สลับชะตา ชายามือสังหาร - ตอนที่ 330 สิ่งมีชีวิตที่ถูกสะกดเอาไว้
“สัตว์อสูรยามหรือ” เจ้าไก่ฟ้ามองดูสัตว์อสูรวิเศษที่ถูกผนึกเอาไว้เหล่านี้พลางเอ่ยว่า “บางทีอาจจะใช่จริงๆ ปกติถูกผนึกเอาไว้ที่นี่ ถ้าหากมีคนกล้าแตะต้องค่ายกลเมื่อไหร่ ผนึกก็จะคลายออก พวกมันกำลังอารักขาค่ายกลอยู่”
เมื่อได้ฟังเขาวิเคราะห์แล้ว ซือหม่าโยวหลินก็รู้สึกว่าจะต้องเป็นเช่นนี้แน่
“ในเมื่อเป็นสัตว์อสูรยามเฝ้าค่ายกล แล้วพวกมันจะโจมตีพวกเราหรือไม่” ซือหม่าโยวเย่ว์มองสัตว์อสูรเหนือเทพเหล่านั้นพลางถามขึ้น
“น่าจะไม่หรอก ขอเพียงแค่พวกเราไม่โจมตีค่ายกล สัตว์อสูรยามเหล่านี้ก็ไม่มีทางตื่นขึ้นมาหรอก” เจ้าไก่ฟ้าพูด
“เช่นนั้นพวกเรารีบเดินกันดีกว่านะ ข้ารู้สึกอยู่ตลอดเลยว่าสัตว์อสูรยามเหล่านี้ดูโหตเหี้ยมยิ่งนัก” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
“อืม ไปกันเถิด”
ทั้งสามคนรีบเดินไปข้างหน้า เพียงไม่นานก็ผ่านสัตว์อสูรยามทั้งหลายไป แต่สิ่งที่พวกเขาไม่เห็นก็คือหลังจากที่พวกเขาจากไปแล้ว สัตว์อสูรเหนือเทพที่ถูกผนึกด้วยน้ำแข็งตนหนึ่งก็ลืมตาขึ้น จากนั้นจึงตามหลังพวกเขาอยู่นานพอสมควร จนกระทั่งไม่เห็นพวกเขาแล้ว ดวงตาคู่นั้นจึงหลับลงอีกครั้ง
ก่อนจะออกจากอุโมงค์ทางเดิน ซือหม่าโยวเย่ว์ก็หันมามองแวบหนึ่ง นัยน์ตาเจือแววสงสัยอยู่บ้าง
“ทำไมหรือ” ซือหม่าโยวหลินถาม
“เมื่อครู่ข้ารู้สึกเหมือนว่ามีอะไรบางอย่างกำลังมองพวกเราอยู่” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “แต่ข้าดูรอบหนึ่งแล้ว พวกมันก็ยังหลับตากันอยู่ทั้งหมดเลย”
“บางทีเจ้าอาจจะระแวงมากเกินไปจนรู้สึกไปเองก็ได้นะ” ซือหม่าโยวหลินพูด
“อาจจะอย่างนั้นแหละ” ซือหม่าโยวเย่ว์ไม่รู้สึกถึงความผิดปกติ จึงปล่อยไปอย่างนั้น
ขณะนี้เอง เจ้าไก่ฟ้าที่เดินอยู่ข้างหน้าก็หยุดฝีเท้าลงอย่างฉับพลัน
“ทำไมหรือ เจ้าไก่ฟ้า”
“คราวก่อนข้าเคยเดินบนเส้นทางข้างหน้านี้แล้ว” เจ้าไก่ฟ้าพูด “แต่เดินไปได้เพียงครึ่งเดียวก็สูญสิ้นสติรับรู้ไปเสียก่อน”
คำพูดของเขาทำให้ซือหม่าโยวเย่ว์และซือหม่าโยวหลินกระวนกระวายอยู่บ้าง คราวก่อนเขาก็ถูกมารเฒ่าช่วยออกไปจากที่นี่อย่างนั้นหรือ
