สลับชะตา ชายามือสังหาร - ตอนที่ 346 ภยันตรายมาเยือน
ผ่านไปครู่ใหญ่ พวกเขาจึงค่อยได้สติกลับคืนมาจากความตื่นตะลึงอย่างช้าๆ
“คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าโลกใบนี้จะกว้างใหญ่ไพศาลถึงเพียงนี้” เว่ยจือฉีลูบคางพลางทอดถอนใจ
ยังดีที่ตอนนั้นพวกเขาเลือกเดินออกมา ถ้าหากมิได้เป็นเช่นนี้ ชีวิตนี้พวกเขาก็คงได้แต่ใช้ชีวิตอยู่ในสถานที่เล็กจ้อยอย่างอาณาจักรตงเฉิน เป็นกบในกะลาไปตลอดกาล
ซือหม่าโยวเย่ว์พอจะยอมรับได้มากกว่าอยู่เล็กน้อย เพราะเธอนึกถึงจักรวาลอันไร้ที่สิ้นสุดในชาติก่อนขึ้นมาได้
ในจักรวาลมีดาวเคราะห์อยู่มากน้อยเท่าใด แม้กระทั่งคนในยุคปัจจุบันก็ยังไม่ทราบ นอกจากดวงที่มองเห็นได้และดวงที่สำรวจพบเหล่านั้นแล้ว ในสถานที่ไกลออกไปยังมีดาวเคราะห์อยู่มากกว่านั้นอีก ซึ่งเป็นไปได้ว่าอาจจะมีสิ่งมีชีวิตอีกมากมายดำรงอยู่
ยกตัวอย่างเช่นระบบสุริยะซึ่งมีดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลาง ประกอบด้วยดาวเคราะห์แปดดวงอย่างเช่นดาวพุธ ดาวศุกร์ และโลก ดวงจันทร์บริวารที่เป็นที่รู้จักกว่าร้อยดวง ยังมีเทหวัตถุหลายพันล้านชิ้นของระบบสุริยะอีกด้วย
และในจักรวาลมีดาราจักรอย่างระบบสุริยะนี้อยู่มากน้อยเพียงใด ก็ไม่มีผู้ใดบอกได้อย่างชัดเจนเลย
ดังนั้นดินแดนโบราณแห่งนี้ก็เหมือนกับดวงอาทิตย์ ส่วนดินแดนอื่นๆ ก็เหมือนกับดาวเคราะห์และดาวบริวารรอบๆ ดวงอาทิตย์เหล่านั้นนั่นเอง
โลกกว้างใหญ่ไร้ขีดจำกัด!
นี่คือสิ่งที่ซือหม่าโยวเย่ว์ได้ข้อสรุปออกมาในครั้งนี้
แต่ไม่ว่าโลกจะกว้างใหญ่เพียงใด โลกของพวกเขาก็อยู่ภายในใจของพวกเขา
หัวใจกว้างใหญ่เแค่ไหน โลกของพวกเขาก็กว้างใหญ่แค่นั้น!
เมื่อคิดได้เช่นนี้แล้วเธอจึงค่อยๆ สงบลงแล้วเคี่ยวโจ๊กต่อไป
พวกเว่ยจือฉีก็ค่อยๆ ยอมรับเรื่องนี้เช่นเดียวกัน ไม่เสียทีที่อยู่กับซือหม่าโยวเย่ว์มานาน ความสามารถในการยอมรับจึงแข็งแกร่งเช่นนี้
“ไม่ว่าโลกใบนี้จะกว้างใหญ่เพียงใด สิ่งที่พวกเราทำได้ในตอนนี้ก็คือการยกระดับพลังยุทธ์ของตนเอง” เจ้าอ้วนชวีพูดพลางกำหมัดแน่น
“ใช่แล้ว มีเพียงการทำให้ตนมีพลังยุทธ์มากพอ จึงจะไปเปิดหูเปิดตายังสถานที่แห่งอื่นๆ ได้” ซือหม่าโยวเล่อก็พยักหน้าแล้วเอ่ยขึ้นเช่นกัน
ซือหม่าโยวเย่ว์เห็นว่าพวกเขาไม่ได้ถูกทำร้ายเพราะเรื่องนี้จึงพยักหน้าอย่างพึงพอใจ
“ต้มโจ๊กเสร็จเรียบร้อยแล้ว”
เธอดับไฟใต้เตา พวกเป่ยกงถังหยิบชามของตัวเองไปตักมาคนละชาม แล้วกินด้วยกันกับอาหารรสเลิศที่เป่ยกงถังทำเมื่อครู่
“อาหารที่พวกเจ้าทำช่างอร่อยเหลือเกิน เมื่อครู่ข้ากินเนื้อย่างไปมากมายถึงเพียงนั้น แน่นท้องไปหมดแล้ว ถ้าหากรู้ก่อนเมื่อครู่ก็คงไม่กินลงไปมากมายถึงเพียงนั้นหรอก” กัวเลี่ยงพูดพลางลูบท้องอันแน่นตึงของตัวเอง
กัวเพ่ยเพ่ยมองน้องชายตนอย่างจนใจแล้วอดที่จะก้าวเข้าไปต่อยเขาทีหนึ่งมิได้ ทำให้นางขายหน้าผู้อื่นอีกแล้ว!
