สลับชะตา ชายามือสังหาร - ตอนที่ 349 บ้าเอ๊ย… ถูกขโมยจูบอีกแล้ว!
หมัวซาเห็นท่าทางยิ้มละไมแต่กลับแฝงไว้ด้วยสีหน้าเจ้าเล่ห์ของซือหม่าโยวเย่ว์แล้ว ความไม่สบายใจเล็กน้อยเมื่อครู่ก็หายไปเป็นปลิดทิ้ง
“เจ้าต้องการสิ่งตอบแทนใดเล่า” เขามองเธอด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“อะไรก็ได้ทั้งนั้น ขอเพียงแค่เป็นของดีก็พอแล้ว” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “แต่จะให้ดีที่สุดขอเป็นทักษะวิญญาณขั้นสูงอะไรสักอย่าง หรือสิ่งล้ำค่าที่ยากจะพบในรอบหมื่นปีสักชิ้นก็ได้ นี่ ทำอะไรของท่านน่ะ”
เธอยังพูดไม่ทันจบ หมัวซาก็มาถึงตรงหน้าเธอในทันใด นอกจากนี้ร่างกายท่อนบนและมือต่างก็รวมตัวกันเป็นร่างกายจริงแล้วด้วย
เขายึดศีรษะของเธอเอาไว้ ก่อนจะแนบหน้าผากของคนทั้งสองเข้าด้วยกัน พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงทรงเสน่ห์ว่า “เจ้ามิได้บอกว่าอยากได้สิ่งตอบแทนหรอกหรือ ข้าก็กำลังจะมอบสิ่งตอบแทนให้เจ้าอยู่นี่อย่างไรเล่า”
“มีสิ่งตอบแทนที่ต้องให้อย่างที่ท่านทำอยู่นี่ด้วยหรือ ปล่อยข้านะ” ซือหม่าโยวเย่ว์ดิ้นรนอยู่สองสามครั้งแล้วพบว่าตนไม่มีทางดิ้นหลุดจากเขาได้เลย
“ปล่อยเจ้าแล้วจะให้สิ่งตอบแทนเจ้าได้อย่างไรเล่า” หมัวซาเพิ่มแรงที่มือ ไม่ปล่อยให้ซือหม่าโยวเย่ว์ดิ้นหลุดไปได้ หลังจากนั้นจึงประกบริมฝีปากลงบนริมฝีปากเธอในขณะที่เธอมีสีหน้าตื่นตกใจสุดขีด
ซือหม่าโยวเย่ว์สองตาเบิกโพลง แววตาเต็มไปด้วยความไม่อยากจะเชื่อ เจ้าคนผู้นี้… จูบเธออย่างนั้นหรือ!
บ้าเอ๊ย! ทำไมเธอถึงโดนขโมยจูบอยู่ตลอดเลยเล่า
อูหลิงอวี่ในตอนนั้นเป็นเช่นนี้ ตอนนี้เขาก็ยังเป็นเช่นนี้อีกหรือ
โดยเฉพาะหลังจากที่ทั้งสองขโมยจูบแล้ว ต่างใช้ลิ้นเลียริมฝีปากเธอทีหนึ่ง ด้วยท่าทีลิ้มชิมรสที่หลงเหลืออยู่ ช่างยั่วโทสะคนยิ่งนัก!
หมัวซาปล่อยซือหม่าโยวเย่ว์แล้วพูดว่า “รสจูบที่แท้จริงเป็นเช่นนี้นี่เอง”
ซือหม่าโยวเย่ว์เห็นหมัวซากลับสู่ร่างวิญญาณอีกครั้งแล้ว ถึงโกรธก็มิอาจบันดาลโทสะได้ เมื่อได้ฟังคำพูดของเขาแล้วจึงเดือดดาลขึ้นมา เธอตะคอกว่า “จูบบ้าอะไรเล่า นี่มันขโมยจูบชัดๆ! ขโมยจูบน่ะ รู้จักหรือไม่!”
