สลับชะตา ชายามือสังหาร - ตอนที่ 321 ข้าไม่อยากหรอก!
ทั่วทั้งลานประลองเงียบงันไปครู่หนึ่ง ในขณะที่หั่วจือเหยียน น่าหลานเจี๋ย และคนอื่นๆ กำลังคิดจะก้าวออกไปอยู่นั้นเอง เงาร่างสายหนึ่งก็ร่อนลงมาบนสังเวียน
“ซางเฉียงหลี?”
หลังจากได้เห็นผู้ที่ขึ้นไปอย่างชัดเจนแล้ว ทุกคนต่างก็ตกตะลึงไม่น้อย
มิได้บอกว่าเขาพลังยุทธ์ไม่เพียงพอ แต่เขาเป็นผู้ที่ถ่อมตนที่สุดในบรรดาทุกคนแล้ว ถึงขนาดที่ไม่สนใจเรื่องอื่นใดนอกจากการฝึกยุทธ์ ต่อให้ผู้อื่นท้าเขาประลอง ก็ไม่แน่ว่าเขาจะรับคำท้า คิดไม่ถึงว่าเขาจะขึ้นไปเป็นคนแรก!
“พี่เฉียงหลีขึ้นไปได้อย่างไรกันน่ะ” ไม่ใช่แค่คนเหล่านี้เท่านั้นที่ตกตะลึง แม้กระทั่งคนตระกูลซางเองก็ยังแปลกใจอย่างยิ่ง
มีเพียงแค่คนที่อยู่ใกล้ซางเฉียงหลีที่สุดเท่านั้นที่รู้ เขาลูบคางพลางเอ่ยว่า “คงมิใช่เพราะเขาอยากสู้กับเจ้าเด็กนั่นสักยกหนึ่งหรอกกระมัง”
“เจ้าเด็กนั่น ใครกันหรือ” มีคนได้ยินคำพูดเขาจึงเอ่ยถามขึ้น
“ซือหม่าโยวเย่ว์” คนผู้นั้นพ่นออกมาสี่พยางค์
ผลปรากฏว่าบนสังเวียน ซางเฉียงหลีกวาดสายตามองไปรอบๆแล้วหยุดสายตาอยู่ที่ตระกูลซือหม่า เขามองซือหม่าโยวเย่ว์พลางเอ่ยว่า “เจ้าอยากประลองกับข้าสักยกหนึ่งหรือไม่”
ทุกคนต่างตกตะลึงเขามิได้เลือกหั่วจือเหยียน มิได้เลือกน่าหลานเจี๋ย ถึงแม้ว่าสายตาจะมองไปทางตระกูลซือหม่า ทว่าสายตากลับมิได้หยุดอยู่บนร่างซือหม่าโยวหลิน หากแต่จ้องมองคนที่ไม่เคยลงสนามเลย!
ทุกคนที่รู้จักพวกเขาล้วนรู้ว่าเขานั้นเหนือกว่าคนรุ่นเยาว์ทั่วไป นอกจากตัวประหลาดเหล่านั้นแล้วก็ไม่มีคนในระดับเดียวกันอีก แต่เขากลับเมินเฉยต่อคนเหล่านั้นแล้วไปเลือกนักหลอมยาคนหนึ่งอย่างนั้นหรือ จะบอกว่าพลังยุทธ์ของซือหม่าโยวเย่ว์ร้ายกาจกว่าพวกผู้มีพรสวรรค์เหล่านั้นอีกหรือ
นอกจากนี้ยังมีคนสังเกตคำพูดของเขาด้วย สิ่งที่เขาพูดคืออยากประลองกับเขาหรือไม่ มิได้พูดว่ากล้าหรือไม่ เห็นได้ชัดว่าเขาวางตนเอาไว้อย่างถ่อมตัวยิ่งนัก
ซือหม่าโยวเย่ว์ก็คิดไม่ถึงว่าเขาจะอยากแข่งกับตน จึงตกตะลึงไป ก่อนจะส่ายหน้าแล้วเอ่ยว่า “ไม่อยากหรอก”
“ทำไมเล่า เจ้าไม่เห็นข้าอยู่ในสายตาอย่างนั้นหรือ” ซางเฉียงหลีสีหน้าไม่น่ามองอย่างยิ่ง
“เจ้าแข็งแกร่งอย่างยิ่ง ต้องเป็นคู่ประลองที่ยอดเยี่ยมแน่” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “แต่ข้าไม่น่าประลองด้วยหรอก ทั้งยังไม่ชอบประลองต่อหน้าผู้คนมากมายถึงเพียงนี้อีกด้วย”
ซางเฉียงหลีเงียบงันไปครู่หนึ่งแล้วถามว่า “ถ้าหากไปพบเจ้าที่อื่นแล้วเจ้าจะรับคำท้าประลองหรือไม่”
“อาจจะรับนะ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
“ข้าเข้าใจแล้ว” ซางเฉียงหลีพยักหน้าแล้วเอ่ยว่า “ข้าจะไปพบเจ้าแน่!”