แต่ดูเหมือนว่าในคืนนี้ตัวนางเองก็กินข้าวไปมากที่สุดนับตั้งแต่ตัวเองเกิดมาเลยก็ว่าได้
คนอื่นๆ ในตระกูลกัวก็เช่นเดียวกัน ดูเหมือนว่าทุกคนจะกินกันจนอิ่มแปล้ทั้งสิ้น ก่อนหน้านี้พวกเขาล้วนไม่เคยกินมากมายขนาดนี้
“บรู๊วววว…”
ทันใดนั้นเสียงเห่าหอนเสียงหนึ่งก็ทำให้กลุ่มคนที่กำลังเกียจคร้านเพราะความพอใจตื่นตระหนกขึ้นมา ทุกคนพากันลุกขึ้นยืนแล้วมองไปยังทิศทางที่เสียงเห่าหอนนั้นดังลอยมา
“ปัง…”
หลังจากนั้นไม่นาน พลังที่เหลือจากการต่อสู้ก็ลอยมา ถึงแม้ว่าจะอยู่ไกลออกไปมาก พวกเขาก็ยังคงรู้สึกได้ถึงแรงกดดันอันชวนให้คนตื่นตระหนก
“ดูจากความเคลื่อนไหวนี้ อย่างน้อยก็ต้องเป็นการต่อสู้ระหว่างสัตว์อสูรเทพระดับจ้าววิญญาณขั้นสุดยอดสองตน” กัวเพ่ยเพ่ยพูด
“มาจากใจกลางหุบเขา” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
“ดูเหมือนว่าทางด้านนั้นจะมีสมบัติฟ้าดินบางอย่างอยู่ จึงเป็นไปได้ที่จะก่อให้เกิดการต่อสู้ในระดับนี้ขึ้นมา” กัวเพ่ยเพ่ยเอ่ย
“เจ้ารู้ได้อย่างไรกันว่ามีสมบัติฟ้าดินอยู่” เจ้าอ้วนชวีถาม
“ข้าเคยไปยังโลกย่อส่วนอีกแห่งหนึ่งมาก่อน กฎเกณฑ์คล้ายคลึงกันกับโลกย่อส่วนแห่งนี้เลยทีเดียว ซึ่งมีเพียงแค่คนระดับต่ำกว่าระดับเทพขั้นสุดยอดลงมาเท่านั้นจึงจะเข้าไปได้ ตอนนั้นข้าเคยเห็นสัตว์อสูรวิเศษพื้นถิ่น โดยทั่วไปแล้วพวกนั้นไม่มีทางลงมือกับมนุษย์ นอกเสียจากว่ามีสถานการณ์อะไรพิเศษ” กัวเพ่ยเพ่ยพูด
“เจ้าเคยไปที่โลกย่อส่วนแห่งอื่นมาแล้วด้วยหรือ”
กัวเพ่ยเพ่ยพยักหน้าแล้วเอ่ยว่า “ระยะเวลาที่โลกย่อส่วนพรรค์นี้ปรากฏขึ้นนั้นไร้ซึ่งแบบแผน แต่ยามที่ปรากฏขึ้น ดินแดนแต่ละแห่งก็จะได้รับข่าวแล้วส่งคนที่ตรงตามกฎเกณฑ์เข้าไป หลายปีก่อนหน้านี้ข้าเคยโชคดีได้เข้าไปครั้งหนึ่ง”
“พี่หญิงใหญ่ พวกเราจะเข้าไปกันหรือไม่” กัวเลี่ยงมองท้องฟ้าที่ดูคล้ายจะถูกแรงสะท้อนของการต่อสู้จนกลายเป็นสีแดงฉานแล้วถามขึ้น
“ไม่ไปหรอก” กัวเพ่ยเพ่ยพูด “ การต่อสู้ของพวกเขาจะต้องยืดเยื้อออกไปถึงพรุ่งนี้เช้าเป็นอย่างน้อย พวกเราเข้าไปคืนนี้ก็ไม่มีประโยชน์หรอก”
“อ้อ”
คนตระกูลกัวทั้งหลายถูกโน้มน้าวด้วยวาจาของกัวเพ่ยเพ่ย นางบอกว่าไม่ไป คนเหล่านั้นจึงนั่งลงอีกครั้ง
