สลับชะตา ชายามือสังหาร - ตอนที่ 34 เพลิงนิพพาน
เปลวเพลิงบนร่างของซือหม่าโยวเย่ว์ทำให้ห้องศิลาสว่างไสวราวกับกลางวัน เธอรู้สึกว่าเส้นลมปราณและโครงกระดูกในร่างกายกำลังถูกเผาไหม้จนหมดสิ้น
ทว่าเป็นความรู้สึกแตกต่างไปจากตอนที่ฝ่ามือถูกเผาไหม้เมื่อครู่ ร่างกายของเธอไม่ได้ถูกแผดเผาเลยแม้แต่น้อย เปลวเพลิงนั้นดูคล้ายว่าจะเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายเธอเองอย่างไรอย่างนั้น เผาผลาญไปสรรพางค์กายฝุ่นละอองและสิ่งสกปรกที่ติดอยู่บนเส้นลมปราณเหล่านั้นถูกเผาไปเสียจนสะอาดสะอ้าน เส้นลมปราณที่เคยตีบตันก่อนหน้านี้ก็ถูกทะลวงไปรอบหนึ่ง ไม่เพียงแต่สิ่งที่อุดกั้นอยู่จะหายไปเป็นปลิดทิ้ง แต่เธอยังสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าเส้นลมปราณของตนขยายกว้างขึ้นอีกด้วย
เส้นลมปราณขยายกว้างขึ้น เป็นสัญญาณบอกว่าต่อจากนี้ไปตอนที่เธอฝึกยุทธ์จะดูดซับปราณวิญญาณในเวลาเดียวกันได้มากขึ้น เธอก็จะฝึกยุทธ์ได้รวดเร็วยิ่งขึ้น!
นอกจากเส้นลมปราณแล้ว กระดูกของเธอก็ถูกแผดเผาจนทนทานมากกว่าเดิม หรือแม้กระทั่งเลือดเนื้อก็แข็งแกร่งกว่าก่อนหน้านี้มากมาย
เธอทิ้งตัวลงบนพื้น ความเจ็บปวดบนร่างกายทำให้อดที่จะดิ้นทุรนทุรายบนพื้นไม่ได้ พยายามใช้วิธีการเช่นนี้มาบรรเทาความเจ็บปวด แต่ไม่ว่าจะเจ็บปวดเพียงใดเธอก็พยายามขบฟันเอาไว้ ไม่ให้ตนเองร้องออกมาแม้แต่เสียงเดียว
เวลาผ่านไปนาทีแล้วนาทีเล่า ร่างกายของเธอถูกสิ่งที่คล้ายตะกอนดำสกปรกปกคลุม ความรู้สึกที่ถูกเปลวเพลิงบนร่างแผดเผาครั้งแล้วครั้งเล่า จากความเจ็บปวดในตอนแรกอันยากที่จะทานทน จนถึงความชินชาในตอนหลัง เธอไม่รู้ว่าตนเองอดทนอยู่เนิ่นนานเพียงใด
“เย่ว์เย่ว์คงไม่เป็นไรกระมัง” เจ้าคำรามน้อยมองภาพเหตุการณ์ภายนอกอย่างเป็นกังวล
“ไม่หรอก นางจะต้องอดทนผ่านมันไปได้แน่” เจ้าวิญญาณน้อยพูดด้วยอารมณ์อ่อนไหวอยู่บ้าง
ก่อนหน้านี้มันรู้สึกอยู่ตลอดว่าซือหม่าโยวเย่ว์เป็นเพียงเด็กหญิงตัวน้อยที่เพิ่งเริ่มต้นฝึกยุทธ์เท่านั้น แต่คิดไม่ถึงว่าเธอจะมีอุปนิสัยที่มุมานะถึงเพียงนี้ พวกมันสัมผัสถึงความเจ็บปวดบนร่างกายของเธอผ่านสายสัมพันธ์ของการทำพันธสัญญา ก็ย่อมต้องเข้าใจดีอยู่แล้วว่าตอนนี้เธอได้รับความทุกข์ทรมานเพียงใด