หมัวซาเห็นท่าทีโกรธปางตายแต่ทำอะไรไม่ได้ของเธอแล้ว รอยยิ้มอันหาได้ยากก็ปรากฏบนใบหน้า
“สิ่งตอบแทนนี้ไม่ดีหรืออย่างไร” เขาถาม
“ดีกับผีน่ะสิ” เธอเช็ดปากตัวเองอย่างแรง ในขณะที่หมัวซาคิดว่าเธอถูกดูหมิ่นแล้วไม่โกรธอยู่นั้นเอง เธอก็เอ่ยต่อไปว่า “ถึงแม้ว่าพวกท่านทั้งสองจะมีรูปโฉมล้ำเลิศก็ตาม ถึงแม้ว่าจูบนี้จะเป็นสิ่งตอบแทนที่มอบให้กับข้า เช่นนั้นก็ควรเป็นข้าขโมยจูบท่านสิ มิใช่ท่านมาขโมยจูบข้า!”
เจ้าวิหคน้อยและเจ้าคำรามน้อยที่อยู่ข้างๆ ต่างยกมือขึ้นปิดตา อยากบอกว่าไม่รู้จักกับคนผู้นี้เสียจริง
หรือการที่เธอโวยวายนั้นมิใช่เพราะถูกจูบ แต่เป็นเพราะถูกขโมยจูบเล่า หรือพูดได้ว่าเธอหวังอยากให้เป็นตนเองขโมยจูบอีกฝ่ายมากกว่า
หมัวซาได้ฟังคำพูดนี้ของเธอแล้วยิ้มกว้างยิ่งขึ้น “เจ้าลองดูทะเลแห่งความรู้ของเจ้าสิ”
ถึงแม้ว่าซือหม่าโยวเย่ว์จะไม่พอใจ แต่ก็ยังไปรับสัมผัสดูทะเลแห่งความรู้ จากนั้นจึงลืมตาขึ้นอีกครั้ง หลังจากเห็นได้อย่างชัดเจนว่ามีสิ่งของเพิ่มขึ้นมาในทะเลแห่งความรู้แล้ว ความโกรธบนใบหน้าก็หายวับไปในทันใด
“อะแฮ่ม ของสิ่งนี้ไม่เลวเลยทีเดียว” ซือหม่าโยวเย่ว์เปลี่ยนสีหน้าอย่างรวดเร็วจนน่าตกใจ ท่าทางนี้ทำให้สัตว์อสูรทั้งสองโมโหจนสิ้นไร้คำพูด
เคล็ดหลอมกายและเคล็ดหลอมวิญญาณเป็นเคล็ดวิชาลับที่ส่งเสริมกัน อย่างหลังเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับพลังวิญญาณ ส่วนอย่างแรกนั้นสามารถยกระดับความแข็งแกร่งของร่างกายได้
เคล็ดหลอมกายที่เขามอบให้เธอในตอนนั้นก็คือเคล็ดหนึ่งในบรรดาเคล็ดหลอมกายนี้นี่เอง
“ตอนนี้จะไปขุดได้แล้วหรือยังเล่า” หมัวซามองผู้ที่สีหน้าเปี่ยมด้วยความโลภ ในใจไม่เกิดโทสะเลยแม้แต่น้อย
ของเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่ตอนนั้นตนทุ่มเทประสบการณ์ไปมหาศาลจึงจะได้มา ตอนนี้ถูกนางปล้นไปสามเล่มแล้ว ถ้าหากเป็นผู้อื่น เขาคงโมโหไปนานแล้ว แต่เมื่อเห็นท่าทางหรี่ตาด้วยความพึงพอใจของนางแล้วเขาจึงมิได้รู้สึกโกรธ หากแต่…พึงพอใจ
พึงพอใจอย่างนั้นหรือ
