สลับชะตา ชายามือสังหาร - ตอนที่ 345 ตื่นตระหนกสุดขีด
เจ้าอ้วนชวีบื้อใบ้ไป เจ้ากัวเลี่ยงผู้นี้จะต้องตื่นเต้นถึงเพียงนี้เลยหรือไร!
ยังเป็นเว่ยจือฉีที่อยู่ข้างๆ เอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ความหมายของเจ้าอ้วนคือ เขายกของเหล่านี้ให้เจ้าทั้งหมดเลย เจ้าไม่ต้องเสียเงินซื้อหรอก”
“จริง… จริงหรือ” เมื่อลาภลอยมาอย่างกะทันหันเกินไป กัวเลี่ยงก็ไม่กล้าเชื่อหูอยู่ชั่วขณะ
เจ้าอ้วนชวีพยักหน้าพลางเอ่ยว่า “เดิมทีของเหล่านี้ก็หลอมขึ้นมาไม่ดีเท่าไหร่นัก ในเมื่อเจ้าอยากได้ ก็มอบให้เจ้าเลยแล้วกัน ถึงอย่างไรหากเอาออกไปก็คงไม่มีใครซื้ออยู่ดีนั่นแหละ”
“ขอบใจมากนะเจ้าอ้วน” กัวเลี่ยงตื่นเต้นดีใจจนแทบจะเข้าไปสวมกอดเจ้าอ้วนชวีอยู่แล้ว
กัวเพ่ยเพ่ยเห็นท่าทางเช่นนี้ของน้องชายตนจึงส่ายหน้าอย่างจนใจ นางเห็นซือหม่าโยวเย่ว์และเป่ยกงถังวุ่นวายกันอยู่ข้างๆ จึงเดินเข้าไปถามว่า “พวกเจ้าทำอะไรกันอยู่หรือ”
“ต้มโจ๊กน่ะ ช่วยบำรุงผิวพรรณ เหมาะสำหรับให้สตรีบำรุงร่างกาย” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดอย่างลื่นไหล “อีกประเดี๋ยวเจ้าก็มาลองกินดูสักชามสิ”
กัวเพ่ยเพ่ยเห็นซือหม่าโยวเย่ว์พูดเช่นนี้จึงเอ่ยว่า “ชายชาตรีอย่างเจ้ารู้ได้อย่างไรว่าสตรีต้องการบำรุงสิ่งใด”
เดิมทีซือหม่าโยวเย่ว์คิดจะบำรุงตัวเองและเป่ยกงถัง ดังนั้นตอนที่กัวเพ่ยเพ่ยถาม เธอจึงหลุดปากตอบออกมา กัวเพ่ยเพ่ยถามเช่นนี้ เหตุใดจึงดูเหมือนว่าตนเป็นคนหยาบโลนอย่างไรอย่างนั้น
“เป่ยกงร่างกายมิสู้ดีนัก ดังนั้นข้าจึงทำของบำรุงให้นางอยู่บ่อยๆ น่ะ” เธอชะงักไปเพียงแค่ชั่วครู่ จากนั้นจึงรีบกลบเกลื่อน
เป่ยกงถังกลอกตาใส่เธอ แต่ก็มิได้ทำให้เธอเสียเรื่องแต่อย่างใด
“ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง แม่นางเป่ยกงช่างโชคดีนักที่มีพวกเจ้าคอยดูแล” นางพูดพลางมองเว่ยจือฉีที่กำลังย่างเนื้อแทนที่เป่ยกง “ใช่แล้ว พวกเจ้ามิได้ใช้แซ่เดียวกันเลย คงมิใช่คนตระกูลเดียวกันหรอกกระมัง”
