สลับชะตา ชายามือสังหาร - ตอนที่ 332 ราชวงศ์อเวจี
ซือหม่าโยวเย่ว์ยิ้มขมขื่น หลังจากที่เธอฟื้นขึ้นมาก็สัมผัสได้ว่าปราณวิญญาณภายในร่างไม่เสถียรเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะปราณวิญญาณสีดำที่เพิ่มขึ้นมากลุ่มนั้น ซึ่งคอยสู้กับปราณวิญญาณอื่นๆ อย่างเอาเป็นเอาตาย
ก่อนหน้านี้หมัวซาก็เคยบอกว่าเมื่อใดที่กลิ่นอายของความสว่างและความมืดมาพบกัน ก็จะต้องช่วงชิงกันอยู่ภายในร่างกายของเธอ ถ้าหากไม่ระวังก็อาจอันตรายถึงร่างกายระเบิดได้
“ผู้อาวุโสมีวิธีใดบ้างหรือไม่” เธอถาม
“แสงสว่างและความมืดเป็นอริกันมาตั้งแต่ครั้งโบราณกาลแล้ว ตอนนี้ยังยัดความมืดและแสงสว่างใส่เอาไว้ในสิ่งเดียวกันอีก ผลลัพธ์สุดท้ายจะเป็นเช่นไร ยังต้องพูดอีกหรือ นอกจากเจ้าจะยอมล้างพื้นฐานการบำเพ็ญทิ้งทั้งหมด จะยังมีวิธีอื่นใดได้อีกเล่า” หมอกดำเอ่ย
“ล้างพื้นฐานการบำเพ็ญทิ้งอย่างนั้นหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์ครุ่นคิดแล้วพูดว่า “ข้าล้างพื้นฐานการบำเพ็ญทิ้งไม่ได้หรอก”
“เช่นนั้นก็ไม่มีวิธีแล้วล่ะ” หมอกดำพูด “เช่นนั้นเจ้าก็รอคอยความตายอย่างช้าๆ ไปเถิดนะ วะฮ่าฮ่าๆๆ ข้าชอบดูคนรอคอยความตายที่สุดเลยละ ความรู้สึกนั้นมันช่างมหัศจรรย์ยิ่งนัก”
เออ…
ซือหม่าโยวเย่ว์รู้สึกว่าในใจของเจ้าคนผู้นี้ไม่ได้วิปริตแบบธรรมดาเสียแล้ว ตนไปยุ่งกับเขาให้น้อยหน่อยจะดีกว่า
พอเขาหัวเราะจนพอใจแล้วจึงเอ่ยปากว่า “ความจริงแล้วถ้าหากเมื่อครู่เจ้าเลือกที่จะล้างพื้นฐานการบำเพ็ญทิ้ง ตอนนี้เจ้าอาจจะกลายเป็นโครงกระดูกไปแล้วก็ได้ คนที่รักตัวกลัวตายนั้นไม่มีคุณสมบัติในการใช้ชีวิตบนโลกใบนี้หรอก!”