“ที่แท้แล้วที่นี่มีสิ่งใดอยู่กันแน่” เธอปล่อยมือซือหม่าโยวหลิน ก่อนจะเดินไปข้างหน้าแล้วถามขึ้น
เจ้าไก่ฟ้าตอบเสียงเข้ม “แรงกดดันและการบีบอัด”
ซือหม่าโยวเย่ว์รับสัมผัสดูอีกครั้งแล้วพูดอย่างจนใจอยู่บ้าง “มันอยู่ที่อุโมงค์ทางเดินด้านหน้านี้ พวกเราคงได้แต่เดินเข้าไปแล้วละนะ”
ทั้งสามคนปรับลมหายใจ แล้วเริ่มเดินเข้าไปยังอุโมงค์ทางเดินเส้นต่อไป
ซือหม่าโยวเย่ว์พบว่าเมื่อพวกเธอเดินเข้าไปในอุโมงค์ทางเดินนี้แล้ว เท้าทั้งสองข้างก็หนักอึ้งขึ้นมาในทันใดคล้ายกับมีตะกั่วถ่วงอยู่ ทุกฝีก้าวล้วนต้องใช้พละกำลังหมดทั้งร่างกาย
ไม่เพียงแค่นี้เท่านั้น เมื่อพวกเธอเดินไปยังไม่ถึงร้อยเมตร ก็รู้สึกว่าอากาศเริ่มหนักอึ้งขึ้นมา กดดันพวกเขาลงสู่เบื้องล่าง
“พลั่ก”
ร่างกายของซือหม่าโยวหลินอ่อนแอที่สุด จึงรับแรงกดดันไม่ไหวเป็นคนแรก เขาทรุดลงไปในทันใด กระดูกหัวเข่าส่งเสียงดังกรอบแกรบ
“โยวหลิน” ซือหม่าโยวเย่ว์เคลื่อนตัวเข้ามาอย่างยากลำบากแล้วเอื้อมมือไปพยุงซือหม่าโยวหลินเอาไว้
“หนักขึ้นอีกแล้ว” ซือหม่าโยวเย่ว์รู้สึกว่าหลังจากที่ตนไปถึงตัวซือหม่าโยวหลินแล้ว น้ำหนักที่สองคนต้องแบกรับนั้นก็ดูเหมือนจะเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว ดูท่าทางที่นี่จะไม่อนุญาตให้ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
เจ้าไก่ฟ้าที่เดินอยู่ข้างหน้าหลายก้าวนั้นมิอาจไปต่อได้อีกแล้ว กระดูกของเขาก็ถูกบีบอัดจนแหลกไปหลายท่อนแล้วเช่นกัน
ซือหม่าโยวเย่ว์มิอาจยืดตัวตรงได้ต่อไป เมื่อเห็นทั้งสองคนฝืนทนอย่างยากลำบาก กระดูกในร่างกายแหลกไปมากมายเช่นนั้น จึงเอ่ยว่า “ในเมื่อเป็นข้าเองที่ต้องการจะไปพบมัน ก็ให้ข้าทนรับเพียงคนเดียวก็พอแล้ว”
พอพูดจบเธอก็เก็บตัวเจ้าไก่ฟ้าและซือหม่าโยวหลินเข้าไปภายในเจดีย์วิญญาณทั้งคู่
ซือหม่าโยวหลินรับสัมผัสสภาพแวดล้อมรอบด้านแล้วรู้สึกว่าแรงกดดันที่ชวนให้คนหายใจไม่ออกนั้นหายไปแล้ว สิ่งที่เข้าสู่สายตาของเขาก็คือสัตว์อสูรผูกพันธสัญญาเหล่านั้นของซือหม่าโยวเย่ว์
“พวกเจ้ากินยาวิเศษกันก่อนสิ” เจ้าวิญญาณน้อยโยนยาวิเศษให้พวกเขาคนละขวด หลังจากนั้นจึงมองออกไปด้านนอกอย่างเป็นกังวล
“ที่นี่คือ…” เขามองสภาพแวดล้อมอันแปลกตานี้อย่างตกตะลึง