ซือหม่าโยวเย่ว์มองดูคนตระกูลกัวที่สงบลงแล้ว ดูเหมือนว่าพวกเขาทุกคนจะมีความสามารถกันทั้งสิ้น ไม่อย่างยามที่ต้องเผชิญหน้ากับสัตว์อสูรวิเศษระดับจ้าววิญญาณขั้นสุดยอดคงไม่สงบนิ่งได้ถึงเพียงนี้
ในขณะที่เธอกำลังชื่นชมกับความสามารถของอีกฝ่ายอยู่นั้น คนตระกูลกัวก็กำลังคาดคะเนความสามารถของพวกเขาอยู่เช่นเดียวกัน
อ้างอิงจากที่พวกเขามาจากดินแดนอี้หลิน พลังยุทธ์ก็ไม่ควรจะสูงมากถึงจะถูกต้อง พวกเขาสงบได้ถึงขนาดนี้ หากไม่เป็นพวกไม่สนใจใคร่รู้สิ่งใด ก็ต้องมีพลังยุทธ์พอตัว ถึงได้ไม่กลัวเกรงสัตว์อสูรวิเศษระดับจ้าววิญญาณขั้นสุดยอด
ดูจากการที่ได้ใกล้ชิดกันในคืนนี้ พวกเขาจะต้องมิใช่พวกที่ไม่สนใจสิ่งอื่นใด ด้วยเหตุนี้จึงมีเพียงความเป็นไปได้อย่างหลังเท่านั้น
จากนั้นพวกซือหม่าโยวเย่ว์ก็ได้ขอคำแนะนำเกี่ยวกับโลกย่อส่วนจากคนตระกูลกัว กินของผู้อื่นแล้วย่อมต้องตอบแทน คืนนี้กินของผู้อื่นไปตั้งมากมายถึงเพียงนี้ คนตระกูลกัวจึงได้แต่ทำตามคำขอ บอกข้อมูลเกี่ยวกับโลกย่อส่วนส่วนใหญ่ที่ตนรู้กับพวกเขา ทั้งยังบอกพวกเขาด้วยว่าทำเช่นไรจึงจะยกระดับพลังยุทธ์ได้ดีในโลกย่อส่วน
ซือหม่าโยวเย่ว์ไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ กับสิ่งที่พวกเขาพูด และฟังอย่างถ่อมตัว แต่สำหรับเธอแล้ว ตอนที่ได้ยินว่าที่นี่มีสัตว์อสูรเทพอยู่รวมกันเป็นฝูง การฝึกสัตว์อสูรเทพก็ดูเหมือนจะเป็นหนทางหนึ่งในการยกระดับพลังยุทธ์ของเธอ
ทั้งสองฝ่ายพูดคุยกันไปได้พอสมควรแล้ว คนตระกูลกัวจึงลุกขึ้นอำลา ทว่าเพิ่งกลับมาถึงกระโจมของตนไม่ทันไรก็สัมผัสได้ว่ามีอันตรายกำลังเข้ามาใกล้ ทุกคนจึงรีบออกมาจากกระโจมทันที
ซือหม่าโยวเย่ว์บอกทุกคนในทันทีที่อันตรายมาเยือน ทั้งยังเรียกเจ้าคำรามน้อยออกมาด้วย ให้มันและเจ้าวิหคน้อยไปสืบข่าวคราวด้วยกัน
เพียงไม่นานพวกเจ้าคำรามน้อยก็กลับมาแล้วพูดว่า “เย่ว์เย่ว์ ทั้งสองฟากของหุบเขามีสัตว์อสูรเทพอยู่ไม่น้อยเลย พวกเราถูกล้อมเอาไว้ในนี้แล้ว”
“มีมากแค่ไหนหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม
“เกินร้อยตนกระมัง” เจ้าคำรามน้อยพูด เมื่อเห็นท่าทางถอนหายใจของซือหม่าโยวเย่ว์ มันจึงเอ่ยเสริมว่า “หมายถึงแต่ละฟากมีเกินร้อยตนน่ะ!”