เขาตกใจกับความคิดในใจตนจนสะดุ้ง ถึงแม้ตอนที่ตนยังมีชีวิตอยู่จะได้รับสิ่งของมามากมายถึงเพียงนั้น ประสบความสำเร็จอย่างสูงส่งเช่นนั้น ก็ยังไม่เคยรู้สึกถึงความพึงพอใจมาก่อนเลย แต่ตอนนี้เพียงแค่เห็นรอยยิ้มของนางก็พึงพอใจแล้วอย่างนั้นหรือ
“นี่ ท่านมัวยืนนิ่งอะไรอยู่น่ะ” ซือหม่าโยวเย่ว์โบกไม้โบกมืออยู่ตรงหน้าเขา
“ทำไมหรือ” เขาเก็บงำอารมณ์ของตน แล้วมองใครบางคนที่แสดงท่าทีวางอำนาจอยู่ตรงหน้า
“ข้ารับของท่านมาแล้วก็จะช่วยท่านจัดการธุระอยู่นี่ไง เลยอยากจะถามว่าท่านมีเงื่อนไขอันใดหรือไม่ จะขุดอย่างไร หากท่านไม่บอก ถ้าขุดไม่ถูกใจแล้วจะทำเช่นไร” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
“เจ้าก็ขุดๆ ไปเถิดน่า ถึงอย่างไรด้วยพลังยุทธ์ของเจ้าแล้วก็ไม่มีทางทำลายแก้วผลึกมนตราได้หรอก” หมัวซาปรายตามองเธอ ดูแคลนพลังยุทธ์ของเธอเป็นอย่างยิ่ง
“ท่าน… เฮอะ ข้าไม่สนใจท่านแล้ว” ซือหม่าโยวเย่ว์โบกกำปั้น ไม่มองเขาอีกต่อไป แล้วมายังบริเวณที่หมัวซาย้ายก้อนหิน
เพราะก่อนหน้านี้บริเวณนี้ถูกก้อนหินทับเอาไว้ ดังนั้นสีของดินในบริเวณนี้จึงแตกต่างกับข้างนอกอยู่บ้าง
ซือหม่าโยวเย่ว์หยิบจอบอันหนึ่งออกมาแล้วเริ่มต้นขุดดินบริเวณนั้น แต่กลับพบว่าดินเหล่านี้ทนทานเป็นอย่างยิ่งจนมิอาจขุดได้เลย
“ดินบริเวณนี้ได้รับผลกระทบจากแก้วผลึกมนตราจนเปลี่ยนแปลงไปแล้ว เจ้าใช้พลังวิญญาณทำลายโดยตรงจะเป็นการดีที่สุด” หมัวซาที่อยู่ด้านข้างกระซิบ
ซือหม่าโยวเย่ว์ลอบขบกราม มือที่กุมจอบกำแน่นโดยไม่รู้ตัว
เจ้าคนผู้นี้… รู้ดีอยู่แล้วตั้งแต่ต้น แต่กลับไม่บอกตน หลังจากเห็นตนทำตัวโง่เง่าแล้วจึงพูดขึ้นมาอย่างสบายๆ อยู่ข้างๆ ช่างน่ารังเกียจเสียจริง!
“เร็วหน่อย ไม่อย่างนั้นวันนี้เจ้าคงขุดไม่เสร็จแน่” หมัวซาเห็นท่าทีเจ็บใจของเธอแล้วมีความสุขเป็นอย่างยิ่ง
“ข้าไม่สุงสิงกับท่านแล้ว!” ซือหม่าโยวเย่ว์สูดลมหายใจลึก ระงับเพลิงโทสะเอาไว้ หลังจากนั้นจึงเก็บจอบขึ้นมา ก่อนจะรวบรวมลูกพลังวิญญาณซัดลงไปที่ผิวดิน
ผิวดินไร้ซึ่งความเคลื่อนไหว
“ใช้พลังโลหะสิ” หมัวซาพูด
ใครบางคนขบกรามแล้วเอ่ยอีกครั้งว่า “อย่าให้ข้าหมดความอดทนนะ!”
