สลับชะตา ชายามือสังหาร - ตอนที่ 343 พวกเจ้าตาบอดกันหมดเลยหรือไร
“เป็นดอกจื่อซวีจริงๆ ด้วย!” น้ำเสียงละเอียดอ่อนอีกเสียงดังแว่วมา “พี่ชาย พวกเราช่างโชคดีเสียจริง เพิ่งมาถึงที่นี่ก็ได้พบดอกจื่อซวีเข้าเสียแล้ว”
พวกซือหม่าโยวเย่ว์ได้ยินเสียงนี้แล้วสีหน้าก็เข้มขึ้น อีกฝ่ายทำเหมือนพวกตนเป็นอากาศธาตุอย่างเห็นได้ชัด!
พวกเธอหันกลับไปก็เห็นคนวัยเยาว์ราวสิบคนกำลังลงมาจากหลังของสัตว์อสูรวิเศษขนาดมหึมาตนหนึ่ง ผู้ที่นำหน้ามาก็คือบุรุษที่ดูอายุราวๆ ยี่สิบสามสิบปีคนหนึ่ง ตามมาด้วยหญิงสามคนและชายอีกหกคน
“พี่ใหญ่ ยังมีผู้อื่นอยู่ด้วยนี่นา” หญิงสาวสวมกระโปรงสีเขียวมรกตผู้หนึ่งเห็นพวกซือหม่าโยวเย่ว์อยู่ตรงหน้าจึงเอ่ยขึ้น
ชายหนุ่มที่นำหน้ารูปโฉมหล่อเหลา น่าเสียดายที่นัยน์ตาหม่นทะมึนนั้นทำลายความหล่อเหลาของเขาจนหมดสิ้น
เขามองพวกซือหม่าโยวเย่ว์แล้วเอ่ยว่า “นี่คือดอกจื่อซวีที่พวกเราค้นพบ ทุกท่านโปรดหลีกทางด้วย”
ซือหม่าโยวเย่ว์เลิกคิ้ว อีกฝ่ายกำลังคิดจะแย่งชิงดอกจื่อซวีอย่างนั้นหรือ
“พวกเจ้าตาบอดกันหมดเลยหรือไร” เธอพูดอย่างไม่เกรงใจเลยแม้แต่น้อย
“เจ้าหมายความว่าอย่างไรกัน!” หญิงสาวที่สวมกระโปรงแดงพลิ้วไหวอีกคนหนึ่งตวาด
“ก็หมายความตามที่พูดนั่นแหละ!” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “เห็นอยู่ชัดๆ ว่าพวกเรามาถึงที่นี่ก่อน แต่พวกเจ้ากลับพูดว่านี่คือดอกจื่อซวีที่พวกเจ้าค้นพบ พวกเรายืนอยู่ตรงหน้าพวกเจ้าแท้ๆ แต่กลับมองไม่เห็น หากมิใช่ตาบอดแล้วคืออะไรกันเล่า!”
“เจ้านั่นแหละที่ตาบอด!” หญิงสาวกระโปรงแดงผู้นั้นหยิบแส้ขึ้นมาแล้วชี้มาทางพวกซือหม่าโยวเย่ว์พลางเอ่ยว่า “ถึงอย่างไรพวกเราก็เป็นผู้ค้นพบดอกจื่อซวีดอกนี้ พวกเจ้ารีบหลีกทางเสีย ไม่อย่างนั้นอย่าหาว่าพวกเราไม่เกรงใจเจ้าก็แล้วกัน!”