“มิใช่ แต่ก็ใกล้เคียงกับคนในครอบครัวเลยทีเดียว” เป่ยกงถังพูด “พวกเรารวมกลุ่มกันตั้งแต่อายุสิบห้าสิบหก ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันมาหกเจ็ดปีแล้ว ระยะเวลาที่พวกเราใช้ชีวิตร่วมกันมานี้ ยังใกล้ชิดสนิทสนมกันยิ่งกว่าคนในครอบครัวเสียอีก”
ยากนักที่เป่ยกงถังจะเอ่ยวาจาแสดงความรู้สึกเช่นนี้ออกมา ทำให้ซือหม่าโยวเย่ว์รู้สึกไม่คุ้นชินอยู่บ้าง
“ช่างดีจริงๆ” กัวเพ่ยเพ่ยเอ่ยอย่างชื่นชม
ยากนักที่ตระกูลใหญ่อย่างพวกตนจะมีความรู้สึกเช่นนี้อยู่
“แม่นางกัว ดินแดนไร้กลิ่นอายเป็นดินแดนเช่นไรหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม
“ดินแดนไร้กลิ่นอายเป็นหนึ่งในสิบดินแดนใหญ่ ผู้มีพรสวรรค์มากมายดุจเมฆ สำนักวิชาและตระกูลจำนวนไม่น้อยต่างก็มีคนอยู่ภายในขุมอำนาจใหญ่ของดินแดนโบราณกันทั้งสิ้น”
“หนึ่งในสิบดินแดนใหญ่อย่างนั้นหรือ การจัดลำดับดินแดนนั้นมาได้อย่างไรกัน” เป่ยกงถังถามอย่างใคร่รู้
เดิมทีกัวเพ่ยเพ่ยก็ประหลาดใจอยู่บ้างที่พวกเขาไม่รู้แม้กระทั่งเรื่องนี้ จากนั้นจึงนึกขึ้นมาได้ว่าพวกเขามาจากดินแดนต้องห้าม จึงรู้สึกว่าเป็นเรื่องปกติ เพราะพวกเขาก็คงไม่เคยมีส่วนร่วมในเรื่องราวระหว่างดินแดนเหล่านั้นมาก่อน
นางอธิบายให้พวกซือหม่าโยวเย่ว์ฟังอย่างอดทน “แท้ที่จริงแล้วการจัดลำดับนั้นอ้างอิงจากผู้มีพรสวรรค์ของทุกดินแดน จะมีการจัดการแข่งขันระหว่างแต่ละดินแดนขึ้นทุกๆ ห้าร้อยปี หลังจากนั้นจึงนับคะแนนโดยอ้างอิงจากความสำเร็จของแต่ละดินแดนมาจัดลำดับน่ะ”
“การแข่งขันนั้นเป็นผู้มีพรสวรรค์ของแต่ละดินแดนทั้งหมดเลยใช่หรือไม่” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม
“ผู้มีพรสวรรค์ที่อายุต่ำกว่าสองร้อยปีลงมาน่ะ” กัวเพ่ยเพ่ยพูด “โดยทั่วไปแล้วขุมอำนาจของโลกเบื้องบนจะเป็นผู้จัดการแข่งขันนี้ บรรดาผู้มีพรสวรรค์โดดเด่นอาจจะไปเข้าตาโลกเบื้องบนเข้า จนอาจถึงขนาดได้เข้าสู่ขุมอำนาจนั้นโดยตรงเลยก็เป็นได้”
“มิใช่ว่าแค่เข้าสู่ระดับเทพแล้วจะได้เข้าสู่โลกเบื้องบนทั้งหมดเลยหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม
“ฮ่าๆๆ…”
เมื่อคนตระกูลกัวที่อยู่อีกฟากได้ยินคำพูดของพวกเธอแล้วก็พากันหัวเราะลั่นขึ้นมา