แต่คราวนี้ดันถูกสายตาอันแน่วแน่ของเธอทำให้สั่นสะท้านไปเสียแล้ว ในช่วงที่ทรมานที่สุด คนที่มีแววตามานะเช่นนี้ได้ ในอนาคตจะต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
“ฮ่า ข้าก็บอกแล้วอย่างไรเล่าว่าเย่ว์เย่ว์น้อยไม่เลวเลยทีเดียว!” หลิงหลงเอนกายอยู่บนร่างของเจ้าคำรามน้อยพลางยกขาข้างหนึ่งพาดเข่า แล้วประสานมือทั้งสองเอาไว้ที่ท้ายทอย ไม่กังวลใจแต่อย่างใด
ผู้ที่เข้าใจวิญญาณของมันได้ย่อมไม่ถูกความเจ็บปวดเล็กน้อยเพียงแค่นี้ทำอะไรได้อยู่แล้ว
นอกจากพวกมัน ศิลาวิญญาณที่ถูกโยนส่งๆ ไปด้านหนึ่งก็ทอประกายออกมาจางๆ เพราะภาพเหตุการณ์ภายนอกด้วย
เจ้าวิญญาณน้อยมองเห็นศิลาวิญญาณแล้วสองตาก็หรี่ลง
ซือหม่าโยวเย่ว์ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปเนิ่นนานเท่าใด ในขณะที่เธอรู้สึกว่าตนเองกำลังจะต้านไม่ไหวอยู่แล้ว เปลวเพลิงบนร่างก็ค่อยๆ อ่อนลงจนในที่สุดก็หายลับไปจากสายตา
“กึกๆ…” เธอขยับนิ้วมือไปมา ข้อต่อก็ส่งเสียงกรอบแกรบ
เธอขยับร่างกายอีกครั้ง ข้อต่อบนร่างกายก็ยังคงติดขัดอยู่บ้างเช่นเดิม แต่ยังดีที่หลังจากขยับไปหลายครั้งก็กลับมาเป็นปกติอีกครั้ง เธอเอนตัวลงบนพื้นแล้วหอบหายใจเฮือกใหญ่ครั้งแล้วครั้งเล่า
ประสบการณ์เมื่อครู่ทำให้เธอรู้สึกคล้ายว่าตนเองฟื้นขึ้นมาจากทะเลเพลิงในขุมนรกอย่างไรอย่างนั้น
“เพลิงนิพพานแผดเผาร่างกายของเจ้าไปแล้ว จะช่วยให้การฝึกยุทธิ์ของเจ้าดีขึ้นมากทีเดียว” เสียงก่อนที่จะทำพันธสัญญาเสียงนั้นดังขึ้น
“เพลิงนิพพานหรือ เจ้าเป็นใครกัน เพราะเหตุใดเจ้าจึงริเริ่มทำพันธสัญญากับข้าได้” ซือหม่าโยวเย่ว์ได้ยินเสียงนั้นแล้วก็ถามคำถามขึ้นมาติดกันเป็นชุด
“ข้าชื่อเพลิงชาด ตอนนี้เจ้ายังไม่จำเป็นต้องถามคำถามอื่นใด เพราะเมื่อถึงเวลาแล้วเจ้าก็จะรู้ได้เอง” เพลิงชาดเอ่ยตอบ
น้ำเสียงของมันค่อนข้างทุ้มต่ำ แต่กลับมีแรงดึงดูดเป็นอย่างยิ่ง
“พวกเราทั้งสองมิได้มีการทำพันธสัญญากันแล้วหรอกหรือ ในเมื่อผูกพันเข้าด้วยกันแล้วยังมีสิ่งใดที่ไม่อาจบอกให้กันและกันรู้ได้เล่า” ซือหม่าโยวเย่ว์ถามกลับ
“ตอนนี้รู้มากไปก็ไม่เป็นผลดีต่อเจ้า” เพลิงชาดพูด “ร่างกายของเจ้าย่ำแย่เหลือเกิน ข้าใช้เพลิงนิพพานเผาผลาญเพื่อดัดแปลงแก้ไขให้เจ้าแล้วรอบหนึ่ง หลังจากนี้ไปความเร็วในการฝึกยุทธ์ของเจ้าก็จะเพิ่มขึ้นมาก เจ้าลองดูที่จุดตันเถียนของเจ้าสิ”
“ตอนนี้ข้ายังไม่อาจพินิจภายในได้” ซือหม่าโยวเย่ว์ตอบ
“ทำได้แล้ว เจ้าลองดูสิ” เพลิงชาดพูด
