สลับชะตา ชายามือสังหาร - ตอนที่ 362 กลืนไม่เข้าคายไม่ออก
ด้านนอกมีค่ายกลคุ้มกัน ทำให้ไม่ต้องเป็นกังวลกับการโจมตีของสัตว์อสูรวิเศษและมนุษย์คนอื่น พวกเขาจึงเข้าสู่สภา าวะการบำเพ็ญอย่างสมบูรณ์ ตั้งใจว่าหากดูดซับปราณวิญญาณที่นี่ไม่หมด พวกเขาก็จะไม่ตื่นขึ้นมาอย่างแน่นอน
แต่พวกเขาก็ยังเรียกสัตว์อสูรผูกพันธสัญญาหลายตนออกมาเป็นการเผื่อไว้ก่อน หนึ่ง เพื่อป้องกันการพบเจอปรมาจาร รย์ค่ายกลอย่างซือหม่าโยวหลิน สอง เพื่อป้องกันมิให้พวกเขาฝึกยุทธ์มากเกินไป จนเลยเวลาที่กำหนดไว้แล้วถูกทิ งเอาไว้ที่นี่ตลอดกาล
พวกเขาฝึกยุทธ์อยู่ที่นี่ พวกเว่ยจือฉีฝึกยุทธ์อยู่ที่เผ่าพันธุ์หมาป่าหิมะ ส่วนพวกเป่ยกงถังฝึกยุทธ์อยู่ที่เ เผ่าพันธุ์เสือเขี้ยวดาบ ซือหม่าโยวเย่ว์และเพลิงชาดฝึกยุทธ์อยู่ภายในหินหนืด ซึ่งเป็นสถานที่ฝึกยุทธ์ที่เป็น โอกาสอันยิ่งใหญ่ทั้งสิ้น พลังยุทธ์ของพวกเขาจึงก้าวหน้าอย่างรวดเร็วกว่าที่เห็นมากมายนัก
คนอื่นๆ ที่เข้ามามิได้โชคดี หาสถานที่ฝึกยุทธ์ได้รวดเร็วอย่างพวกเขา
ทุกคนต่างยังวิ่งวนอยู่ตามที่ต่างๆ มีคนตายไปบ้างเป็นครั้งคราว และมีบางคนที่หาโอกาสอันดีของตัวเองพบ
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวพวกเขาก็เข้าสู่ครึ่งปีหลังแล้ว
บนทุ่งหญ้าในที่ราบแห่งหนึ่ง มีคนที่ได้รับบาดเจ็บกลุ่มหนึ่งกำลังนอนพักผ่อนอยู่ที่นี่
“พี่หญิง คนตระกูลจานคิดจะทำอะไรน่ะ!” กัวเลี่ยงเห็นบาดแผลบนร่างกัวเพ่ยเพ่ยแล้วจึงเอ่ยอย่างเดือดดาลว่า “พวกเขาคิดจะแตกหักกับพวกเราอย่างสิ้นเชิงหรืออย่างไร”
กัวเพ่ยเพ่ยกินยาวิเศษลงไป แล้วเอ่ยด้วยสีหน้าซีดขาวว่า “ตอนนี้พวกเขารวมหัวกับผู้อื่น หมายจะหว่านแหกำจัดพ พวกเราและตระกูลอวิ๋น รวมทั้งคนของตระกูลคู่อริตระกูลอื่นๆ ด้วย หากเป็นเช่นนี้ เมื่อออกไปแล้วตระกูลเราก็ไม่ม มีหลักฐานว่าเป็นฝีมือของพวกเขา”
กัวฝูก็ได้รับบาดเจ็บเช่นกัน เมื่อได้ยินวาจาของกัวเพ่ยเพ่ย จึงเอ่ยว่า “ไม่รู้ว่าพวกเขาไปรวมหัวกับคนของตระ ะกูลใด จึงได้มีคนที่มีอิทธิพลถึงเพียงนั้น”
“จะต้องเป็นคนที่เข้ามาจากดินแดนเบื้องบนอย่างแน่นอน คนเช่นนี้มีเพียงแค่ในดินแดนแห่งนั้นเท่านั้น” คนตระกูลกั วอีกคนหนึ่งพูด
“ดูเจตนาของพวกเขา เหมือนจะยังต้องการจัดการกับคนของหุบเขามารเทพ เป็นไปได้ว่าจะเป็นขุมอำนาจที่มีความแค้นกับ บหุบเขามารเทพที่ดินแดนเบื้องบน” กัวฝูพูด
“มีความเป็นไปได้มากเลย” กัวเพ่ยเพ่ยพูด “ทุกคนรีบรักษาอาการบาดเจ็บเถิด มิฉะนั้นหากพวกเขาไล่ตามทัน พวกเราก็ ไม่มีเรี่ยวแรงต่อสู้จริงๆ แล้ว!”