หญิงสาวที่ชื่อกัวฝูยิ้มแล้วเอ่ยว่า “มิได้เป็นเช่นนั้นหรอก คนที่เป็นระดับเทพมีคุณสมบัติเข้าสู่โลกเบื้องบนได้ก็จริง แต่อาจมิได้เข้าสู่โลกเบื้องบนได้เสมอไปหรอกนะ”
“เพราะเหตุใดเล่า” เจ้าอ้วนชวีถาม
“เพราะการดำรงชีวิตในโลกเบื้องบนนั้นยากลำบาก ถ้าหากมิใช่เพราะมีขุมอำนาจคอยหนุนหลัง คนระดับเทพโดยทั่วไปก็อาจถูกผู้อื่นสังหารได้โดยง่าย” กัวฝูกล่าว
“หา..” พวกเจ้าอ้วนชวีกะพริบตาปริบๆ โลกเบื้องบนโหดร้ายถึงเพียงนั้นเชียวหรือ
“กัวฝูมิได้พูดเกินจริงเลยสักนิด ที่ดินแดนของพวกเรา คนที่เลื่อนระดับไปถึงระดับเทพเหล่านั้นล้วนมิอาจขึ้นไปได้ในทันที ต้องรอให้พลังสูงส่งขึ้นอีกสักหน่อยจึงจะขึ้นไปได้ มีเพียงบรรดาคนที่เข้าตาขุมอำนาจของโลกเบื้องบนก่อนใครเท่านั้นจึงจะขึ้นไปได้” กัวเพ่ยเพ่ยพูด
“ดินแดนของพวกเจ้าเลื่อนไปได้ถึงระดับเทพเลยหรือ” ซือหม่าโยวเล่อถามอย่างตกใจ
“ได้สิ ทำไมเล่า ของพวกเจ้าทำมิได้อย่างนั้นหรือ” คนตระกูลกัวมองพวกซือหม่าโยวเย่ว์อย่างประหลาดใจ
ซือหม่าโยวเย่ว์ส่ายหน้าแล้วเอ่ยว่า “ดินแดนของพวกเราสามารถเลื่อนไปได้ถึงระดับจ้าววิญญาณขั้นสุดยอดเท่านั้นเอง หลังจากนั้นจะมิอาจเลื่อนระดับได้อีกแล้ว สัตว์อสูรเหนือเทพเพียงหนึ่งเดียวที่ปรากฏขึ้นมาก็ไม่รู้ว่าเขาใช้วิธีการใดในการเลื่อนระดับ”
“ข้าเคยได้ยินมาว่าดินแดนอี้หลินถูกเรียกว่าแดนพันธนาการ ที่นั่นมีกฎเกณฑ์ควบคุมอย่างเข้มงวดยิ่งนัก บางทีอาจเป็นเพราะเหตุนี้จึงทำให้พวกเจ้ามิอาจเลื่อนไปถึงระดับเทพก็เป็นได้นะ” กัวเพ่ยเพ่ยพูด
“แม่นางกัว พวกเจ้าบอกว่าเบื้องบนโหดร้ายยิ่งนัก ที่แท้แล้วมันโหดร้ายสักแค่ไหนกันหรือ” เจ้าอ้วนชวีถาม
“เคยได้ยินท่านปู่น้อยผู้หนึ่งบอกว่าจำนวนคนที่ตายไปในแต่ละวันของโลกเบื้องบนนั้นไม่หลายหมื่นก็หลายแสนคนเลยทีเดียวล่ะ” กัวเพ่ยเพ่ยพูด “ฟังเหมือนไม่มากนะ แต่เมื่อคิดดูว่ามีคนมากมายถึงเพียงนั้นตายไปทุกวันๆ แล้ว นานๆ เข้าจะมีคนตายมากมายสักเพียงใดกัน”
เจ้าอ้วนชวีกลืนน้ำลายแล้วเอ่ยว่า “มีคนต้องตายมากมายถึงเพียงนั้นเชียวหรือ แล้วคนไม่ตายเกลี้ยงเลยหรือไร”
หากเป็นที่ดินแดนอี้หลิน เกรงว่าเพียงไม่กี่ปี คนทั้งดินแดนจะไม่ตายกันจนหมดเกลี้ยงเลยหรือ!