พอพูดจบ อีกหลายคนที่อยู่ด้านหลังนางก็เดินเข้ามาสองสามก้าว มาจนถึงข้างกายเธอพร้อมกับจ้องมองพวกซือหม่าโยวเย่ว์เขม็ง
“มิน่าเล่าตอนแรกที่พบหน้ากัน ท่านอาจารย์ถึงได้ถามว่าเพราะเหตุใดข้าจึงไม่ปล้นชิงเขา ที่แท้ผู้คนภายนอกล้วนชมชอบการปล้นชิงกันหมดนี่เอง” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
“ใครบอกว่าจะปล้นชิงกันเล่า เห็นอยู่ชัดๆ ว่านี่เป็นดอกจื่อซวีที่พวกเราค้นพบก่อน หากพวกเจ้ามีสติมากพอก็รีบจากไปเสีย ไม่อย่างนั้นอย่าว่าแต่ดอกจื่อซวีดอกนี้เลย เกรงว่าแม้แต่ชีวิตพวกเจ้าก็ต้องหาไม่ไปด้วยเช่นกัน!” บุรุษหยาบกระด้างที่พูดก่อนในตอนแรกเอ่ยขึ้น
ซือหม่าโยวเย่ว์มองเป่ยกงถังปราดหนึ่ง เป่ยกงถังพยักหน้า จากนั้นจึงดีดตัวทะยานขึ้นไปบนหน้าผาแล้วขุดดอกจื่อซวีขึ้นมาทั้งราก
หลังจากที่ดอกจื่อซวีเบ่งบานเต็มที่แล้วก็มีสีแดงสดราวกับดอกชาภูเขา ไม่ว่าจะเป็นดอก กิ่งก้าน หรือใบ ล้วนเป็นเครื่องยาชั้นเลิศที่นำมาหลอมยาวิเศษได้ทั้งสิ้น โดยเฉพาะส่วนดอกนั้นก็คือเครื่องยาชนิดหนึ่งที่ขาดไม่ได้ในตำรับยาหลอมกายที่หมัวซามอบให้
เมื่อเห็นเป่ยกงถังขุดดอกจื่อซวีไปโดยไม่สนใจไยดีคำพูดของพวกเขาเลย อีกฝ่ายจึงพากันเดือดดาลเป็นอย่างยิ่ง หญิงสาวกระโปรงแดงผู้นั้นฟาดแส้ตรงเข้าใส่ซือหม่าโยวเย่ว์พร้อมกับตะคอกว่า “กล้าช่วงชิงดอกจื่อซวีของพวกเรา จัดการกับพวกมันเสีย!”
เมื่อคนเหล่านั้นได้ยินวาจาของนางจึงบุกเข้าใส่พวกซือหม่าโยวเย่ว์ พวกซือหม่าโยวเย่ว์ก็สู้กลับไปอย่างไม่ยอมอ่อนข้อเลยแม้แต่น้อย
เจ้าอ้วนชวีพุ่งเข้าไปก่อนใคร เมื่อบุกมาถึงฝังของอีกฝ่ายแล้วจึงเหวี่ยงหมัดเข้าใส่บุรุษหยาบกระด้างที่เอ่ยปากเป็นคนแรกจนลงไปกองกับพื้น สูญสิ้นพลังการต่อสู้ไปในทันใด
“เจ้าอ้วน ทำดีมาก!” ซือหม่าโยวเล่อเห็นพลังการต่อสู้อันแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ของเจ้าอ้วนชวีจึงเอ่ยชมเสียงดัง
อีกฝ่ายคิดไม่ถึงว่าพวกซือหม่าโยวเย่ว์จะล้มพวกตนได้ตั้งแต่เริ่มต้น เมื่อเห็นเจ้าอ้วนชวีร่างกายแข็งแกร่งเช่นนี้ พวกเขาจึงรีบเรียกสัตว์อสูรผูกพันธสัญญาออกมา
“สัตว์อสูรผูกพันธสัญญาหรือ พวกเราก็มีเช่นกัน!” พวกซือหม่าโยวเล่อเรียกสัตว์อสูรผูกพันธสัญญาของตนออกมา การที่มีสัตว์อสูรเทพครบทุกคนนั้นทำให้พวกเขาตกตะลึงอย่างรุนแรง โดยเฉพาะการที่เป็นสัตว์ระดับจ้าววิญญาณขั้นห้าเป็นอย่างต่ำนั้น คือพลังยุทธ์ที่เทียบเคียงได้กับระดับจ้าววิญญาณเลยทีเดียว พวกเขาใช่คู่ต่อสู้ของสัตว์อสูรเทพเหล่านี้เสียที่ไหนกัน!
