สลับชะตา ชายามือสังหาร - ตอนที่ 334 ความผิดปกติในร่างกายของเสี่ยวถู
ซือหม่าโยวหลินคิดไม่ถึงว่าซือหม่าโยวเย่ว์จะหยุดยั้งตนเอาไว้ ในจินตนาการของเขา เธอเป็นคนที่มีแค้นต้องชำระ แล้วเหตุใดตอนนี้จึงปล่อยตระกูลน่าหลานไปเล่า
“เจ้าไม่อยากแก้แค้นหรือ” เขาถาม
“ก็ต้องอยากแก้แค้นอยู่แล้วล่ะ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “แต่จังหวะนี้ยังไม่เหมาะสมน่ะสิ”
“เจ้าหมายถึง…พื้นสมุทรอย่างนั้นหรือ” ซือหม่าโยวหลินพูด
“เจ้าก็รู้ว่าพื้นสมุทรปั่นป่วนขึ้นเรื่อยๆ ตลอดสองปีมานี้ ตระกูลหลี่และตระกูลน่าหลานเชื่อมโยงเข้าด้วยกันแล้ว ถ้าหากอยากจะจัดการพวกเขาตระกูลใดตระกูลหนึ่ง อีกตระกูลจะต้องมาช่วยแน่นอน” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “ไม่ต้องพูดถึงว่าความสามารถของพวกเราในตอนนี้ยังไม่พอจะจัดการกับสองตระกูล ต่อให้กำจัดขุมอำนาจชั้นหนึ่งทั้งสองไปได้ ก็จะต้องเกิดความโกลาหลไปทั่วทั้งดินแดนอย่างแน่นอน ถ้าหากในตอนนี้ทางด้านพื้นสมุทรเกิดปัญหาขึ้นจริงๆ หากคิดจะต่อกร เกรงว่าคงจะยุ่งยากไม่น้อยเลย มิสู้เมื่อถึงเวลานั้นเมื่อพื้นสมุทรมีความเคลื่อนไหวอันใด ก็ลากพวกเขาไปเป็นแพะรับบาปเสีย”
ซือหม่าโยวหลินเงียบงันไป ซือหม่าโยวเย่ว์พูดสิ่งเหล่านี้ออกมา เธอย่อมรู้ดีอยู่แล้ว ในเมื่อเธอยึดภาพรวมเป็นสำคัญ ตนก็ไม่ควรพูดอะไรอีก
“เอาละ เช่นนั้นพวกเรากลับเมืองวิเศษก่อนค่อยว่ากันเถิด” ซือหม่าโยวหลินพูด “พวกเราหายสาบสูญไปเนิ่นนานถึงเพียงนี้ พวกเขาจะต้องกังวลใจแทบตายแล้วแน่นอน”
“ดี” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “ก่อนกลับไปข้าจะพาเสี่ยวถูออกไปเลื่อนระดับก่อน”
เธอพาทั้งสองคนออกไป หลังจากที่เสี่ยวถูออกไปแล้วก็หาสถานที่แห่งหนึ่งโคจรปราณวิญญาณกระทบกับสิ่งกีดขวางภายในร่างกาย เพียงไม่นาน ลำแสงแห่งการเลื่อนระดับก็โอบล้อมเขาเอาไว้
เสี่ยวถูยกระดับอย่างต่อเนื่องถึงสามระดับ แล้วหยุดลงที่ระดับราชาวิญญาณขั้นหนึ่ง
“ไม่เลวเลยนะ เลื่อนระดับจากผู้ฝึกวิญญาณกลายเป็นราชาวิญญาณได้ภายในระยะเวลาสองปี พรสวรรค์นี้มากพอจะทำให้พรั่นพรึงไปทั่วทั้งดินแดน” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดอย่างยอมรับ