ซือหม่าโยวเย่ว์ตกตะลึง เมื่อครู่ตนไปเฉียดประตูยมโลกมารอบหนึ่งแล้วอย่างนั้นสินะ
“ยังดีที่เจ้าเป็นคนแน่วแน่ เห็นแก่ที่เจ้าอาจจะเป็นชนรุ่นหลังของข้าก็ได้ ข้าจะช่วยเจ้าสักครั้ง เจ้ามานี่สิ”
ซือหม่าโยวเย่ว์เดินขึ้นไปข้างหน้าสุดอย่างไม่ลังเล ระลอกคลื่นอันไร้รูปร่างสกัดฝีเท้าของเธอเอาไว้
เธอไม่เป็นกังวลเลยว่าหมอกดำจะทำอะไรไม่ดีกับตน เพราะถ้าหากอีกฝ่ายอยากจะฆ่าเธอจริงๆ เธอก็คงตายไปเป็นร้อยเป็นพันครั้งแล้ว
“เจ้าค่ายกลที่น่ารังเกียจ” หมอกดำก่นด่า จากนั้นจึงเอ่ยว่า “เจ้าอยู่ตรงนั้นก็แล้วกัน นั่งลงเสีย”
ซือหม่าโยวเย่ว์นั่งขัดสมาธิลงกับพื้น
“ผนึกในร่างกายเจ้าคลายออกจนหมดแล้ว ส่วนของความมืดได้ถูกผนึกเอาไว้เนิ่นนานเหลือเกิน ดังนั้น…ตอนนี้จึงบ้าคลั่งอย่างยิ่ง เพียงแค่จัดการกับมันได้ เจ้าก็จะยังไม่เป็นอันตรายอะไรมากไปสักระยะ” หมอกดำพูด “ข้าจะแสดงให้ดูในร่างกายเจ้าเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น ถ้าหากเจ้ายังเรียนรู้ไม่ได้ เช่นนั้นก็ได้แต่ตำหนิที่เจ้าโง่เง่าเกินไปเองแล้วละนะ”
พอพูดจบ ควันสีดำกลุ่มหนึ่งก็แยกตัวออกมาจากหมอกดำ ผ่านสิ่งกีดขวางอันไร้รูปร่างนั้น แล้วเจาะเข้าไปทางกระดูกปั้นเหน่งของซือหม่าโยวเย่ว์
ซือหม่าโยวเย่ว์ตั้งอกตั้งใจสัมผัสเส้นทางที่ควันดำนั้นโคจรภายในร่างกาย พยายามควบคุมให้ปราณวิญญาณสีดำที่อยู่บริเวณจุดตันเถียนโคจรไปตามเส้นทางนี้ เธอพบว่ากลิ่นอายบ้าคลั่งเหล่านั้นเบาบางลงอย่างช้าๆ ในที่สุดก็กลับเข้าไปภายในสระเจดีย์อย่างว่าง่าย มิได้ไปโจมตีปราณวิญญาณอื่นๆ อีก
“พลังปราณของที่นี่ไม่เลวเลย ผ่านการตกตะกอนมานานปีถึงเพียงนี้ ใช้กับเจ้าได้ เจ้าก็ดูดซับได้ตามสบายเลยนะ” หมอกดำสัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงของซือหม่าโยวเย่ว์ นัยน์ตาที่ซ่อนอยู่ด้านหลังหมอกดำเปล่งประกายวูบหนึ่ง จากนั้นก็หายวับไปอย่างรีบร้อน
ซือหม่าโยวเย่ว์ดูดซับพลังปราณสีดำทั้งหมดเข้าสู่ร่างกายตามปกติ บ่อสะสมปราณสีดำที่ก่อนหน้านี้มีขนาดประมาณเล็บมือกลายเป็นมีขนาดเท่ากำปั้น
ในขณะที่เธอคิดว่าเก็บได้หมดแล้วนั้นเอง ห้าปราณวิญญาณทั้งดิน น้ำ ลม ไฟ ทองก็ปั่นป่วนขึ้นมา ก่อนจะเริ่มเข้าโจมตีปราณวิญญาณความมืด
“เฮ้ย…” เพลิงชาดตะโกนเสียงดังลั่น ปราณวิญญาณเหล่านั้นจึงกลับไปยังพื้นที่ของตนอย่างเชื่อฟัง