เมื่อคนเหล่านั้นได้เห็นกองทัพสัตว์อสูรเทพ ก็เข้าใจว่าพวกตนแกว่งเท้าหาเสี้ยนเสียแล้ว คนเหล่านี้ถึงแม้จะมีจำนวนน้อย แต่พลังยุทธ์กลับมิได้อ่อนแอเลย ในตอนแรกพวกเขาคิดจะปล้นชิง แต่กลับถูกพวกซือหม่าโยวเย่ว์โต้กลับ
สิบกว่านาทีต่อมา นอกจากหญิงสาวสามคนที่สภาพพอดูได้หน่อยแล้ว ชายหนุ่มอีกเจ็ดคนล้วนถูกทุบตีเสียจนบวมปูดเป็นหัวหมู ล้มกลิ้งอยู่บนพื้นมิอาจลุกขึ้นได้
ซือหม่าโยวเย่ว์มองกลุ่มคนที่นอนร้องครวญครางอยู่บนพื้นพลางเอ่ยว่า “ที่ผ่านมามีแต่ข้าปล้นชิงผู้อื่น ไม่เคยมีใครปล้นชิงข้าเลย คราวหน้าอยากปล้นชิงเมื่อไหร่ พวกเจ้าก็ต้องลืมหูลืมตาสักหน่อยนะ พวกเราอาจจะยอมไว้ชีวิตพวกเจ้าได้ แต่กับผู้อื่นนั้นไม่แน่นักหรอกนะ”
เธอมองหญิงสาวกระโปรงแดงที่ใช้แส้ชี้เธอก่อนหน้านี้พลางพูดว่า “คราวหน้าหากยังกล้าใช้แส้ชี้หน้าข้าอีก ก็ระวังกระโปรงเจ้าเอาไว้ให้ดีล่ะ! ข้าจะไม่ไว้ไมตรีเพียงเพราะว่าเจ้าเป็นหญิงงามแน่นอน! พวกเราไปกันเถิด”
พอพูดจบ พวกเขาจึงต่างคนต่างขี่สัตว์อสูรผูกพันธสัญญาของตนเองไปจากหน้าผาแห่งนี้
รอจนพวกเขาจากไปแล้ว คนเหล่านั้นจึงตะเกียกตะกายลุกขึ้นมาอย่างยากลำบาก แล้วแต่ละคนจึงหยิบยาวิเศษขึ้นมากิน
“พี่ใหญ่ คนพวกนั้นเป็นใครกัน เหตุใดจึงมีสัตว์อสูรเทพมากมายถึงเพียงนั้นเล่า”
ชายหนุ่มที่นำหน้าซึ่งถูกทุบตีจนสภาพย่ำแย่เช่นกันเอ่ยว่า “พวกเขาล้วนมีสัตว์อสูรเทพระดับจ้าววิญญาณกันทุกคน ถ้าหากมิใช่ขุมอำนาจที่มาจากดินแดนโบราณ ก็เป็นไปได้เพียงแค่ไม่กี่ตระกูลเหล่านั้นในดินแดนแห่งนี้แล้ว”
“เมื่อครู่ข้าเห็นว่าในบรรดาพวกเขามีราชันวิญญาณอยู่สามคน ส่วนอีกสามคนล้วนเป็นระดับบรรพวิญญาณขั้นสูง แม้กระทั่งเด็กน้อยผู้นั้นก็ยังเป็นราชาวิญญาณเลย พวกเขายังดูอายุกระดูกไม่เท่าไหร่เอง แต่พลังยุทธ์กลับสูงส่งกว่าทางพวกเราเสียอีก” หญิงสาวสวมกระโปรงยาวสีเขียวมรกตพูด
อายุกระดูกนั้นเป็นสิ่งบ่งบอกวัยที่แท้จริงของคนผู้หนึ่ง ไม่เหมือนกับรูปลักษณ์ภายนอกที่อาจจะคงความเยาว์วัยเนื่องด้วยการบำเพ็ญของคนผู้นั้น เพราะอายุกระดูกนั้นเจริญขึ้นอยู่ตลอดเวลา
“ตอนแรกคิดว่าเข้ามาแล้วจะเจอแต่เคราะห์ดีเสียอีก คิดไม่ถึงว่ากลับถูกคนทุบตีจนมีสภาพเช่นนี้ได้”
“ถ้าหากพวกเขาลงมาจากเบื้องบน หรือออกมาจากดินแดนเหล่านั้นจริง พวกเราก็แกว่งเท้าหาเสี้ยนเข้าเต็มๆ แล้ว”
