเทพถึงสองตนอีกด้วย!”
“แข่งเรือแข่งพายยังพอแข่งได้ แต่แข่งบุญแข่งวาสนากันไม่ได้จริงๆ! พวกเราไม่มีสัตว์อสูรเทพกันเลยสักตนเดียว แต่พวกเขากลับมีถึงสองตน”
“ข้าตั้งหน้าตั้งตารอดูการประลองที่เหลือของตระกูลซือหม่าแล้ว”
หลังจากคนตระกูลซางกลับไปแล้วก็มิได้ถูกผู้อาวุโสในตระกูลตำหนิเพราะยอมแพ้เองแต่อย่างใด เพราะหากเทียบกันแล้วอีกฝ่ายเหนือกว่าพวกเขามากเกินไป ย่อมไม่มีทางประลองด้วยได้อยู่แล้ว
คนตระกูลหลี่และคนตระกูลน่าหลานแต่ละคนสีหน้าเหยเก ราวกับผู้อื่นยืมเงินพวกเขาไปแสนแปดหมื่นตำลึงทองแล้วไม่ยอมคืนอย่างไรอย่างนั้น
“ตระกูลซือหม่ามีสัตว์อสูรเทพเช่นนี้อยู่ได้อย่างไรกัน” ประมุขตระกูลน่าหลานตำหนิผู้อาวุโสข้างกาย “ข้ามิได้ให้พวกเจ้าคอยจับตาดูความเคลื่อนไหวของตระกูลซือหม่าอยู่ตลอดหรอกหรือ ตระกูลพวกเขามีสัตว์อสูรเทพเพิ่มขึ้นมามากมายถึงเพียงนี้ แต่พวกเจ้ากลับไม่ระแคะระคายกันเลยหรือ”
เมื่อครู่ซือหม่าโยวเล่อมีสัตว์อสูรเทพตนหนึ่ง ซือหม่าโยวฉิงมีสัตว์อสูรเทพสองตน ซึ่งพวกเขามิได้ถือเป็นทายาทผู้สืบทอดของตระกูลซือหม่า คาดว่าคนอื่นๆ ก็คงจะไม่ด้อยไปกว่ากันเลย
สิ่งที่ชวนให้เดือดดาลที่สุดก็คือ ซือหม่าโยวฉิงถึงกับมีสัตว์อสูรเทพระดับจ้าววิญญาณ ถ้าหากคนอื่นๆ ก็มีเหมือนกันหมด แล้วการประลองนี้จะยังดำเนินต่อไปได้อย่างไร ถือเสียว่าพวกเขาชนะทั้งหมดไปเลยก็แล้วกัน!
“ท่านประมุขตระกูลโปรดคลายโทสะก่อนขอรับ พวกเราได้ส่งคนไปคอยจับตาดูความเคลื่อนไหวของตระกูลซือหม่าแล้วจริงๆ แต่ก็ไม่เห็นพวกเขาจะเชิญปรมาจารย์ฝึกสัตว์อสูรไปที่ตระกูลซือหม่าเลย และสองปีมานี้ก็ไม่เห็นพวกเขาส่งสัตว์อสูรเทพไปฝึกกันเลยนะขอรับ” ผู้อาวุโสคนหนึ่งแก้ตัว
“สามหาว!” ประมุขตระกูลแห่งตระกูลน่าหลานสบถออกมา “ถ้าหากไม่มี แล้วสัตว์อสูรเทพของคนพวกนี้โผล่มาจากที่ไหนกันเล่า ก่อนหน้านี้ซือหม่าเค่อได้บอกเรื่องพลังยุทธ์และสัตว์อสูรผูกพันธสัญญาของคนตระกูลซือหม่าให้พวกเรารู้หมดแล้ว ในบรรดาที่เขาเคยบอกมาก็ไม่เห็นจะมีสัตว์อสูรเทพพวกนี้อยู่เลยนี่!”
“ข้าจำสิ่งที่ซือหม่าเค่อเคยพูดตอนมาถึงตระกูลเราเมื่อสองปีก่อนได้ หรือจะบอกว่าตระกูลซือหม่าหาสัตว์อสูรเทพเหล่านี้มาให้กับคนรุ่นเยาว์ในช่วงสองปีนี้เล่า” ผู้อาวุโสคนหนึ่งคาดการณ์
“เป็นไปไม่ได้ ข้าใช้ชีวิตข้าเป็นประกันได้เลย ตระกูลซือหม่าไม่เคยติดต่อกับคนของสมาคมนักฝึกสัตว์อสูรเลย” ผู้อาวุโสที่โดนตำหนิเมื่อครู่พูด
“นั่นจะเป็นไปได้อย่างไรกัน หรือจะบอกว่าสัตว์อสูรเทพเหล่านี้ยอมรับพวกเขาเป็นเจ้านายเองเล่า!” ผู้อาวุโสคนหนึ่งไม่เชื่อ ในขณะที่กำลังพูดนั้นเอง เขาก็ต้องพรั่นพรึงไปกับการประลองต่อมา “ซือหม่าโยวหยางก็มีสัตว์อสูรเทพสองตนเช่นกัน! สวรรค์ เขาก็มีสัตว์อสูรเทพขั้นหกตนหนึ่งด้วย!”