ในขณะที่พลังวิญญาณปั่นป่วนนั้นซือหม่าโยวเย่ว์ได้พยายามควบคุมปราณวิญญาณเหล่านั้นอย่างสุดกำลัง แต่ผลลัพธ์ก็ยังสู้เสียงตวาดของเพลิงชาดไม่ได้เลย
เมื่อภายในร่างกายกลับมาสงบแล้ว เธอจึงค่อยลืมตาขึ้น
“ขอบคุณผู้อาวุโสมาก” เธอคารวะไปทางหมอกดำ
“มีเหตุย่อมมีผล เหตุและผลเกี่ยวเนื่องกัน วันนี้เกิดเหตุ พรุ่งนี้เกิดผล ตอนนี้เจ้าไม่จำเป็นต้องขอบคุณข้าหรอก” หมอกดำพูด “เอาละ สิ่งที่ข้าพอจะช่วยเจ้าได้ ข้าก็ช่วยไปหมดแล้ว เจ้าออกไปได้แล้วละ”
“ผู้อาวุโส ข้ามีข้อสงสัยหนึ่งอยากจะถามสักหน่อย” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
“อะไรหรือ”
“พวกเขาบอกว่าผนึกของข้าคลายออกแล้ว หลังจากที่กลิ่นอายบนร่างเปลี่ยนแปลงไปแล้ว ข้าได้ตวาดจนธารน้ำใต้ดินแปลกประหลาดนั่นถอยกลับไป ข้าอยากรู้ว่าเป็นเพราะอะไรหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
“ธารน้ำใต้ดินสายนั้นน่ะหรือ” หมอกดำนิ่งคิดอยู่ชั่วครู่ ราวกับกำลังคิดหาเหตุผล ในขณะที่ซือหม่าโยวเย่ว์คิดว่าเขาคงตอบไม่ได้แล้วนั้นเอง เขาก็พูดอย่างเรียบเรื่อยประโยคหนึ่งว่า “นั่นมิใช่ธารน้ำหรอก มันคือสัตว์อสูรอเวจีตนหนึ่งต่างหากเล่า”
พอพูดจบเขาก็ใช้หมอกดำขุมหนึ่งห่อหุ้มร่างของซือหม่าโยวเย่ว์เอาไว้ คนที่อยู่ในนั้นก็สูญสิ้นสติรับรู้ไปอย่างรวดเร็ว
หมอกดำที่ห่อหุ้มตัวเธอสายนั้นหอบเธอออกมาจากถ้ำภูเขา
“บนร่างเจ้ามีกลิ่นอายราชวงศ์อเวจีของข้าอยู่ สัตว์อสูรธารอเวจีก็ต้องยอมถอยเพราะเสียงตวาดของเจ้าอยู่แล้ว” เงาร่างหนึ่งค่อยๆ รวมตัวขึ้นมากลางหมอกดำ เขามองไปยังทิศทางที่เธอจากไป พลางเอ่ยว่า “ราชวงศ์ของข้ามีชนรุ่นหลังโผล่มาอีกคนแล้ว หึๆ หึๆ…”
ซือหม่าโยวเย่ว์ย่อมไม่ได้ยินวาจาในตอนท้ายของเขาอยู่แล้ว ตอนที่เธอฟื้นขึ้นมา เธอก็มาอยู่ที่ริมทะเลสาบของเขาภาพมังกรแล้ว
หมอกดำที่ห่อหุ้มตัวเธอจางหายไป ทั้งยังมิได้ทิ้งร่องรอยเอาไว้แม้แต่น้อย บนร่างของเธอไม่เปียกน้ำเลยแม้แต่หยดเดียวด้วยซ้ำ
ตอนที่อยู่ใต้ดิน บาดแผลบนร่างกายก็ฟื้นฟูขึ้นมาแล้ว ตอนนี้นอกจากเสื้อผ้าที่ขาดรุ่งริ่ง ก็ไม่มีร่องรอยใดบนร่างกายเธอลุกขึ้นทะยานร่างไปยังหุบเขาแห่งหนึ่ง เมื่อแน่ใจว่ารอบด้านไร้ผู้คน จึงหายตัวเข้าไปภายในเจดีย์วิญญาณ
“เจ้านาย ในที่สุดเจ้าก็ฟื้นเสียที” เจ้าคำรามน้อยกระโจนเข้าใส่อ้อมแขนของซือหม่าโยวเย่ว์ทันทีที่เธอเดินเข้ามา ในวาจาแฝงไว้ด้วยความเป็นกังวลและกระวนกระวายใจ