พอพูดจบเขาก็ดีดร่างขึ้นแล้วกลับไปยังที่นั่งของตระกูลซาง
ผู้ชมมองหน้ากันไปมา เรื่องนี้จบสิ้นลงเช่นนี้น่ะหรือ เดิมทียังคิดว่าจะได้เห็นการประลองที่มีสีสันสักยกหนึ่ง หรือการโจมตีอันบ้าคลั่ง แต่คิดไม่ถึงว่าจะจบลงเช่นนี้
เป็นผู้ถูกท้า แต่กลับปฏิเสธต่อหน้าธารกำนัล อาจทำให้ถูกผู้อื่นดูแคลนเอาได้ จึงไม่เคยมีใครปฏิเสธผู้อื่นเมื่อถูกท้าประลองในงานประลองมาก่อนเลย คิดไม่ถึงว่าซือหม่าโยวเย่ว์จะปฏิเสธโดยไม่หยุดคิดเลยเสียด้วยซ้ำ
และผู้ท้าประลองที่ถูกปฏิเสธต่อหน้าธารกำนัลนั้นก็เป็นเรื่องน่าขายหน้าอย่างยิ่ง แต่ซางเฉียงหลีก็แค่พูดกับซือหม่าโยวเย่ว์สองประโยคแล้วกลับไป นอกจากนี้ยังไม่มีความกระอักกระอ่วนที่ถูกปฏิเสธเลยแม้แต่น้อย เรื่องนี้ก็ชวนให้คนตกตะลึงยิ่งนัก
“มีแต่คนทำอะไรนอกลู่นอกทางกันทั้งนั้น!”
ทั้งผู้ท้าประลองและผู้ถูกท้าประลองล้วนไม่แสดงท่าทีใดๆ เรื่องจึงผ่านไปเช่นนี้เองเมื่อเห็นซางเฉียงหลีกลับไปเช่นนี้ ผู้มีพรสวรรค์หลายคนล้วนแสดงสีหน้าไม่น่ามอง ซือหม่าโยวหลินยังดีหน่อย หั่วจือเหยียนรอยยิ้มชะงักค้าง ส่วนน่าหลานเจี๋ยนั้นสีหน้าดำทะมึนราวกับขี้เถ้าก้นหม้อเลยทีเดียว
ถึงแม้ซือหม่าโยวเย่ว์จะไม่รับคำท้าของเขา เขาก็ยังท้าประลองคนอื่นได้ แต่เขากลับไปเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าไม่เห็นผู้อื่นอยู่ในสายตาเลย จึงไม่อยากประลองกับพวกเขา
กรรมการผู้นั้นก็คิดไม่ถึงว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นมาได้ ผ่านไปครู่ใหญ่จึงค่อยได้สติกลับคืนมา เขายืนอยู่ที่ริมสังเวียนพลางเอ่ยว่า “ต่อไปใครจะขึ้นมา ช่างเถิด อีกประเดี๋ยวพวกเจ้าขึ้นมากันเองก็แล้วกันนะ”
พอพูดจบแล้วเขาก็ลงไป
“ข้าเอง” น่าหลานเจี๋ยกลั้นหายใจก่อนจะร่อนลงบนสังเวียนแล้วชี้ไปที่ซางเฉียงหลีพลางพูดว่า “ซางเฉียงหลี เจ้ากล้าประลองกับข้าสักยกหรือไม่”
“โอ้ เขาถึงกับท้าซางเฉียงหลีเลยทีเดียว” เจ้าอ้วนชวีอุทาน
“แกว่งเท้าหาเสี้ยน” เว่ยจือฉีหยิบพัดจีบออกมาพัด ให้ความรู้สึกเหมือนคุณชายเจ้าสำราญ
ซือหม่าโยวเย่ว์เหลือบมองปราดหนึ่งก็พบว่าพัดจีบนี้แท้จริงแล้วคืออาวุธเทพที่ปลอมแปลงรูปลักษณ์มา เมื่อถือไว้ในมือแล้วพัดไปมา กลิ่นอายของเขาก็ไม่เหมือนเดิมเสียแล้ว