เธอแปลงพลังวิญญาณเป็นพลังโลหะ สองมือร่ายมนตร์ แปลงพลังวิญญาณเป็นค้อนยักษ์ก่อนจะทุบลงไปอย่างรุนแรง
“ปึง…”
ซือหม่าโยวเย่ว์รู้สึกคล้ายว่าพื้นดินสั่นสะเทือนคราหนึ่ง แต่ทว่าผิวดินยังคงไม่ขยับเขยื้อนเลยแม้แต่น้อย
หมัวซาโฉบเข้ามามองดูผิวดินที่ไม่มีแม้แต่รอยร้าวพลางส่ายหน้าแล้วเอ่ยว่า “รู้ว่าเจ้าฝีมือไม่พอ แต่คิดไม่ถึงว่าแค่ทำให้มันสั่นสะเทือน เจ้ายังทำไม่ได้เลยด้วยซ้ำ”
ซือหม่าโยวเย่ว์หดหู่เสียแล้ว แข็งขนาดนี้ นี่ยังเรียกว่าดินโคลนได้อยู่อีกหรือ!
หรือจะบอกว่าพลังยุทธ์ของเธอไม่พอจริงๆ แม้กระทั่งดินโคลนก็ยังขุดไม่ได้
“เอาอาวุธเทพนั่นมาลองดูสิ” หมัวซาพูด
ซือหม่าโยวเย่ว์หยิบหลิงหลงออกมา พอหลิงหลงออกมาแล้วก็โผกอดซือหม่าโยวเย่ว์พลางร้องห่มร้องไห้
“เย่ว์เย่ว์เอ๋ย… ตั้งแต่เจ้ามีถ้วยชามรามไหเหล่านั้นแล้วก็ไม่เคยให้ข้าออกมาอีกเลย! ฮือๆๆ…”
ซือหม่าโยวเย่ว์สีหน้ายับย่น ก่อนหน้านี้เจ้านี่มิได้ต่อต้านการที่เธอใช้มันเป็นอุปกรณ์เล็กๆ น้อยๆ เหล่านั้นเหลือเกินหรอกหรือ
“เอาละ ต่อจากนี้จะให้เจ้าออกมาเล่นบ่อยๆ ก็แล้วกันนะ” เธอเอ่ยปลอบ
เดิมทีหลิงหลงก็เล็กมากอยู่แล้ว ขนาดไม่ถึงฝ่ามือ เช่นนี้หากอยู่ข้างนอกแล้วผู้อื่นถามว่ามันคือสิ่งใด แล้วตนจะตอบอย่างไรเล่า
“เย่ว์เย่ว์ คราวนี้เจ้าเรียกข้าออกมาทำไมกัน” หลิงหลงได้รับคำยืนยันจากซือหม่าโยวเย่ว์แล้วจึงปาดน้ำตาที่ไม่เคยมีอยู่มาตั้งแต่ต้น
ซือหม่าโยวเย่ว์ชี้ไปยังดินที่สุดแสนจะแข็งพลางเอ่ยว่า “ดินนี่ได้เปลี่ยนกลายเป็นก้อนหินไปเสียแล้ว ข้าทำให้มันสะเทือนไม่ได้เลย เจ้าช่วยข้าได้หรือไม่”
“ไม่มีปัญหา” หลิงหลงตบหน้าอกแล้วออกมาจากฝ่ามือของซือหม่าโยวเย่ว์ก่อนจะแทรกตัวเข้าไปในอาวุธเทพ หลังจากนั้นจึงบิดตัวแล้วกลายร่างเป็นค้อนอันหนึ่ง แต่ดูแล้วมีขนาดเล็กกว่าค้อนที่แปลงมาจากทักษะวิญญาณของซือหม่าโยวเย่ว์อยู่พอสมควรเลยทีเดียว
“ย้ากกก…”
หลิงหลงร้องตะโกนเสียงดัง ค้อนทุบลงไปบนผิวดินด้วยตัวเอง ผิวดินที่ซือหม่าโยวเย่ว์พยายามอยู่ครึ่งวันก็ยังไร้ซึ่งความเคลื่อนไหวจึงเกิดรอยร้าวคล้ายใยแมงมุมขึ้นมา
…………………………………………