“นี่… นี่มันเป็นไปได้อย่างไรกัน!” คนตระกูลน่าหลานรู้สึกว่าเรื่องนี้มันน่าอัศจรรย์เกินไปแล้ว คนรุ่นเยาว์ของตระกูลซือหม่ามีสัตว์อสูรเทพกันมากมายถึงเพียงนี้ได้อย่างไร!
ผู้อาวุโสที่ถูกตำหนิเมื่อครู่ก็ไม่เข้าใจเช่นกัน เขาเอ่ยว่า “เป็นไปได้อย่างไรกัน ไม่เคยมีใครเห็นสัตว์อสูรเทพเหล่านี้เหล่านี้มาก่อนเลย ในข้อมูลที่พวกเราได้รับมาจากคนตระกูลซือหม่าก็ไม่เห็นเคยบอกเลยว่าตระกูลซือหม่ามีสัตว์อสูรเทพมากมายถึงเพียงนี้!”
ประมุขตระกูลน่าหลานอยากจะฟาดผู้อาวุโสผู้นั้นให้ตายในฝ่ามือเดียวยิ่งนัก ไม่เคยเห็นมาก่อน แล้วสัตว์อสูรเทพเหล่านี้จะโผล่มาจากไหน ใครฝึกพวกมันกันเล่า
“ท่านประมุขตระกูล ความสามารถในการสืบหาข้อมูลข่าวสารของผู้อาวุโสสี่นั้นเป็นที่ประจักษ์แก่ทุกคนในตระกูลมาโดยตลอด ข้าคิดๆ ดูแล้ว ที่เขาบอกว่าตระกูลซือหม่าไม่เคยติดต่อกับนักฝึกสัตว์อสูรมาก่อนนั้นน่าจะเป็นความจริง” น่าหลานหลานที่อยู่ข้างๆ เอ่ยปากพูด
สถานะของนางในตอนนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว ดังนั้นจึงดูการประลองด้วยกันกับประมุขตระกูลน่าหลานได้
หลังการประลองเมื่อครู่สิ้นสุดลง นางก็กลับมาที่นี่แล้วไม่พูดอะไรเลยมาโดยตลอด เมื่อจู่ๆ นางเอ่ยปากพูดขึ้นมา จึงดึงดูดความสนใจของทุกคน
ถึงแม้ว่าประมุขตระกูลน่าหลานจะโมโหอย่างยิ่ง แต่เมื่อนึกถึงสถานะของนางในตอนนี้ ก็ไม่เหมาะสมที่จะเอาเพลิงโทสะไปลงที่นาง จึงเอ่ยว่า “แต่เรื่องของตระกูลซือหม่านั้นผิดแผกไปจากข้อมูลที่เคยได้รับมาก่อนหน้านี้มากมายเหลือเกิน หากไม่มีความช่วยเหลือของนักฝึกสัตว์อสูรก็ไม่มีทางทำพันธสัญญากับสัตว์อสูรวิเศษได้ แต่สัตว์อสูรเทพนี้ก็มิอาจเรียกมาจากอากาศเฉยๆ ได้นี่”
“ข้าว่าข้ารู้แล้วละว่านี่มันเรื่องอันใดกันแน่” น่าหลานหลานพูด
“เจ้ารู้หรือ” บรรดาผู้อาวุโสไม่เชื่อสักเท่าใดนัก จึงเอ่ยว่า “หลานเอ๋อร์ เจ้าเพิ่งมาอยู่ที่ตระกูลได้เพียงไม่กี่ปี ทั้งยังอยู่ในตระกูลมาตลอด ไม่เคยออกมาเลย ไม่มีทางเข้าใจเรื่องภายนอกหรอก”
“ใช่” น่าหลานหลานยอมรับแล้วพูดว่า “ข้าไม่ค่อยรู้เรื่องความเป็นไปของที่นี่ก็จริง แต่ข้ารู้จักคนผู้หนึ่งดี”
“ใครหรือ”
“ซือหม่าโยวเย่ว์” นางพูดพลางมองไปยังซือหม่าโยวเย่ว์ที่อยู่บนอัฒจันทร์ฝั่งตรงข้ามปราดหนึ่ง
“เขาหรือ” คนตระกูลน่าหลานย่อมรู้ดีอยู่แล้วว่าซือหม่าโยวเย่ว์เป็นใคร จึงไม่เชื่ออยู่บ้าง แล้วเอ่ยว่า “เจ้าจะบอกว่าสัตว์อสูรเทพเหล่านี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเขาอย่างนั้นหรือ”
“เจ้าคงมิได้อยากจะบอกว่าเขาเป็นคนฝึกสัตว์อสูรเทพเหล่านี้ให้เชื่องหรอกกระมัง”
เมื่อเผชิญกับข้อกังขาของบรรดาผู้อาวุโส น่าหลานหลานก็มิได้ไม่พอใจแต่อย่างใด อันที่จริงแล้วแม้กระทั่งนางเองก็ยังไม่อยากจะเชื่อเรื่องนี้เลยเช่นกัน
ประมุขตระกูลน่าหลานสงบลงแล้วเอ่ยว่า “เจ้าลองว่ามาสิ”
