สลับชะตา ชายามือสังหาร - ตอนที่ 333 ถูก “ผู้เปี่ยมศีลธรรม” แอบมองเสียแล้ว
ซือหม่าโยวเย่ว์มองหมัวซา เขารู้ตัวตนของคนผู้นั้นด้วยหรือ
“เจ้าอย่ามองข้าเช่นนี้สิ ข้าก็ไม่รู้เช่นกันว่าเขาคือใคร” หมัวซาพูด
“แล้วท่านรู้ได้อย่างไรว่าพวกเรามีสายสัมพันธ์อันมิอาจแยกขาดจากกันได้” ซือหม่าโยวเย่ว์ไม่เข้าใจ
“เดาเอาน่ะ” หมัวซาพูดอย่างปัดความรับผิดชอบ
เอ่อ…
เขาหัดมีอารมณ์ขันอันร้ายกาจแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
“ความจริงแล้วการที่เจ้าไม่รู้ตัวตนของคนผู้นั้นก็ถือเป็นเรื่องดีอยู่นะ แต่ก็เหมือนกับที่เขาบอกนั่นแหละ พวกเจ้าจะต้องมีความสัมพันธ์ทางสายเลือดกันอยู่อย่างแน่นอน แต่สายเลือดนี้จะเกี่ยวข้องหรือไม่ข้าก็ไม่รู้ด้วยแล้ว” หมัวซาพูด “ตอนนี้สิ่งเหล่านี้ล้วนมิใช่ประเด็นสำคัญทั้งสิ้น เจ้าควรจะคิดเรื่องอื่นมากกว่า”
“นี่มิใช่ประเด็นสำคัญ เช่นนั้นประเด็นสำคัญคืออะไรเล่า” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม
“กลิ่นอายดำมืดในร่างกายเจ้าถูกคลายผนึกก่อนเวลาอันควร สิ่งนี้อยู่นอกเหนือความคาดหมายของข้า” หมัวซาพูด “ตอนนี้พวกมันอยู่ในบ่อปราณของเจ้า ถ้าอยากให้พวกมันสมดุลกัน ก็ได้แต่คานพลังของพวกมันเอาไว้ให้เท่ากันแล้ว”
“ก็หมายความว่าตอนนี้ข้าไม่เพียงแต่จะต้องบำเพ็ญในบริบทของแสงสว่างเท่านั้น แต่ยังต้องบำเพ็ญในบริบทของความมืดด้วยอย่างนั้นหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์จนคำพูด เช่นนั้นเธอจะต้องฝึกฝนมากมายเพียงใดกัน
“ใช่แล้ว” หมัวซาพยักหน้า “ไม่ใช่แค่นี้เท่านั้นนะ เจ้ายังต้องเริ่มต้นหลอมกายแล้วด้วย”
“หลอมกายหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์กะพริบตา เหตุใดคำนี้จึงฟังดูน่าอกสั่นขวัญแขวนนัก
“ถึงแม้ว่าไอพลังทั้งสองชนิดในตัวเจ้าจะอยู่ร่วมกันอย่างสงบได้ชั่วคราว แต่การต่อสู้ทั้งในที่ลับและที่แจ้งล้วนจำเป็นต้องมีภาชนะอันมั่นคง ถ้าหากร่างกายของเจ้าอ่อนแอเกินไป ไม่ต้องรอให้ไอพลังทั้งสองชนิดไปถึงจุดสูงสุดหรอก ร่างกายของเจ้าก็คงระเบิดไปก่อน” หมัวซาพูด
ซือหม่าโยวเย่ว์จนคำพูด นี่คือจังหวะของการหลอมแปรร่างกายของเธอ
หมัวซาไม่สนใจปฏิกิริยาของเธอ เขาเข้ามาสัมผัสหน้าผากเธอ ซือหม่าโยวเย่ว์รู้สึกว่าหน้าผากเยียบเย็น ในห้วงสมองมีบางสิ่งเพิ่มขึ้นมาจำนวนหนึ่ง
“นี่คือวิธีการหลอมกาย เจ้าไปหาวัตถุดิบมาทำเองก็แล้วกัน” หมัวซาพูดพลางมองเธอปราดหนึ่ง “คิดไม่ถึงว่าร่างกายของเจ้าในตอนนี้ก็ยังพอดูได้อยู่เหมือนกันนะ”
พอพูดจบเขาก็ชิงกลับเข้าไปในสร้อยข้อมือม่านถัวก่อน โดยไม่รอให้ซือหม่าโยวเย่ว์อาละวาด
ซือหม่าโยวเย่ว์ก้มหน้าลงมอง ตนได้ปิดแหวนมนตร์ไปขณะอาบน้ำ ตอนนี้จึงมีสภาพร่างกายเป็นหญิง เมื่อครู่ไม่ได้ระวังเผลอยืดตัวขึ้นมาเล็กน้อย ผิวพรรณขาวราวหิมะบริเวณทรวงอกอวบ เนินอกผลุบๆ โผล่ๆ อยู่ในน้ำ คิดไม่ถึงว่าจะถูกเขาเห็นเข้าเสียแล้ว
