สลับชะตา ชายามือสังหาร - ตอนที่ 347 อยากร้องไห้กับความโง่ของตัวเอง
“ในเมื่อพวกเจ้าตัดสินใจจะอยู่ต่อ ทั้งยังไม่ลงมือกับสัตว์อสูรวิเศษเหล่านั้นด้วย เป็นเพราะเหตุใดกัน” กัวเพ่ยเพ่ยไม่เข้าใจ
ซือหม่าโยวเย่ว์ยิ้มพลางอธิบายว่า “เจ้าดูสิ ทางนั้นมีสัตว์อสูรเทพระดับจ้าววิญญาณขั้นสุดยอดกำลังต่อสู้กันอยู่ ว่ากันตามเหตุผลแล้วสัตว์อสูรเทพเหล่านี้ควรต้องหลีกทางให้ถึงจะถูกต้อง เพราะเหตุใดถึงยังบีบเข้ามาทางหุบเขาแห่งนี้อีกเล่า”
“น่าจะต้องมีสิ่งใดดึงดูดพวกมันมา ไม่อย่างนั้นก็ต้องรับคำสั่งใครมา จึงมองข้ามสัตว์อสูรเทพสองตนไปได้” กัวเพ่ยเพ่ยพูด
“ใช่แล้ว ดังนั้นสิ่งที่พวกเราต้องทำในตอนนี้ก็คือหาเหตุผลให้ได้ ไม่อย่างนั้นจะหนีหรือจะสู้ก็ไร้ประโยชน์” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
“แต่พวกนั้นเป็นสัตว์อสูรเทพกันหมดเลยนะ!” คนตระกูลกัวพากันล้อมวงเข้ามา “ต่อให้พี่หญิงใหญ่ไปถึงระดับจ้าววิญญาณแล้ว ก็ไม่มีทางจัดการสัตว์อสูรเทพมากมายถึงเพียงนั้นพร้อมกันได้หรอก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่ามีบางส่วนในนั้นที่พลังใกล้จะไปถึงระดับจ้าววิญญาณแล้วด้วย”
ซือหม่าโยวเย่ว์คิดไม่ถึงว่ากัวเพ่ยเพ่ยอายุยังน้อย แต่ไปถึงระดับจ้าววิญญาณแล้ว เมื่อนึกถึงว่าจ้าววิญญาณที่ดินแดนอี้หลินล้วนเป็นตาเฒ่าแก่หง่อมกันทั้งสิ้น แต่จ้าววิญญาณตรงหน้ากลับเยาว์วัยถึงเพียงนี้ ช่างเป็นยอดคนโดยแท้!
แต่ตอนนี้เธอกลับละเลยไปว่าพวกเขาเองก็ไปถึงระดับราชันวิญญาณตั้งแต่เยาว์วัยเช่นกัน ทั้งยังอยู่ในดินแดนที่ถูกกฎเกณฑ์กีดกันอย่างดินแดนอี้หลินอีกด้วย
“เจ้าคำรามน้อย เจ้าไปสืบมาให้ชัดเจนได้หรือไม่ว่าเพราะเหตุใดสัตว์อสูรวิเศษเหล่านั้นจึงมาที่หุบเขาแห่งนี้” ซือหม่าโยวเย่ว์ถามเจ้าคำรามน้อยในอ้อมแขน
“สัตว์อสูรเทพมากมายถึงเพียงนั้น ข้าก็กลัวอยู่เหมือนกันนะ” เจ้าคำรามน้อยพูด
“เจ้ามิได้ประกาศตัวว่ามีความสามารถในการล่อลวงสัตว์อสูรวิเศษเป็นที่สุดหรอกหรือ ตอนนี้แค่ให้ไปสืบข่าวนิดเดียวก็ไม่ได้แล้วหรือ” เจ้าอ้วนชวีที่อยู่ข้างๆ กล่าวขึ้น
“ไม่ไป ไม่ไป” ใบหูยาวของเจ้าคำรามน้อยลู่ลงมา จากนั้นมันก็ใช้อุ้งเท้าปิดบนใบหูแล้วเอนกายอยู่ในอ้อมแขนซือหม่าโยวเย่ว์ไม่ขยับเขยื้อน
ซือหม่าโยวเย่ว์สัมผัสได้ถึงความผิดปกติของเจ้าคำรามน้อย จึงเอื้อมมือมาลูบใบหูยาวของมันพลางถามว่า “เจ้าคำรามน้อย เจ้าเป็นอะไรไป”