“อะไรนะ! เหตุใดเจ้าจึงไม่พูดให้จบในครั้งเดียวเล่า เวลาเช่นนี้ยังมามัวหอบอะไรอยู่อีก!” ซือหม่าโยวเย่ว์เขกหัวเจ้าคำรามน้อย
เจ้าคำรามน้อยมองซือหม่าโยวเย่ว์อย่างหดหู่ คิดจะยกเท้าสั้นป้อมขึ้นมาลูบหัวบริเวณที่ถูกเขก
“ระดับขั้นของสัตว์อสูรเทพเหล่านั้นเล่า” ซือหม่าโยวเย่ว์ถามอีก
“ส่วนใหญ่เป็นขั้นสองขั้นสาม มีส่วนน้อยที่เป็นขั้นสาม ไม่มีขั้นสี่เลย” เจ้าวิหคน้อยพูด
“นอกจากสัตว์อสูรเทพ ด้านหลังยังมีสัตว์อสูรทิพย์อีกมากมายด้วย” เจ้าคำรามน้อยกล่าวเสริม
“พวกเราขี่สัตว์อสูรบินได้ไปจากที่นี่ไม่ได้หรือ” เจ้าอ้วนชวีถาม
“ไม่ได้หรอก” เจ้าคำรามน้อยพูด “บนท้องฟ้าก็มีสัตว์อสูรบินได้วนเวียนอยู่ไม่น้อย ถ้าหากเจ้าขึ้นไป ก็คงได้แต่เป็นเป้าเท่านั้นแหละ”
ทางด้านคนตระกูลกัวก็ได้รับข่าวแล้วเช่นเดียวกัน คิดไปคิดมาแล้วกัวเพ่ยเพ่ยก็เดินเข้ามาพูดกับพวกเขาว่า “สัตว์อสูรเทพจำนวนไม่น้อยได้ล้อมหุบเขาแห่งนี้เอาไว้หมดแล้ว เกรงว่าอีกประเดี๋ยวจะต้องเกิดการต่อสู้กันขึ้นมาอย่างแน่นอน พอถึงเวลาพวกเราจะช่วยพวกเจ้าอย่างสุดความสามารถเลย”
“ขอบคุณความหวังดีของแม่นางกัวมาก” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดด้วยรอยยิ้ม “แต่พวกเราไม่คิดจะต่อสู้กับสัตว์อสูรเทพเหล่านั้นโดยตรงหรอก”
“พวกเจ้าคิดจะขี่สัตว์อสูรบินได้จากไปอย่างนั้นหรือ” กัวเพ่ยเพ่ยพูดอย่างไม่เห็นด้วย “ด้านนอกก็มีสัตว์อสูรบินได้อยู่ไม่น้อย เดินทางด้วยวิธีนี้ไม่สะดวกหรอก”
ซือหม่าโยวเย่ว์ยิ้มอย่างมั่นใจในตัวเอง “ไม่ พวกเราไม่หนีไปไหนหรอก จะอยู่ในหุบเขานี่แหละ”