“บ้านปู่ท่านน่ะสิ!” เธอตวาดเสียงหนึ่งก่อนจะถอดสร้อยข้อมือม่านถัวแล้วโยนลงในถังน้ำ หวังจะให้น้ำท่วมสร้อยข้อมือม่านถัว
“เฮ้อ…สถานการณ์ในตอนนี้มันช่างย่ำแย่เสียจริง” เธอพิงขอบถังไม้ เมื่อนึกถึงร่างกายอันยุ่งเหยิงของตัวเองในตอนนี้แล้วก็อดที่จะยิ้มขมขื่นมิได้
เธอนึกถึงประสบการณ์ที่เบื้องล่างของเทือกเขาหมื่นอสูรของตนขึ้นมา ดวงตาทั้งสองก็ค่อยๆ เปียกชื้น
“เฟิงเอ๋อร์ น้องพี่…” สองมือเธอปิดหน้าเอาไว้ คิดจะใช้น้ำลบล้างคราบน้ำตาที่ไหลลงมาอาบแก้ม
“พี่หญิง ข้าจะรอท่านกลับมาหาข้านะ…” เสียงของซีเหมินเฟิงยังคงก้องสะท้อนอยู่ในหู
“น้องชาย เจ้ารอข้านะ ข้าจะไปหาเจ้าแน่ ไม่ว่าเจ้าจะอยู่ที่ไหน จงรอข้านะ…”
เธอค่อยๆ ฟื้นฟูความทรงจำที่เลือนหายไปเหล่านั้นขึ้นมาตามการฟื้นฟูวิญญาณของเธอในตอนนี้ ถึงแม้ว่าจะยังนึกไม่ออกทั้งหมด แต่เมื่อใดที่นึกถึงคนบางคนหรือเรื่องบางเรื่อง เธอก็พอจะนึกถึงความทรงจำที่เกี่ยวข้องกันขึ้นมาได้
ถึงแม้ว่าหลายปีมานี้เธอจะไม่เคยตั้งใจนึกถึงความทรงจำที่หายไปในชาตินั้น แต่เธอก็มิได้ลืมเลือนว่าตัวเองยังมีตัวตนนี้…ซีเหมินโยวเย่ว์
เพราะว่าการมีตัวตนอยู่ของเจ้าคำรามน้อยก็คือร่องรอยอันมิอาจลบเลือนได้ของชาติภพนั้น
เธอเข้าใจมานานแล้วว่าหลังจากตนถูกสังหารบนโลกแล้วมิได้เข้ามาภายในร่างกายนี้โดยตรง หากแต่กลายเป็นซีเหมินโยวเย่ว์ซึ่งใช้ชีวิตอยู่ที่ดินแดนเบื้องบนมาเนิ่นนานเพียงใดก็มิอาจทราบได้
เธอมีสมาชิกครอบครัวใหม่ มีมารดาที่รักใคร่ทะนุถนอมตน ทั้งยังมีน้องชายผู้น่ารักและขี้อ้อน ทว่าต่อมาตระกูลซีเหมินถูกล้างผลาญ ซึ่งดูจากความทรงจำอันกระจัดกระจายแล้ว เธอยังเป็นตัวต้นเหตุอีกด้วย
ต่อมาเมื่อเธอตายไป วิญญาณได้รับความเสียหาย ดังนั้นในตอนที่เข้าสู่ร่างกายนี้ จึงได้ลืมเลือนเรื่องราวในชาติของซีเหมินโยวเย่ว์ไป ตอนนี้เมื่อวิญญาณฟื้นฟูขึ้น เธอจึงค่อยๆ นึกถึงเรื่องราวในอดีตขึ้นมาได้
เธอแช่อยู่ในถังน้ำไม่รู้นานเท่าใด เมื่อผู้คนภายนอกกระวนกระวายกันขึ้นมา เธอจึงค่อยออกมาจากห้องของตน
“พี่ชาย!” เสี่ยวถูได้ยินเสียงประตูห้องเปิดจึงเดินเข้ามาอย่างรีบร้อนแล้วเอ่ยว่า “พี่ชาย พวกเขาบอกว่าท่านได้รับบาดเจ็บ ท่านไม่เป็นไรใช่หรือไม่”
“เสี่ยวถู เจ้าออกจากการปลีกวิเวกแล้วหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์ถามพลางลูบศีรษะเสี่ยวถู
“อื้ม ความจริงข้าออกจากการปลีกวิเวกนานแล้ว เพียงแต่ข้าอยากตกผลึกสักหน่อยก่อน จึงใช้เวลาอีกระยะหนึ่งน่ะ” เสี่ยวถูพูด “พี่ชาย ท่านไม่เป็นไรใช่ไหม”
“ข้าไม่เป็นไร” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “เจ้าไม่ได้ออกไปนานเพียงใดแล้ว”
“ครึ่งปีแล้ว” เสี่ยวถูตอบ
“อีกประเดี๋ยวข้าจะพาเจ้าออกไปเลื่อนระดับก็แล้วกัน” ซือหม่าโยวเย่ว์เอ่ย