“ให้ข้ายืมใช้หน่อยสิ” เธอคว้าพัดของเว่ยจือฉีมาแล้วลองพัดดูสองที พลางเอ่ยว่า “ข้าทำเช่นนี้ดูเหมือนชายหนุ่มรูปงามแล้วหรือยัง”
เว่ยจือฉีหยิบพัดจีบขึ้นมาอีกเล่มแล้วมองท่าทางของซือหม่าโยวเย่ว์พลางเอ่ยว่า “ข้ารู้สึกว่าเจ้าให้กลิ่นอายเหมือนเด็กหนุ่มลามกมากกว่า”
“จะเป็นไปได้อย่างไรเล่า!” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “พวกคนลามกจะดูบริสุทธิ์เหมือนข้าเสียที่ไหนกัน”
“พรืด…”
เจ้าอ้วนชวีพ่นหัวเราะออกมา เมื่อเห็นซือหม่าโยวเย่ว์ถลึงตาใส่เขาจึงรีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนา ”จือฉี เหตุใดเจ้าจึงบอกว่าเขาแกว่งเท้าหาเสี้ยนเล่า”
“ง่ายจะตายไป” เว่ยจือฉีพูด “เมื่อครู่หลังจากที่ซางเฉียงหลีถูกโยวเย่ว์ปฏิเสธแล้วก็ลงจากสังเวียนไปเลย แสดงให้เห็นว่าเขาไม่มีความสนใจในตัวผู้อื่นเลย เจ้าน่าหลานเจี๋ยผู้นี้ขึ้นไปท้าเขาประลอง ย่อมต้องถูกปฏิเสธแน่นอนอยู่แล้ว”
ซือหม่าโยวเย่ว์พยักหน้า เธอเองก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน
“ซางเฉียงหลี เจ้ากล้าประลองกับข้าสักยกหรือไม่” น่าหลานเจี๋ยส่งเสียงถามซ้ำอีกครั้ง
ตอนถามครั้งแรก ซางเฉียงหลีมิได้เอ่ยตอบ เมื่อเขาถามอีกครั้ง ซางเฉียงหลีเพียงแค่ลืมตาแล้วเอ่ยประโยคหนึ่งว่า “ข้าไม่มีความสนใจในการประลองพรรค์นี้หรอก”
ไม่มีความสนใจ…
ทุกคนตกใจกับคำพูดนี้ของเขาราวกับสายฟ้าฟาด เมื่อครู่เขายังอยากท้าผู้อื่นประลองอยู่เลย แต่ตอนนี้กลับบอกว่าไม่มีความสนใจเสียแล้ว นี่มิใช่การฉีกหน้าน่าหลานเจี๋ยหรอกหรือ
น่าหลานเจี๋ยสีหน้าดำทะมึนยิ่งขึ้นอีก เขามองซางเฉียงหลีพลางเอ่ยว่า “เจ้าไม่มีความสนใจหรือไม่กล้าขึ้นมากันแน่”
“ไม่มีกล้าหรือไม่กล้าหรอก มีแค่อยากกับไม่อยากเท่านั้นแหละ” ซางเฉียงหลีพูด “ข้าไม่อยาก”
พอพูดจบเขาก็หลับตาลงอีกครั้ง
ไม่มีกล้าหรือไม่กล้า มีแค่อยากกับไม่อยากเท่านั้น พอซือหม่าโยวเย่ว์ได้ฟังวาจานี้แล้วก็ถูกใจซางเฉียงหลีขึ้นมาเสียแล้ว
เขากับเธอมีความคิดเห็นตรงกันในเรื่องนี้ ไม่มีกล้าหรือไม่กล้า มีแค่อยากหรือไม่อยาก ยอมหรือไม่ยอมเท่านั้นแหละ
วาจาเช่นนี้มีเพียงแค่ผู้มีความสามารถเท่านั้นที่จะพูดออกมาได้!