เมื่อสองปีก่อนเสี่ยวถูยังไม่อาจบำเพ็ญได้ แต่ตอนนี้ก้าวข้ามถึงสามระดับขั้น ทั้งผู้ฝึกวิญญาณ ปรมาจารย์วิญญาณ และมหาปรมาจารย์วิญญาณ กลายเป็นราชาวิญญาณ ถึงแม้ว่าจะมีทางลัดเป็นอาวุธเทพอย่างเจดีย์วิญญาณ แต่ก็ยังต้องพึ่งพรสวรรค์ของเขาอย่างมิอาจแยกจากกันได้
หลังจากซือหม่าโยวหลินได้รู้เรื่องราวของเสี่ยวถูแล้วก็ตกตะลึงเป็นอย่างยิ่ง ทันใดนั้นเมื่อนึกได้ว่าผู้คนรอบตัวเธอล้วนเป็นตัวประหลาดกันทั้งสิ้น จึงค่อยผ่อนคลายลง
หลังจากนั้นพวกเขาก็ขี่เจ้าวิหคน้อยบินไปยังเมืองวิเศษ
ระหว่างเส้นทางบิน เสี่ยวถูก็มองดูโลกด้านนอกอย่างตื่นเต้น ตลอดสองปีนี้เขาใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ภายในเจดีย์วิญญาณตลอดเพื่อการฝึกฝน ออกมาข้างนอกเฉพาะตอนเลื่อนระดับเท่านั้น หากต้องการฝึกประสบการณ์ ก็มีแต่สัตว์อสูรวิเศษภายในเจดีย์วิญญาณคอยเป็นคู่ซ้อมให้
“เสี่ยวถู ข้าค้นพบปัญหาข้อหนึ่ง” ซือหม่าโยวเย่ว์มองเสี่ยวถูด้วยสีหน้าจริงจัง
“ทำไมหรือพี่ชาย” เสี่ยวถูเห็นท่าทางเช่นนี้ของซือหม่าโยวเย่ว์แล้วจึงยืดตัวตรงขึ้นมาอย่างตกใจ
“มีปัญหาอะไรหรือไม่” ซือหม่าโยวหลินก็มองเสี่ยวถูเช่นกัน ก็ไม่เห็นว่าการบำเพ็ญของเขาจะมีปัญหาอะไรเลยนี่!
ซือหม่าโยวเย่ว์ยื่นมือทั้งสองออกมาขยี้ใบหน้าของเสี่ยวถูพลางเอ่ยว่า “ข้าพบว่าสองปีนี้เจ้ามิได้โตขึ้นสักเท่าไหร่เลย! เหตุใดจึงไม่แตกต่างกับตอนที่ข้าเพิ่งพบเจ้าเลยเล่า”
เอ่อ…
ซือหม่าโยวหลินมองซือหม่าโยวเย่ว์แล้วมองเสี่ยวถู จากนั้นจึงตัดสินใจไม่พูดแล้ว
ประเด็นของเธอเอาแน่เอานอนไม่ได้ถึงเพียงนั้น ทำให้เขาตามจังหวะเธอไม่ทันอยู่บ้าง
หลังจากที่เสี่ยวถูได้ฟังคำพูดของซือหม่าโยวเย่ว์แล้วร่างกายก็แข็งเกร็ง เขามองเธออย่างระแวดระวังพลางเอ่ยว่า “หลังจากที่ข้าฟื้นฟูสายโลหิตสัตว์อสูรวิเศษแล้ว ร่างกายข้าก็… ก็ไม่โตขึ้นสักเท่าไหร่แล้ว”
ซือหม่าโยวเย่ว์ถอยห่างจากเสี่ยวถูแล้วหรี่ตามองเขา เจ้าคนผู้นี้ดูลักษณะเหมือนอายุแปดเก้าขวบเท่านั้น แต่ฟังจากที่เขาพูดแล้วคล้ายจะไม่ถูกต้องกระมัง!