“เจ้าค่ะ ท่านประมุขตระกูล” น่าหลานหลานพยักหน้แล้วเอ่ยว่า “พวกท่านคงทราบดีว่าทั้งข้าและซือหม่าโยวเย่ว์มาจากอาณาจักรตงเฉินเหมือนกัน ดังนั้นจึงนับได้ว่าข้าเข้าใจเรื่องของเขาดีพอสมควร พวกท่านคงรู้แล้วกระมังว่าตอนนี้เขาเป็นนักหลอมยาขั้นสี่เป็นอย่างน้อย”
“เรื่องนี้คงรู้กันหมดทั้งเมืองวิเศษแล้วล่ะ” มีคนเอ่ยขึ้น
“ใช่แล้ว พอเขามาถึงที่นี่ ข่าวที่เขาประลองหลอมยาชนะหลี่มู่ก็แพร่สะพัดไปทั่วทั้งเมืองเลย ทุกคนต่างพากันชื่นชมที่พรสวรรค์ในการหลอมยาของเขาเป็นเลิศ แต่กลับมีเรื่องหนึ่งที่พวกท่านไม่ทราบกันเลย” น่าหลานหลานพูดพลางกวาดตามองพวกเขา
“อะไรหรือ”
“เมื่อหกปีก่อนซือหม่าโยวเย่ว์ยังเป็นคนไร้ค่าที่ไม่อาจบำเพ็ญได้ อย่าว่าแต่เป็นนักหลอมยาเลย แม้แต่พลังวิญญาณสักนิดเดียวก็ยังไม่มี!”
เสียงของน่าหลานหลานเบามาก แต่กลับทำให้คนทั้งตระกูลน่าหลานตกอยู่ในความพรั่นพรึง
“เจ้าจะบอกว่าเขาเพิ่งเริ่มหลอมยาเมื่อหกปีก่อนอย่างนั้นหรือ”
น่าหลานหลานพยักหน้าพลางเอ่ยว่า “ถูกต้อง คนทั้งอาณาจักรตงเฉินล้วนรู้เรื่องที่เขาเป็นคนไร้ค่า นอกจากนี้เมื่อห้าปีก่อน ที่งานเลี้ยงของฝ่าบาทอาณาจักรตงเฉิน เขาก็หลอมยาวิเศษขั้นสองได้แล้ว หรือพูดได้ว่าเขาเปลี่ยนจากผู้ที่ไม่อาจหลอมยาได้กลายเป็นนักหลอมยาขั้นสองภายในระยะเวลาหนึ่งปี! ดังนั้นจึงเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าตอนนี้เขามิได้เป็นเพียงแค่นักหลอมยาขั้นสี่แล้วล่ะ”
“จะเป็นไปได้อย่างไรกัน!” บรรดาผู้อาวุโสของตระกูลน่าหลานต่างไม่เชื่อเรื่องนี้ จะเป็นไปได้อย่างไรกัน จะมีคนที่ล้ำเลิศถึงเพียงนี้ได้เช่นไร!
ประมุขตระกูลน่าหลานมองน่าหลานหลาน เมื่อมั่นใจว่านางมิได้โกหก จึงเอ่ยว่า “ต่อให้เป็นเช่นนี้จริงแล้วเรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับสัตว์อสูรเทพของตระกูลซือหม่ากันเล่า”
“เมื่อห้าปีก่อน เขาเคยฝึกสัตว์อสูรต่อหน้าธารกำนัลที่เมืองหลวงของอาณาจักรตงเฉิน ตอนนั้นเขาก็ฝึกสัตว์อสูรทิพย์ให้เชื่องได้แล้ว” น่าหลานหลานพูด “ด้วยพรสวรรค์ของเขา ข้าคิดว่าผ่านไปห้าปี การที่เขาจะฝึกสัตว์อสูรเทพได้นั้นก็มิใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้นะ”
“เจ้าจะบอกว่าเขายังเป็นนักฝึกสัตว์อสูรอีกด้วยหรือ!” บรรดาผู้อาวุโสของตระกูลน่าหลานเสียอาการกันไปหมดแล้ว นี่มันไม่ใช่มนุษย์แล้วกระมัง!
เพราะเหตุใดผู้มีพรสวรรค์เช่นนี้จึงไม่อยู่ในตระกูลของพวกเขาเล่า
“ไม่เพียงแค่นี้เท่านั้น ข้าเคยเห็นเขาฝึกสัตว์อสูรกับตาตัวเอง หลังจากสัตว์อสูรวิเศษที่เขาฝึกให้เชื่องทำพันธสัญญากับมนุษย์แล้ว ทั้งมนุษย์และสัตว์อสูรวิเศษก็จะได้ยกระดับพลังวิญญาณพร้อมกันทั้งคู่” น่าหลานหลานพูดเสริม
เมื่อคนตระกูลน่าหลานได้ฟังวาจาของนางแล้ว แต่ละคนก็อ้าปากค้างจนคางแทบจะร่วงลงพื้น
……………………………………