“ที่นี่คือห้วงมิติของโยวเย่ว์น่ะ” เจ้าไก่ฟ้ากินยาวิเศษลงไปแล้วนั่งลงรวบรวมลมปราณ พร้อมกันนั้นก็สังเกตการณ์ด้านนอกไปด้วย
ถึงแม้ว่าในใจของซือหม่าโยวหลินจะมีข้อสงสัยอยู่ไม่น้อย แต่ก็รู้ดีว่าตอนนี้มิใช่เวลาที่เหมาะสมในการถามเรื่องเหล่านี้ จึงมองไปข้างนอกพร้อมกับทุกคนด้วย
หลังจากที่ซือหม่าโยวเย่ว์พบว่าเหลือเธออยู่เพียงคนเดียวแล้ว แรงกดดันในอากาศก็ลดน้อยลงแล้วเช่นกัน เธอจึงหยิบยาวิเศษหลายเม็ดออกมากิน หลังจากนั้นก็เอาใส่ไว้ในปากจำนวนหนึ่งเผื่อยามฉุกเฉินด้วย
“ย่ามันสิ นี่มันเป็นค่ายกลฝีมือใครกัน พวกเราเดินวนอยู่ในนี้มาสองสามวันได้แล้ว ก็ยังไม่เห็นหัวเลย แล้วยังทำของผีบ้าอะไรมาทำให้คนกลัวอีก!” เธอเดินไปพลาง ก่นด่าในใจไปพลาง พร้อมกันนั้นก็โคจรปราณวิญญาณในร่างกายมาต้านทานแรงกดดันในอากาศด้วย
เธอเดินตรงไปข้างหน้าตลอด ก่อนที่พลังวิญญาณจะหมดสิ้นลง ก็กลืนยาวิเศษลงไปอีกสองเม็ด หลังจากนั้นก็เดินไปข้างหน้าต่อ เนื้อหนังบนร่างกายของเธอปริแตกไปหลายบริเวณแล้ว โลหิตไหลรินลลงมาตามแขนขา มีเพียงแค่กระดูกเท่านั้นที่ยังฝืนทนอยู่ได้อย่างยากลำบาก เพราะเคยถูกเพลิงชาดหลอมแปรมาแล้ว
ยิ่งเดินลึกเข้าไปข้างใน แรงกดดันที่เธอต้องรับก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น ความเร็วจึงยิ่งช้าลง และบนร่างกายเธอก็ไม่มีเนื้อหนังที่สมบูรณ์เหลืออยู่มากสักเท่าไรแล้ว
ในที่สุดเธอก็กลายเป็นเครื่องจักรที่เคลื่อนที่ไปข้างหน้า บนร่างกายบาดเจ็บจนชาหนึบไปหมด เธอรู้สึกว่าเลือดเธอไหลจนจะหมดตัวอยู่แล้ว
“หากยังเป็นแบบนี้ต่อไป แล้วเราจะกลายเป็นผีดิบไหมนะ” เธอเห็นเลือดที่ไหลนองของตัวเองแล้วอดเยาะเย้ยไม่ได้
ไม่ใช่ว่าเธอไม่เคยคิดจะหลบเข้าไปภายในเจดีย์วิญญาณ แต่เมื่อเข้าไปแล้ว พอออกมาก็ยังเป็นที่เดิมอยู่ดี มิสู้เดินตรงเข้าไปเรื่อยๆ ดีกว่า
แรงกดดันเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ อย่าว่าแต่เธอจะยืดตัวตรงเลย แม้กระทั่งยืนก็มิอาจยืนให้มั่นคงได้อีกแล้ว เธอต้องใช้มือทั้งสองข้างวางบนหัวเข่าจึงจะประคับประคองเอาไว้ได้อย่างทุลักทุเล
หลังจากที่เดินต่อมาอีกเกือบครึ่งวัน ในที่สุดซือหม่าโยวเย่ว์ก็ทรุดลงไปอย่างต้านทานไม่ไหวอีกต่อไป