“เยี่ยมเลย” เสี่ยวถูยิ้มอย่างเบิกบานใจ
เธอบอกว่าจะพาเขาออกไป นั่นก็หมายความว่าช่วงนี้เขาไม่ต้องติดอยู่ภายในเจดีย์วิญญาณแล้ว
ซือหม่าโยวหลินเดินเข้ามาแล้วพูดว่า “หลังจากเจ้าออกไปแล้วคิดจะทำเช่นไรหรือ”
ประกายหนาวเหน็บวาบผ่านนัยน์ตาของซือหม่าโยวเย่ว์ เธอเอ่ยว่า “ข้าเคยบอกแล้วว่า ถ้าหากข้ามีชีวิตรอดกลับมาได้ หลี่มู่ต้องถึงคราวตายแน่นอน ในเมื่อตอนนี้จะกลับไปแล้ว ก็ต้องหาทางทำให้คำพูดข้าเป็นจริงให้ได้สิ”
“แล้วผู้อื่นเล่า”
“ปรมาจารย์ค่ายกลผู้นั้นสมควรตายนัก ยังมี…น่าหลานหลานด้วย!” ซือหม่าโยวเย่ว์เอ่ยเสียงเข้ม
“น่าหลานหลานหรือ”
“เฮอะ ถึงแม้ว่าเรื่องนี้จะเป็นฝีมือหลี่มู่ แต่ที่จริงแล้วเป็นแผนของน่าหลานหลานต่างหากเล่า” ซือหม่าโยวเย่ว์เอ่ย “นางจะต้องบอกหลี่มู่ว่าข้าลวนลามนาง แล้วให้หลี่มู่คิดหาหนทางกำจัดข้าแน่ เช่นนี้นางก็ไม่ต้องออกหน้า แล้วยังส่งข้าไปตายได้ด้วย”
“เหตุใดนางจึงอยากทำร้ายเจ้าหรือ” ซือหม่าโยวหลินไม่รู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างพวกเธอ จึงไม่เข้าใจว่าเหตุใดน่าหลานหลานจึงอยากทำร้ายเธอ
ซือหม่าโยวเย่ว์พาซือหม่าโยวหลินไปยังโต๊ะหินในลานบ้าน ก่อนจะนั่งลงแล้วเอ่ยว่า “เพราะพวกเราเป็นศัตรูเก่ากันน่ะสิ”
“ศัตรูเก่าหรือ”
“อืม นางก็ออกมาจากอาณาจักรตงเฉินเช่นเดียวกัน ตอนอยู่ที่อาณาจักรตงเฉิน ตระกูลซือหม่ากับตระกูลน่าหลานเป็นอริกัน เมื่อหกปีก่อนนางก็เคยลงมือสังหารข้ามาแล้ว น่าเสียดายที่ข้าดวงแข็งจึงรอดมาได้ ทั้งยังได้ตัวเพลิงชาดมาโดยบังเอิญอีกด้วย ต่อมาเมื่อข้าออกจากอาณาจักรตงเฉิน คิดไม่ถึงว่านางก็จะออกมาด้วยเช่นกัน”
“พวกเจ้ามิได้พบหน้ากันมานานปีถึงเพียงนี้ นางยังอยากจะลงไม้ลงมือกับเจ้าอีก” นัยน์ตาของซือหม่าโยวหลินมีแววอาฆาตวาบผ่าน
“ข้าคิดว่ามิได้มีเพียงแค่นางคนเดียวเท่านั้นหรอก” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “นางรู้ว่าข้าหลอมยาได้ ฝึกสัตว์อสูรได้ นอกจากนี้ในตอนนั้นยังฝึกสัตว์อสูรทิพย์ให้เชื่องได้ด้วย ดังนั้นเรื่องที่ตระกูลซือหม่ามีสัตว์อสูรเทพอยู่มากมายถึงเพียงนี้ นางย่อมต้องนึกถึงข้าอยู่แล้ว เพียงแค่นางไปพูดในตระกูลน่าหลานสักหน่อย ตาเฒ่าเหล่านั้นย่อมไม่มีทางปล่อยข้าเอาไว้ จะต้องคิดหาหนทางกำจัดข้าอย่างแน่นอน ส่วนเจ้าหลี่มู่ผู้นี้ เดิมทีก็มีความแค้นกับข้าอยู่แล้ว ตอนนี้จึงกลายเป็นเครื่องมือให้พวกเขาใช้งานพอดี”
ไม่พูดไม่ได้ว่าเธอวิเคราะห์ได้แม่นยำอย่างยิ่ง คาดเดาเรื่องที่เกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว
“ตระกูลน่าหลาน…” ซือหม่าโยวหลินกำมือที่วางอยู่บนโต๊ะแน่น “ในเมื่อต่อสู้กันมานานปีถึงเพียงนี้แล้ว ก็ไม่ต้องมีตระกูลน่าหลานอยู่ต่อไปอีกแล้ว”
“อย่านะ” ซือหม่าโยวเย่ว์รู้ว่าซือหม่าโยวหลินมีจิตคิดสังหาร จึงเอ่ยปากห้ามเอาไว้
……………………………………………..