“พี่ใหญ่ ต่อจากนี้พวกเราจะทำเช่นไรกันดีเล่า” หญิงสาวกระโปรงแดงถาม
“ยังจะทำเช่นไรได้อีกเล่า” บุรุษผู้นั้นถลึงตาใส่นางทีหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “ถ้าหากเป็นเช่นนั้นจริง พวกเราก็ต้องหลบหลีกพวกเขาน่ะสิ! ที่นี่มิใช่ดินแดนที่พวกเราอาศัยอยู่ ถ้าหากพวกเขาสังหารพวกเราแล้ว พวกเราก็ได้แต่ตายเปล่า! ตอนนี้ทุกคนรักษาบาดแผลกันก่อนเถิด”
ถึงแม้ว่าจะไม่พอใจอยู่บ้าง แต่พวกเขาก็ได้แต่เลือกทำเช่นนี้เท่านั้น เพราะคนของดินแดนทั้งหลายเหล่านั้นมิใช่ผู้ที่พวกเขาจะยั่วยุได้เลย
หลังจากพวกซือหม่าโยวเย่ว์ออกมาจากก้นหน้าผาแล้วก็เดินทางเข้าไปในภูเขาต่อ เสี่ยวถูบอกว่ายิ่งเดินลึกเข้าไปข้างใน ก็ดูเหมือนว่าเขาจะสัมผัสได้ถึงสิ่งล้ำค่าที่ซือหม่าโยวหลานเอ่ยถึงนั้นได้มากยิ่งขึ้นอีก
ก่อนฟ้ามืด พวกเขาก็มาถึงค่ายพักแรมกลางหุบเขาอีกแห่ง ทั่วทั้งหุบเขาไม่มีพืชพรรณใดอยู่เลย มีเพียงโขดหินเปลือยเปล่าเท่านั้น
ซือหม่าโยวเย่ว์จัดวางค่ายกลคุ้มกันรอบบริเวณค่ายพัก หลังจากนั้นพวกเขาจึงทำอาหารกินกัน
“หอมเหลือเกิน!”
คนกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามา ยังไม่ทันเข้ามาใกล้ก็มีคนในบรรดาพวกเขาส่งเสียงออกมาเสียแล้ว
ซือหม่าโยวเย่ว์สัมผัสได้ตั้งแต่ตอนที่พวกเขาเข้ามาในหุบเขาแล้ว แต่เธอก็มิได้แสดงท่าทีใดๆ เลย
ถึงอย่างไรที่นี่ก็มิใช่อาณาเขตของพวกตน นอกจากนี้เธอยังมิได้รู้สึกถึงกลิ่นอายไม่ดีในตัวของคนเหล่านี้แต่อย่างใดด้วย
“ทุกท่านช่างน่าสนใจนัก” หญิงสาวผู้สวมอาภรณ์แข็งแกร่งตลอดร่างพูดพลางมองพวกเขา
พวกซือหม่าโยวเย่ว์พยักหน้าให้พวกนาง ก็นับว่าตอบรับนางแล้ว
“ท้องฟ้ามืดแล้ว พวกเราขอแบ่งปันสถานที่ในหุบเขาแห่งนี้ด้วยได้หรือไม่” หญิงสาวผู้นั้นถาม
“ที่นี่มิได้เป็นของพวกเราเท่านั้นเสียหน่อย พวกเจ้าตามสบายเลยนะ” เว่ยจือฉีพูด
คนเหล่านั้นตั้งค่ายพักไม่ห่างจากพวกเขามากนัก ชายร่างอ้วนผู้หนึ่งวิ่งเข้ามา เมื่อเห็นพวกซือหม่าโยวเย่ว์และเป่ยกงถังกำลังทำเนื้อเสียบไม้ย่าง น้ำลายก็จวนเจียนจะไหลหยดลงมาอยู่รอมร่อ
คำว่าหอมเหลือเกินเมื่อครู่นี้ก็คือเสียงตะโกนจากปากของเขานั่นเอง
หญิงสาวผู้นั้นเดินเข้ามาแล้วเอ่ยว่า “พวกเรามาจากดินแดนไร้กลิ่นอาย ข้าชื่อกัวเพ่ยเพ่ย พวกเจ้าเล่า”
…………………………………….