มิน่าเล่า หลังจากที่เขาได้ยินเธอพูดว่าไม่อยากประลองแล้วจึงมิได้แสดงสีหน้าอาการอะไร ทั้งยังลงจากสังเวียนไปหลังจากได้รู้ว่าเธอเต็มใจจะแข่งกับเขาในวันหลัง ที่แท้เป็นเพราะพวกเขามีความคิดเช่นเดียวกันนั่นเอง
น่าหลานเจี๋ยที่อยู่บนสังเวียนแสดงท่าทีกระอักกระอ่วนอย่างเห็นได้ชัด แน่นอนว่านี่ก็เป็นเพราะเขามิได้มีหัวใจเช่นเดียวกับซางเฉียงหลี
การยอมรับการท้าประลองนั้นเป็นเรื่องของความเต็มใจ ถ้าหากผู้อื่นไม่เต็มใจ ก็มิอาจไปลากตัวผู้นั้นมาแข่งได้มิใช่หรือ
เพียงแต่ว่าก่อนหน้านี้ไม่เคยมีใครเผชิญกับเรื่องเช่นนี้มาก่อนเลยก็เท่านั้นเอง
“ในเมื่อซางเฉียงหลีไม่อยากแข่ง เช่นนั้นก็นับว่าเจ้าชนะ เจ้าไปที่ยกต่อไปได้เลย” กรรมการที่อยู่ด้านล่างพูด
ถึงแม้จะตัดสินว่าเขาชนะ แต่การชนะโดยไม่ได้สู้ หากพูดออกไปก็คงไม่น่าฟังนัก
แต่น่าหลานเจี๋ยก็มิอาจพูดอะไรได้ ได้แต่เก็บความโมโหเอาไว้ลงกับคนต่อไปแทน
เขามองไปรอบๆ สุดท้ายก็หยุดอยู่บนร่างซือหม่าโยวหลินแล้วเอ่ยว่า “ซือหม่าโยวหลิน เจ้ากล้ารับคำท้าประลองหรือไม่”
การท้าประลองของเขามิได้อยู่นอกเหนือความคาดหมายของซือหม่าโยวหลินเลย และไม่ได้คิดที่จะหลบเลี่ยง เขาจัดเสื้อผ้าแล้วลุกขึ้นยืน ก่อนจะเหินทะยานขึ้นไปบนเวที
น่าหลานเจี๋ยมองซือหม่าโยวหลินแล้วเอ่ยว่า “ข้ารู้ว่าระหว่างพวกเรา จะเร็วจะช้าก็ต้องได้ประลองกันสักครั้งอยู่ดี”
ซือหม่าโยวหลินมองน่าหลานเจี๋ยอย่างเฉยชาพลางเอ่ยว่า“เริ่มเลยดีกว่า”
…………………………………