“สารภาพมาตามตรงเลย เจ้าโตแค่ไหนแล้ว เป็นสัตว์ประหลาดชราพันปีใช่หรือไม่”
เสี่ยวถูอดยิ้มขมขื่นกับคำถามนี้ของเธอมิได้ จากนั้นจึงเอ่ยว่า “ข้าก็มิได้โตขนาดนั้นเสียหน่อย ก็แค่โตกว่าแปดเก้าปีเท่านั้นเอง”
“โตกว่าพวกเราอีกอย่างนั้นหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์เห็นท่าทีเฉไฉของเสี่ยวถูแล้วจึงถามพลางเบิกตาโต
“เปล่า… เปล่านะ” เสี่ยวถูรีบปฏิเสธ “ปีนี้ข้าเพิ่งจะอายุสิบหกปี ยังเด็กกว่าพวกท่านมากนัก”
“อายุสิบหกปีจริงๆ หรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์ถามย้ำอีกครั้ง
“อื้มๆ” จากนั้นเสี่ยวถูจึงส่ายศีรษะอย่างแรงพลางเอ่ยว่า “ข้าก็ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ตั้งแต่สายโลหิตสัตว์อสูรวิเศษตื่นรู้แล้ว ร่างกายของข้าจึงไม่เคยเปลี่ยนแปลงอีกเลย พี่ชาย ต่อจากนี้ไปข้าอาจจะไม่โตขึ้นอีกแล้วใช่หรือไม่”
“เอ่อ… เรื่องนี้ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “โยวหลิน ในร่างกายของโยวหลานก็มีสายโลหิตสัตว์อสูรวิเศษเหมือนกันมิใช่หรือ แล้วเหตุใดนางจึงเติบใหญ่ได้ขนาดนี้เล่า”
“ดูเหมือนเรื่องนี้คงจะเกี่ยวข้องกับสายโลหิตสัตว์อสูรวิเศษในร่างกายของพวกเขากระมัง” ซือหม่าโยวหลินพูด “ถึงแม้ว่าโยวหลานจะมิได้เหมือนกับเขา แต่ความเร็วในการเจริญเติบโตของนางก็ช้ากว่าคนทั่วไปนะ คาดว่าสายโลหิตในร่างกายเสี่ยวถูคงจะสูงส่งกว่าของโยวหลาน แต่ข้าก็ไม่แน่ใจหรอกนะว่าจะใช่หรือไม่”
“เอาละ ดูท่าคงจะได้แต่รอให้ท่านอาจารย์ลงมาแล้วค่อยถามเขา เขาอยู่ข้างบนนั้นหูตากว้างไกล ย่อมต้องรู้เหตุผลที่แท้จริงแน่” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
“พี่ชาย ร่างกายข้าคงมิได้เกิดปัญหาอะไรกระมัง” เสี่ยวถูมองซือหม่าโยวเย่ว์อย่างขมขื่น
ซือหม่าโยวเย่ว์เข้ามาตบศีรษะเขาเบาๆ พลางเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ไม่น่าจะเป็นอะไรหรอก ถ้าหากบอกว่าจะมีผลกระทบอันใด แค่กๆ ก็คงเป็นการที่ระยะเวลาที่เจ้าเปลี่ยนแปลงจากเด็กชายเป็นชายหนุ่มยาวนานกว่ามนุษย์ปกติหลายปีหรือหลายสิบปีเท่านั้นแหละ”
เอ่อ…
ซือหม่าโยวหลินตกตะลึงไป เสี่ยวถูหน้าแดงราวกับเปลือกกุ้งที่โดนความร้อน ทั้งคู่ต่างตกใจกับคำพูดของเธอราวกับสายฟ้าฟาด
จากเด็กชายกลายเป็นชายหนุ่มอย่างนั้นหรือ เธอไปคิดถึงตรงจุดนี้ได้อย่างไรกัน
แต่ซือหม่าโยวเย่ว์กลับมิได้รู้สึกว่าคำพูดของตนผิดแปลกแต่อย่างใด เธอบีบเคล้นใบหน้าน้อยๆ ของเสี่ยวถูต่อไปพลางเอ่ยว่า “อันที่จริงแล้วข้ารู้สึกว่าเจ้าเป็นเช่นนี้ก็น่ารักดี ถ้าหากเติบใหญ่ ก็คงไม่ยอมให้ข้าใกล้ชิดเจ้าเช่นนี้อีกแล้วแน่นอน ฮ่าๆ…”
เสี่ยวถูปัดมือซือหม่าโยวเย่ว์ทิ้งอย่างจนใจ แล้วใช้สองมือกุมใบหน้าพลางเอ่ยว่า “พี่ชายนี่จริงๆ เลยนะ!”