“พรืด…” เมื่อได้ยินคำพูดของเขา คนตระกูลกัวจึงหัวเราะออกมาอีก
กัวเลี่ยงส่ายหน้าแล้วเอ่ยว่า “แต่ละดินแดนมีผู้คนมากมายเช่นนั้น อายุขัยของปรมาจารย์วิญญาณก็ยืนยาวกันทั้งสิ้น แล้วจะให้กำเนิดชนรุ่นหลังได้มากมายขนาดไหนเล่า ถึงแม้ว่าจะมีผู้คนมากมายตายไปทุกวัน แต่ก็มีผู้คนมากมายถือกำเนิดขึ้นมาทุกวันเช่นเดียวกัน ถึงแม้จะตายไปเป็นจำนวนมาก แต่ก็มีคนมากมายขึ้นมายังโลกเบื้องบนเป็นการทดแทน ดังนั้นเจ้าไม่ต้องกังวลหรอกว่าจะตายกันจนเกลี้ยงน่ะ”
“เรื่องนี้… พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่ามีดินแดนทั้งหมดกี่แห่ง” เจ้าอ้วนชวีตื่นตระหนกสุดขีดเสียแล้ว
ก่อนหน้านี้รู้สึกว่าอาณาจักรตงเฉินใหญ่โตเหลือเกินแล้ว ต่อมาเมื่อออกมาแล้วได้เห็นดินแดนอี้หลิน ก็รู้สึกว่าอาณาจักรตงเฉินช่างเล็กจ้อยยิ่งนัก ตอนนี้เมื่อได้ยินพวกเขาพูดเช่นนี้ ความจริงแล้วทั้งดินแดนอี้หลินก็เป็นเพียงเข็มเล่มเล็กๆ ในมหาสมุทรของทั้งโลกใบนี้เท่านั้นเอง
“ว่ากันว่าในอาณาเขตของพวกเรานี้มีดินแดนกว่าพันแห่ง ดินแดนโบราณนั้นเป็นดินแดนที่เหนือกว่าพวกเราระดับหนึ่ง ว่ากันว่ายังมีดินแดนในระดับเดียวกันกับดินแดนโบราณอยู่อีก แต่โลกใบนี้กว้างใหญ่เกินไป พวกเราก็ไม่รู้เช่นกันว่ามีอยู่จริงหรือไม่” กัวเพ่ยเพ่ยพูด
“แผละ…”
เนื้อย่างในมือเจ้าอ้วนชวีร่วงหล่นลงบนพื้น เขาตกตะลึงไปโดยสิ้นเชิงเสียแล้ว
มือของซือหม่าโยวเย่ว์ที่กำลังเคี่ยวโจ๊กก็หยุดชะงักเช่นเดียวกัน จนทัพพีเกือบจะหล่นลงไปในหม้อ
ทั้งเว่ยจือฉีและโอวหยางเฟยถึงขนาดลืมพลิกด้านเนื้อ บนใบหน้าต่างแสดงสีหน้าตื่นตระหนก
กัวเพ่ยเพ่ยเห็นสีหน้าของพวกซือหม่าโยวเย่ว์ ก็รู้ว่าวาจาของตนทำให้พวกเขาตกใจเสียแล้ว นางเอาปอยผมทัดหูแล้วเอ่ยว่า “อันที่จริงแล้วไม่ว่าโลกใบนี้จะกว้างใหญ่เพียงใด ถึงอย่างไรพวกเราต่างก็ต้องเดินมุ่งหน้าสู่เบื้องบน พวกเราแค่ต้องตั้งเป้าหมายในระยะนี้เอาไว้ที่การมุ่งสู่โลกเบื้องบนก็พอแล้ว”
“ถูกต้อง ความจริงแล้วโลกใบนี้ก็ไม่มีอะไรเลยจริงๆ พวกเจ้าเพิ่งจะเคยได้ยินกันเป็นครั้งแรก ดังนั้นจึงได้รู้สึกตื่นตะลึงกันเช่นนี้” กัวฝูก็เอ่ยขึ้นเช่นกัน
พวกเขาไม่รู้ว่าผู้คนในดินแดนอี้หลินไม่รู้อะไรเกี่ยวกับโลกภายนอกเลย ดังนั้นจึงคิดไม่ถึงว่าคำพูดของพวกตนจะทำให้พวกเขาตื่นตระหนกได้ถึงเพียงนี้
………………………………..