“ข้าก็เข้ามานี่แล้วมิใช่หรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์ตบหลังเจ้าคำรามน้อย พลางยิ้มให้กับสัตว์อสูรผูกพันธสัญญาตนอื่นๆ อย่างเอาอกเอาใจ
“โยวเย่ว์ เจ้าไม่เป็นไรใช่หรือไม่” ซือหม่าโยวหลินอยู่ที่เดิมตลอด ไม่ได้จากไปไหนเลย
ระยะนี้ไม่เห็นความเป็นไปของเธอเลย ทำให้เขาไม่มีอารมณ์จะไปเข้าร่วมในเจดีย์วิญญาณ
“ข้าไม่เป็นไร” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
“เจ้าได้พบกับสิ่งมีชีวิตที่ถูกสะกดเอาไว้แล้วหรือ” ซือหม่าโยวหลินถาม
“นับว่าได้พบก็แล้วกัน” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “แต่เขาถูกห่อหุ้มเอาไว้ในหมอกดำหนาทึบ ข้าจึงไม่ได้เห็นร่างจริงของเขา”
“เช่นนั้นเขาได้ทำร้ายเจ้าหรือไม่”
“เปล่าเลย ก็เหมือนกับที่เพลิงชาดบอกนั่นแหละ เขาช่วยข้าได้มากเลย” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “พวกเราอยู่ใต้ดินกันนานแค่ไหนหรือ”
“ครึ่งเดือน” เจ้าวิญญาณน้อยพูด
“พวกเราอยู่ที่นั่นกันครึ่งเดือนเชียวหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์ตกใจอยู่บ้าง เธอยังคิดว่าตนอยู่เพียงแค่สามวันห้าวันเท่านั้น “ในเมื่อไม่เป็นไรแล้ว ข้าขอไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนนะ”
เสื้อผ้าของเธอเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบโลหิตที่จับตัวแข็งหมดแล้ว เห็นได้ชัดว่าตอนนั้นที่เธอบาดเจ็บได้เสียเลือดไปมากมาย
พอเธอกลับไปถึงเรือนของตัวเอง เจ้าวิญญาณน้อยก็ได้เตรียมน้ำเอาไว้เรียบร้อยแล้ว เธอเติมเครื่องยาและสารสำคัญต่างๆ ลงไป หลังจากนั้นจึงถอดเสื้อผ้าแล้วลงไปอาบน้ำ
หมัวซาลอยออกมาจากสร้อยข้อมือม่านถัว ซือหม่าโยวเย่ว์จึงรีบย่อกายลงซ่อนในน้ำ
“ทำอะไรผิดศีลธรรมนัก!” เธอถลึงตาใส่หมัวซา
หมัวซาไม่เอ่ยวาจา ทันใดนั้นก็แปลงกายเป็นควันดำเจาะเข้าไปภายในร่างกายของเธอ ผ่านไปครู่ใหญ่จึงค่อยออกมาแล้วเอ่ยว่า “โชคดีที่เสถียรแล้ว”
ซือหม่าโยวเย่ว์เบ้ปากแล้วเอ่ยว่า “ที่แท้แล้วผนึกนั้นคือสิ่งใด ช่างไว้ใจไม่ได้ถึงเพียงนี้ ให้คนผู้นั้นตะคอกใส่สองสามทีก็ดึงดูดไอพลังมืดมิดออกมาจนทำลายผนึกนี้ได้แล้ว”
“นั่นมิใช่คนธรรมดาทั่วไป” หมัวซาพูด “ระหว่างพวกเจ้ามีสายสัมพันธ์อันมิอาจแยกขาดจากกันได้ ดังนั้นเขาจึงกระตุ้นไอพลังมืดมิดในตัวเจ้าได้”
“เขาคือใครกัน”
………………………………..