“เย่ว์เย่ว์ ข้าไม่สบาย ไม่สบายอย่างยิ่งเลย” เจ้าคำรามน้อยลืมตากลมโตขึ้นพลางมองซือหม่าโยวเย่ว์อย่างน่าสงสารจับใจ
ซือหม่าโยวเย่ว์คิดไม่ถึงว่าเมื่อครู่นี้เจ้าคำรามน้อยยังดีๆ อยู่ แต่กลับไม่สบายขึ้นมาในทันทีทันใด จึงถามขึ้นอย่างเป็นกังวลว่า “เจ้าไม่สบายตรงไหนหรือ”
“ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน เพียงแต่รู้สึกอึดอัดและไม่สบายใจเอาเสียเลย” เจ้าคำรามน้อยพูด
“เจ้านาย ข้าก็เกิดความรู้สึกเช่นนี้เหมือนกัน คล้ายกับโลหิตภายในกายเดือดพล่านไปหมด” เจ้าวิหคน้อยร่อนลงบนบ่าของซือหม่าโยวเย่ว์พลางพูดด้วยความยากลำบากอยู่บ้าง คล้ายกำลังอดทนกับอะไรบางอย่างอยู่
“เจ้านาย ข้าก็เช่นเดียวกัน” วิหคบนบ่ากัวเพ่ยเพ่ยตัวหนึ่งพูดขึ้นด้วย
“จะต้องมีอะไรที่ส่งผลกระทบต่อพวกมันแน่” กัวเพ่ยเพ่ยตอบสนองในทันที แล้วเก็บตัววิหคบนบ่าของนางกลับไป
ซือหม่าโยวเย่ว์ก็เก็บตัวเจ้าคำรามน้อยและเจ้าวิหคน้อยกลับเข้าไปในเจดีย์วิญญาณเช่นกัน หลังจากที่สัตว์อสูรผูกพันธสัญญาทั้งสองเข้าไปแล้วก็รู้สึกดีขึ้นมากพอสมควร
“โยวเย่ว์ เป็นไปได้ว่าที่นี่จะมีหินแก้วผลึกมนตราอยู่” หมัวซาส่งเสียงพูดในทันใด
“หินแก้วผลึกมนตรา มันคือสิ่งใดหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม
“แก้วผลึกมนตราที่ทำให้จิตใจของสัตว์อสูรวิเศษปั่นป่วนได้ชนิดหนึ่ง” หมัวซาพูด “ต่อไปค่อยบอกเจ้าเรื่องประโยชน์ของมัน ต้องหาของสิ่งนั้นให้พบก่อน มันมีประโยชน์ต่อข้า”
ซือหม่าโยวเย่ว์เบ้ปาก ทุกครั้งที่เจ้าคนผู้นี้ต้องการอะไร ก็จะใช้ให้ตนไปหามาให้เขาทุกครั้ง โดยที่เขาไม่เคยออกแรงเลย!
“หึๆ หันกลับไปดูว่าเขายังมีอะไรที่พอจะบีบคั้นออกมาได้บ้างหรือไม่ อย่าไปทำให้เขาเปล่าๆ อย่างซื่อบื้อสิ!” เธอพึมพำอยู่ในใจ
สัตว์อสูรวิเศษของทุกคนต่างไม่สบายกันไปหมด ตอนนี้พวกเขาถึงขนาดไม่กล้าเรียกสัตว์อสูรผูกพันธสัญญาออกมากันเลยทีเดียว
“เมื่อครู่นี้ยังดีๆ อยู่เลย เหตุใดจู่ๆ จึงกลายเป็นเช่นนี้ไปอย่างกะทันหันเล่า” กัวฝูเอ่ยอย่างเป็นกังวล “ไม่มีสัตว์อสูรผูกพันธสัญญา พลังการต่อสู้ของพวกเราก็ลดลงไปมหาศาลเลยน่ะสิ”
คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าเพิ่งจะมาถึงโลกย่อส่วนก็ต้องมาพบกับเรื่องเช่นนี้เข้าเสียแล้ว!