หรือว่าเขาดัดแปลงแก้ไขร่างกายเพียงแค่ครั้งเดียว ตนก็พินิจภายในได้แล้วอย่างนั้นหรือ ซือหม่าโยวเย่ว์แอบคิด แต่ว่าเธอก็ยังทำตามเพลิงชาดโดยลุกขึ้นนั่งขัดสมาธิแล้วหลับตาลง ก่อนจะใช้สติรับรู้ของตนลองประเมินร่างกายดู
สิ่งนี้หากไม่ลองก็ไม่รู้ เมื่อลองดูแล้วก็ตกใจจนแทบกระโดด เธอมองเห็นโครงสร้างภายในของร่างกายตัวเองได้แล้วจริงๆ เธอมองเห็นเส้นลมปราณทุกเส้น กระดูกทุกท่อน และเส้นเลือดทุกเส้นของเธอได้อย่างกระจ่างชัด
“ไปที่จุดตันเถียน!” เพลิงชาดพูด
“ได้”
เธอเคลื่อนสติรับรู้ภายในร่างกายต่อไป เพียงไม่นานก็มาถึงบริเวณจุดตันเถียนของเธอ สิ่งแรกที่สะดุดตาเธอคือของที่ดูคล้ายกับบ่อเก็บน้ำที่มณีวิญญาณเตรียมเอาไว้ เจ้าวิญญาณน้อยบอกว่านั่นคือบ่อสะสมปราณ
บ่อสะสมปราณถูกแบ่งออกเป็นหลายส่วน ชั้นแรกของทุกส่วนล้วนถูกบรรจุจนแน่น ในบรรดานั้นมีส่วนที่เป็นสีแดงอยู่มากที่สุด เห็นได้ว่าตอนนี้พลังวิญญาณธาตุไฟของเธอนั้นเยี่ยมยอดที่สุด
คนแคระที่แปลงกายมาจากสติรับรู้หยุดลงบนบ่อสะสมปราณ เห็นว่าตรงกลางมีพื้นที่ที่ดูคล้ายกับทรงกระบอกอยู่อันหนึ่ง ด้านในไม่มีพลังวิญญาณอยู่เลยแม้แต่น้อย มีเพียงไข่มุกเม็ดจิ๋วสีแดงเม็ดหนึ่งหมุนโคจรอยู่ด้านในอย่างต่อเนื่อง
เธอมองไข่มุกเม็ดจิ๋วนั้นแล้วก็ถามขึ้นอย่างใคร่รู้ว่า “นี่คืออะไรหรือ”
“นี่คือสิ่งที่ก่อตัวขึ้นมาจากการเปลี่ยนแปลงร่างกายของเจ้า อาจพูดได้ว่าก่อตัวขึ้นจากตอนที่ข้าผสานรวมกับของสิ่งนั้นในร่างกายเจ้า” เพลิงชาดเอ่ยตอบ “เจ้าเงยหน้ามองสิ”
คนแคระแห่งสติรับรู้เงยหน้าขึ้นมองก็เห็นปราณวิญญาณสีแดงหลั่งไหลเข้ามาจากเส้นลมปราณอย่างต่อเนื่อง แล้วสะสมรวมกันอยู่ภายในบ่อสะสมปราณสีแดง
“นี่คือปราณวิญญาณธาตุไฟอย่างนั้นหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดอย่างสงสัย “แต่ข้าก็ยังมิได้ฝึกยุทธ์เสียหน่อยนี่!”
“นี่ก็คือประโยชน์ของไข่มุกนั่นอย่างไรเล่า” เพลิงชาดพูด “ขอเพียงแค่มันหมุนก็จะดูดซับปราณวิญญาณเองได้ ดังนั้นต่อให้เจ้ามิได้ฝึกยุทธ์ แต่ปราณวิญญาณก็จะตรงมาที่นี่แล้ว”
“เยี่ยมยอดถึงเพียงนี้เชียว!” ซือหม่าโยวเย่ว์ร้องอุทานขึ้นมาอย่างยินดี
นี่มิได้มีค่าเท่ากับอุปกรณ์เสริมขั้นสูงชิ้นหนึ่งเลยหรือ ถึงแม้ว่าเธอจะไม่ฝึกยุทธ์ก็เพิ่มพูนพลังวิญญาณได้อยู่ดี เช่นนั้นเธอก็จะมีเวลาเหลือไปทำธุระของตนเองได้มากยิ่งขึ้น!