พอพูดจบเขาก็ไม่สนใจเธออีก
ซือหม่าโยวเย่ว์เห็นท่าทางของเสี่ยวถูแล้วก็หัวเราะอย่างหนักหน่วงอยู่ข้างๆ คนเดียว
ซือหม่าโยวหลินมองคนที่นอนหัวเราะอย่างสะใจอยู่บนหลังเจ้าวิหคน้อยแล้วอดอมยิ้มเล็กๆ ที่มุมปากมิได้
เจ้าวิหคน้อยพาพวกเขากลับไปยังเมืองวิเศษ ดวงตะวันยามรุ่งอรุณยังไม่โผล่พ้นขอบฟ้า ประตูเมืองวิเศษจึงยังไม่เปิด
เมื่อถึงเวลาที่กำหนดไว้ ยามรักษาการณ์ของเมืองวิเศษจึงเปิดประตู เมื่อเห็นคนทั้งสามที่คอยอยู่ด้านนอกแล้วจึงตะลึงงันไป
พวกซือหม่าโยวเย่ว์ทั้งสามคนมิได้สนใจยามรักษาการณ์ที่นิ่งอึ้งอยู่ พอขึ้นไปบนร่างย่ากวงแล้วจึงรีบบึ่งไปยังตระกูลซือหม่า
จนกระทั่งพวกเขาหายลับตาไปที่สุดถนน ยามรักษาการณ์ผู้หนึ่งจึงเอ่ยว่า “นั่น… นั่นมันคนตระกูลซือหม่าสองคนนั้นมิใช่หรือ”
“เป็นพวกเขาจริงๆ หรือ”
“พวกเขารอดชีวิตกลับมาได้ ช่างเหนือความคาดหมายจริงๆ เลย!”
“มิได้เล่าลือกันว่าพวกเขาถูกสัตว์อสูรเทพในภูเขาฉีกทึ้งไปเรียบร้อยแล้วหรือ แล้วมาปรากฏตัวที่นี่ได้อย่างไรกันเล่า”
“หึๆ คราวนี้สนุกแล้วสิ”
“ดูเหมือนว่าทั้งตระกูลหลี่ ตระกูลซาง ตระกูลหั่ว และตระกูลน่าหลาน ล้วนไปจากเมืองวิเศษกันหมดแล้วกระมัง มีเพียงแค่คนของตระกูลซือหม่าเท่านั้นที่ยังอยู่ในเมือง”
“คราวนี้มาดูกันว่าสมาคมนักหลอมยากับตระกูลซือหม่าจะอธิบายกันเช่นไร”
“ไอ้หยา อยากไปดูความครึกครื้นจริงๆ เลย”
“เจ้าก็ได้แค่คิดเท่านั้นแหละ รีบไปอารักขาประตูเมืองเสีย!”
พวกซือหม่าโยวเย่ว์ควบตะบึงไปตลอดทาง แล้วค้นพบว่าเมืองวิเศษเงียบเหงาวังเวงกว่าสิบกว่าวันก่อนไม่น้อยเลย
ณ จวนตระกูลซือหม่า คนตระกูลซือหม่ากลุ่มหนึ่งเตรียมพร้อมออกเดินทางอยู่หน้าประตู
ซือหม่าโยวหยางที่อยู่หน้าสุดพูดกับทุกคนว่า “ถึงแม้ว่าผู้อื่นจะปล่อยวางกันหมดแล้ว แต่พวกเราตระกูลซือหม่ามิอาจยอมแพ้ได้ วันนี้พวกเราจะไปตามหาที่เทือกเขาหมื่นอสูรกันอีกครั้ง ไม่ว่าข่าวลือจะเป็นจริงหรือไม่ อย่างน้อยถ้ายังมีชีวิตก็ต้องเห็นตัวคน ถ้าสิ้นชีวิตก็ต้องเห็นศพ!”
“พวกท่านอยากจะเจอศพใครหรือ”
เสียงหัวเราะดังมาจากด้านหลังฝูงชน ทำให้คนตระกูลซือหม่าทั้งหมดหันไปมองอย่างตกใจ
………………………………………