“พวกเจ้ารู้จักหินแก้วผลึกมนตราหรือไม่” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม
“หินแก้วผลึกมนตราหรือ นั่นคือสิ่งใดกัน” กัวเลี่ยงถาม
“สัตว์อสูรผูกพันธสัญญาของข้าบอกข้าว่าที่พวกมันเป็นเช่นนี้ก็เพราะได้รับผลกระทบจากหินแก้วผลึกมนตรา” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
“หินแก้วผลึกมนตรา…” กัวเพ่ยเพ่ยขมวดคิ้วพลางเอ่ยว่า “นั่นคือสิ่งใดหรือ”
ซือหม่าโยวเย่ว์เห็นท่าทีเช่นนี้ของพวกเขาแล้วจึงรู้ว่าพวกเขาก็ไม่รู้เช่นกันว่าหินแก้วผลึกมนตราคือสิ่งใด ดูเหมือนจะฝากความหวังเอาไว้กับพวกเขาไม่ได้เสียแล้ว
“พี่หญิงใหญ่ ตอนนี้พวกเราจะทำเช่นไรกันดี” หญิงสาวอีกคนจากตระกูลกัวมองกัวเพ่ยเพ่ยพลางเอ่ยถามขึ้น
สีหน้าของกัวเพ่ยเพ่ยก็ย่ำแย่เช่นเดียวกัน ไม่มีสัตว์อสูรผูกพันธสัญญาแล้ว พลังยุทธ์ของพวกเขาก็ลดลงไปเกือบครึ่ง มีเพียงนางเท่านั้นที่เป็นจ้าววิญญาณ มนุษย์กลุ่มหนึ่งคิดจะต่อกรกับสัตว์อสูรวิเศษหลายร้อยตัว ก็ออกจะยากลำบากอยู่พอสมควร
“ดูเหมือนจะต้องหาหินแก้วผลึกมนตราออกมาก่อนจึงจะใช้ได้” เว่ยจือฉีพูด
“พวกเราอยู่ในหุบเขามานานขนาดนี้ยังไม่รู้สึก การจะหาหินแก้วผลึกมนตราออกมาในตอนนี้ก็ยากลำบากไม่น้อยเลยนะ” โอวหยางเฟยพูด
“ถึงอย่างนั้นก็ต้องหาให้พบอยู่ดี” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “มีเพียงการหามันให้พบเท่านั้น สัตว์อสูรวิเศษจึงจะหยุดได้”
“ไม่ต้องรีบร้อนหรอก” หมัวซาถ่ายเสียงพูด “หินแก้วผลึกมนตราไร้ซึ่งความเคลื่อนไหวในตอนกลางวัน พวกเจ้าแค่ต้านทานเอาไว้ให้ผ่านพ้นคืนนี้ไปก็ใช้ได้แล้ว ค่อยตามหาหินแก้วผลึกมนตราในวันพรุ่งนี้ก็ได้”
“สัตว์อสูรเทพเหล่านั้นจะไม่กินหินแก้วผลึกมนตราไปหมดก่อนหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม
“หินแก้วผลึกมนตราเพียงแค่ทำให้สติรับรู้ของพวกมันไม่ชัดเจนเท่านั้น มิได้ทำให้พวกมันเกิดความอยากอาหารหรอก” หมัวซาพูด
“เช่นนั้นก็ไม่ยาก!” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
“โยวเย่ว์ เจ้ามีวิธีหรือ” พวกเว่ยจือฉีเห็นสีหน้าของซือหม่าโยวเย่ว์จึงเอ่ยถามขึ้น
“พวกมันบอกว่าหินแก้วผลึกมนตรานี้จะแผ่ระลอกคลื่นออกมาในยามราตรีเท่านั้น ไม่เกิดขึ้นในตอนกลางวัน พวกเราแค่ต้านทานเอาไว้ให้ผ่านพ้นคืนนี้ไปก็ใช้ได้แล้ว” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