ในชั่วขณะที่ทรุดลงไปนั้นเอง เธอก็เห็นหมอกดำกลุ่มหนึ่งลอยมาทางเธอ
“บ้าเอ๊ย คงไม่ตายไปเฉยๆ แบบนี้หรอกนะ” เมื่อนึกถึงหมอกดำที่พบตอนเข้ามา เธอก็ได้เพียงแค่คิดเช่นนี้เท่านั้น แล้วสูญสิ้นสติรับรู้ไป
และหลังจากผู้ที่อยู่ภายในมณีวิญญาณได้เห็นหมอกดำแล้วก็ตกใจจนหน้าถอดสีในทันใด แต่พวกเขายังไม่ทันทำอะไร ด้านนอกก็กลายเป็นมืดมิด ตัดขาดการสังเกตการณ์เรื่องราวภายนอกของพวกเขาไป
เจ็บ…
นี่คือความรู้สึกเพียงอย่างเดียวของซือหม่าโยวเย่ว์ในตอนนี้ คราวนี้มิได้รู้สึกว่าตลอดร่างกายถูกฉีกทึ้ง หากแต่ผิวหนังทุกตารางนิ้วล้วนถูกฉีกเปิดออกจนหมดจริงๆ จนเผยให้เห็นกระดูกข้างใน
ยังสัมผัสถึงความเจ็บปวดได้อยู่อย่างนั้นหรือ
ซือหม่าโยวเย่ว์ได้สติกลับคืนมา เธอลืมตาขึ้นในทันใด
“ไม่ตายหรือนี่” นี่คือความคิดอย่างแรกของเธอ
“มิได้อยู่ที่บริเวณเมื่อครู่แล้วนี่” นี่คือปฏิกิริยาอย่างต่อมาของเธอ
“พรึ่บ…” เธอนึกอยากจะลุกขึ้นนั่ง แต่ขยับเบาๆ เพียงครั้งเดียว ตลอดทั้งร่างกายก็เจ็บปวดจนเกินทนรับเสียแล้ว
ยังดีที่ยาวิเศษที่ใส่ปากเอาไว้เมื่อครู่ยังอยู่ เธอจึงโคจรพลังวิญญาณเร่งยาวิเศษ หลังจากนั้นไม่นานอาการบาดเจ็บจึงบรรเทาลง
ครึ่งวันให้หลัง เธอก็รู้สึกว่าขยับได้แล้ว จึงกัดฟันลุกขึ้นนั่ง
“ที่นี่มันที่ไหนกันนะ” พอไม่มีแสงไฟ รอบตัวก็มืดสนิทราวกับน้ำหมึก ทำให้เธอมิอาจมองบริเวณที่อยู่ได้อย่างชัดเจน
“เจ้าฟื้นเสียทีนะ” เสียงแหบพร่าเสียงหนึ่งดังขึ้นมาในทันใด ทำให้เธอตกใจจนสะดุ้งตัวลอย
“เจ้าเป็นใคร” เธอสร้างลูกไฟขึ้นมา แสงรำไรทะลุผ่านความมืด ทำให้รอบด้านสว่างไสว
ในถ้ำขนาดใหญ่มหึมาหาใดเปรียบ ลูกไฟของเธอจึงมิอาจครอบคลุมได้ทุกมุม
“นานหลายปีแล้ว ในที่สุดก็ได้เห็นแสงสว่างอีกครั้งเสียที” เสียงแหบพร่านั้นดังขึ้นอีกครั้ง ซือหม่าโยวเย่ว์จึงหันลูกไฟตามเสียงนั้นไป เธอตกใจเพราะภาพที่เห็นตรงหน้าจนร่นถอยหลังไปสองก้าว
หมอกดำหนาทึบกลุ่มหนึ่งดูเหมือนจะกินพื้นที่ไปถึงครึ่งหนึ่งของถ้ำ ที่ด้านหน้าของหมอกดำ กองกระดูกหลายกองยังคงแผ่กลิ่นอายหนาวยะเยือก
เธอกลืนน้ำลายแล้วถามว่า “เจ้า… เจ้าเป็นใครกัน”
…………………………………