เพราะว่าตื่นเต้นมากเกินไป สติรับรู้ของเธอจึงระเบิดออกมาจากภายในร่างกายในทันใด การพินิจภายในสิ้นสุดลง
“ตอนนี้พลังยุทธ์ของเจ้าช่างอ่อนแอเหลือเกิน ต้องอาศัยเวลาฝึกยุทธ์อย่าได้เกียจคร้าน สถานที่แห่งนี้เก็บสะสมพลังธาตุไฟที่ข้าสำแดงออกมาตลอดหนึ่งพันล้านปี เจ้าฝึกยุทธ์อยู่ที่นี่ ระยะเวลาหลังจากนี้ไปข้าจะเข้าสู่ภาวะนิทรา หากไม่มีปัญหาก็อย่าเรียกข้าออกมา”
เพลิงชาดพูดจบก็เงียบไป ซือหม่าโยวเย่ว์รับสัมผัสอยู่ครู่หนึ่ง เจ้านี่นอนหลับไปแล้วจริงๆ ด้วย
“นอนไวจริงเชียว อย่างน้อยก็ต้องบอกสักนิดไม่ใช่หรือว่าตนเองเป็นสัตว์อสูรวิเศษสายพันธุ์ใดกัน” ซือหม่าโยวเย่ว์เบ้ปากพูด
“แค่กๆ ถึงแม้ว่าที่นี่จะไม่มีผู้คน แต่เย่ว์เย่ว์ เจ้าสวมเสื้อผ้าเสียก่อนเถิด” เจ้าคำรามน้อยส่งเสียงเตือน
ซือหม่าโยวเย่ว์จึงค่อยค้นพบว่าเสื้อผ้าของตนถูกเปลวเพลิงเมื่อครู่แผดเผาจนกลายเป็นเถ้าถ่านไปเสียแล้ว จึงรีบหยิบเสื้อผ้าบุรุษจากภายในแหวนเก็บวัตถุออกมาสวม
หลังจากสวมเสื้อผ้าแล้วเธอค่อยมีกะจิตกะใจคิดเรื่องอื่น ในเมื่อที่นี่มีปราณวิญญาณธาตุไฟอยู่อย่างเข้มข้นถึงเพียงนี้ เธอก็ย่อมมิอาจทิ้งให้สิ้นเปลืองไปเปล่าๆ อย่างแน่นอน หลังจากที่แน่ใจแล้วว่าที่นี่ไม่มีของสิ่งอื่นอยู่อีก เธอจึงมายังจุดที่ไข่สัตว์อสูรเพลิงชาดอยู่เมื่อครู่แล้วนั่งขัดสมาธิลงเริ่มต้นฝึกยุทธ์
และในขณะเดียวกันนี้เองที่ภูเขาด้านหลังของราชวิทยาลัย การเลือกไข่สัตว์อสูรผ่านพ้นไปเป็นเวลาถึงสามวันแล้ว ดังนั้นนักเรียนทั้งหมดล้วนหอบไข่สัตว์อสูรที่เลือกออกมาเรียบร้อยตั้งแต่วันแรกหรือวันที่สอง ยกเว้นก็แต่ซือหม่าโยวเย่ว์เท่านั้น
เฟิงจือสิงยังคงรอคอยอยู่ภายในถ้ำภูเขา มองดูค่ายกลนำส่งอันที่สี่ คอยจับจ้องดูว่าเมื่อใดมันจะสว่างขึ้นมาเสียที
“เจ้าคิดจะรออยู่ที่นี่ไปนานเพียงใดกัน” ท่านอาจารย์ใหญ่อาวุโสมาถึงยังถ้ำภูเขาแล้วมองเฟิงจือสิงพลางถามขึ้น
“ก็รอจนกว่าเขาจะกลับมานั่นแหละ” เฟิงจือสิงมองท่านอาจารย์ใหญ่อาวุโสปราดหนึ่งแล้วก็เบนความสนใจไปยังค่ายกลอีกครั้ง
ท่านอาจารย์ใหญ่อาวุโสมองเฟิงจือสิงแล้วถามออกมาในทันใด “ที่แท้แล้วเจ้ากับเขามีความสัมพันธ์อย่างไรกันแน่”
เมื่อเห็นเฟิงจือสิงมองมาทางตน เขาจึงเอ่ยถามข้อสงสัยภายในใจออกมา “เจ้าปฏิบัติต่อเขาไม่เหมือนกับอาจารย์ที่ปฏิบัติต่อศิษย์ธรรมดาทั่วไป ตอนที่เจ้าอยากจะมาสอนหนังสือที่วิทยาลัยก็เป็นเพราะเขาใช่หรือไม่ ที่แท้แล้วระหว่างพวกเจ้ามีความสัมพันธ์ใดกัน”
…………………………