“ได้เลยพี่หญิง”
คนตระกูลกัวคนอื่นๆ ไม่พูดอะไรอีก ส่วนคนที่ได้รับบาดเจ็บต่างก็เริ่มฟื้นฟูขึ้นมาบ้างแล้ว
วันต่อมา อาการบาดเจ็บของพวกเขาก็ฟื้นฟูขึ้นมาเป็นลำดับ
กัวเพ่ยเพ่ยลืมตาขึ้นมาก่อน เมื่อเห็นหลายคนยังคงรักษาอาการบาดเจ็บอยู่ นางจึงยืนขึ้นโดยมิได้พูดอะไร แล้ว วมองประเมินบริเวณโดยรอบอย่างละเอียด
บนทุ่งหญ้าอันเวิ้งว้าง ไร้ซึ่งลักษณะพิเศษใดๆ แต่ในขณะที่นางมองเห็นยอดเขาที่อยู่ไกลออกไปนั้นก็ตกตะลึงไป
“ถูกไล่ล่ามาจนถึงที่นี่เชียว” นางพึมพำกับตนเอง
ยอดเขาที่อยู่ไกลออกไปนั้นก็คือสถานที่ที่ตอนนั้นพวกนางกับซือหม่าโยวเย่ว์แยกจากกัน พวกโยวเย่ว์ไปยังดินแดน นของเผ่าพันธุ์หมาป่าหิมะ ส่วนพวกนางก็ไปจากสถานที่แห่งนี้ แล้วมุ่งหน้าไปยังสถานที่แห่งอื่นเพื่อเสาะแสวงหาโอ อกาส
นางหมุนกาย คล้ายจะเห็นทิวเขากลุ่มหนึ่งได้อย่างเลือนรางที่สุดปลายทุ่งหญ้า
“ไม่รู้ว่าพวกเขาจะยังอยู่ที่นั่นกันหรือไม่”
“เป็นไปได้ว่าจะยังอยู่นะ” เสียงของกัวฝูดังแว่วมา กัวเพ่ยเพ่ยมองไป นางก็หายแล้วเช่นเดียวกัน
“เผ่าพันธุ์หมาป่าหิมะบอกว่ามีสถานที่บำเพ็ญให้พวกเขาไปฝึกยุทธ์ ข้าคิดว่าจะต้องมิใช่แค่วันสองวันแน่” กัวฝูเ เดินเข้าไปแล้วพูดพลางมองดูภูเขาหิมะที่คล้ายมีคล้ายไม่มีเหล่านั้น
เห็นได้ชัดว่านางก็นึกขึ้นมาได้เช่นกันว่าสถานที่แห่งนี้ก็คือสถานที่ที่แยกจากกันกับพวกซือหม่าโยวเย่ว์ “ถ ถ้าหากอยู่จริงๆ ไม่แน่ว่าพวกเราอาจหลีกเลี่ยงภัยพิบัตินี้ได้ก็ได้นะ” กัวเพ่ยเพ่ยพูด “เพียงแต่ไม่รู้ว่าเขา จะเต็มใจช่วยเหลือพวกเราหรือไม่”
“น่าจะเต็มใจอยู่หรอก” กัวฝูพูด “พี่อวิ๋นอี้เป็นคนของหุบเขามารเทพ ส่วนเขาก็เป็นเจ้าหุบเขาน้อยแห่งหุบเขาม มารเทพ คนของหุบเขามารเทพถูกคนร่วมมือกันไล่ล่าสังหารพร้อมกันกับพวกเรา เขาคงจะไม่ปลีกตัวหนีไปหรอก”