“แต่ต้านทานเอาไว้ให้ผ่านพ้นคืนนี้ไปก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะ” กัวเพ่ยเพ่ยมองไปนอกหุบเขาพลางเอ่ยว่า “สัตว์อสูรเทพมากมายถึงเพียงนี้แห่กันมา พวกเรามีกันทั้งหมดเพียงสิบกว่าคนเท่านั้น…”
“ค่ายกลอย่างไรเล่า” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “ใช้ค่ายกลก็พอแล้ว เจ้าไปพาคนของพวกเจ้ามาให้หมดสิ จือฉี พวกเจ้าไปสังเกตการณ์สถานการณ์ข้างนอกที ดูว่าอีกนานแค่ไหนสัตว์อสูรวิเศษจึงจะเข้ามาที่นี่ ข้าจะไปติดตั้งค่ายกลคุ้มกัน”
แม้ว่าเธอจะเคยติดตั้งค่ายกลคุ้มกันไปแล้วตอนที่พวกเขามาถึงที่นี่ แต่ก็มิได้ดีสักเท่าใดนัก จำเป็นต้องเริ่มติดตั้งใหม่อีกอันหนึ่งจึงจะใช้ได้
เธอหยิบศิลากลออกมา ทันใดนั้นก็ตีหน้าผากทีหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “ข้าโง่เง่าถึงเพียงนั้นได้อย่างไรกัน!”
“ทำไมหรือ โยวเย่ว์” เป่ยกงถังเห็นเธอตีหน้าผากตัวเองจึงเอ่ยถามขึ้น
“อยากร้องไห้กับความโง่ของตัวเองน่ะสิ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “ติดตั้งค่ายกลได้ทั้งที ทำไมข้าจึงไม่ติดตั้งค่ายกลนำส่ง แต่กลับติดตั้งค่ายกลคุ้มกัน! พวกเจ้าไปเรียกพวกเขามาให้หมดเลย พวกเราจะไปจากที่นี่กันเดี๋ยวนี้แหละ”
“โฮก…”
“จิ๊บๆ…”
สัตว์อสูรวิเศษเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ อีกเพียงแค่ไม่กี่นาทีก็จะบุกมาถึงตรงที่พวกเขาอยู่กันแล้ว
“ทุกคนเข้ามาอยู่ในค่ายกลคุ้มกันเร็ว” ซือหม่าโยวเย่ว์ตะโกนไปทางคนตระกูลกัว หลังจากที่พวกเขาเข้ามาแล้ว เธอจึงใส่ปราณวิญญาณสายหนึ่งเข้าไปในพื้นดินเพื่อกระตุ้นค่ายกล ลำแสงสีขาวสายหนึ่งโอบล้อมพวกเขาเอาไว้
หลังจากนั้นเธอจึงเริ่มสร้างค่ายกลนำส่งขึ้นภายในค่ายกลคุ้มกัน
คนตระกูลกัวคิดไม่ถึงว่าซือหม่าโยวเย่ว์จะเป็นปรมาจารย์ค่ายกลด้วย นอกจากนี้ยังเห็นอีกฝ่ายทำแต่ละขั้นตอนได้โดยไม่ต้องหยุดคิด แสดงว่าต้องไม่ใช่ปรมาจารย์ค่ายกลระดับขั้นต่ำๆ แน่นอน!
หลายนาทีต่อมา สัตว์อสูรวิเศษเหล่านั้นก็บุกมาถึงบริเวณกึ่งกลางของหุบเขา
“โยวเย่ว์ สัตว์อสูรวิเศษบุกเข้ามาแล้ว” เจ้าอ้วนชวีเห็นสัตว์อสูรวิเศษจึงร้องตะโกนขึ้น
“ร้อนรนไปทำไมกัน! ยังมีค่ายกลคุ้มกันอยู่มิใช่หรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์จัดวางค่ายกลต่อไปโดยไม่แม้แต่จะเงยหน้า ไม่เป็นกังวลกับสัตว์อสูรวิเศษที่บุกเข้ามาเลยแม้แต่น้อย
…………………………………..