“หวังว่าจะ… มีคนมา!” กัวเพ่ยเพ่ยพูดขึ้นอย่างฉับพลัน
“คนตระกูลจานไล่ตามมาแล้วหรือ” กัวฝูลนลานขึ้นมาในทันใด
“ไม่รู้สิ ยังสัมผัสกลิ่นอายของอีกฝ่ายไม่ได้เลย” กัวเพ่ยเพ่ยพูด “เจ้าปลุกทุกคนขึ้นมาที เตรียมตัวออกเดินทาง กันได้แล้ว”
“ได้เลย พี่หญิง”
กัวฝูเรียกทุกคนให้ลุกขึ้นมา ในขณะที่พวกเขาเตรียมตัวจะหนีไปอยู่นั้นเอง กัวเพ่ยเพ่ยก็ผ่อนคลายลงอย่างฉับพลัน นแล้วเอ่ยว่า “ไม่ต้องหนีแล้วล่ะ เป็นพวกอวิ๋นเฟิงน่ะ”
ไม่นานนักสัตว์อสูรบินได้ตนหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นท่ามกลางสายตาของพวกเขา ผู้ที่นั่งอยู่บนนั้นก็คือคนตระกูลอ อวิ๋นนั่นเอง
เมื่อเห็นพวกกัวเพ่ยเพ่ยที่อยู่บนพื้น พวกอวิ๋นเฟิงจึงร่อนลงมา
คนตระกูลอวิ๋นแต่ละคนล้วนได้รับบาดเจ็บตามร่างกายเช่นเดียวกัน โลหิตอาบย้อมเสื้อผ้าของพวกเขาจนเปียกโชก
“อวิ๋นเฟิง พี่อวิ๋นอี้เล่า” กัวเพ่ยเพ่ยมองไม่เห็นอวิ๋นอี้ จึงถามขึ้นอย่างเป็นกังวล
“พี่ใหญ่อยู่กับคนของหุบเขามารเทพ มิได้หนีมาพร้อมกันกับพวกเรา แค่กๆ” อวิ๋นเฟิงถูกแทงบนท้องแผลหนึ่ง ซึ่งแท ทบจะพรากชีวิตของเขาไปเสียแล้ว
“เจ้ารีบกินยาวิเศษรักษาอาการบาดเจ็บสิ” กัวเพ่ยเพ่ยพูด
“พวกเรากินยาวิเศษรักษาอาการบาดเจ็บไปจนหมดแล้วล่ะ” อวิ๋นเฟิงพูดด้วยรอยยิ้มขมขื่น
จะเคยคิดเสียที่ไหนกันว่าพวกเขาตระกูลอวิ๋นจะถูกคนบีบคั้นจนถึงระดับนี้ได้
สองเดือนมานี้พวกเขารักษาอาการบาดเจ็บ หลบหนี รักษาอาการบาดเจ็บ หลบหนี สลับไปมาเป็นวัฏจักรเช่นนี้ ยารักษาอาการ รบาดเจ็บจึงหมดเกลี้ยงไปตั้งแต่หลายวันก่อนหน้านี้แล้ว
“เจ้ากินของพวกเราก่อนสิ” กัวเพ่ยเพ่ยหยิบยาวิเศษเม็ดสุดท้ายให้เขา หลังจากนั้นจึงมองคนตระกูลกัวแล้วเอ่ยว่า า “พวกเจ้าคนไหนยังมียาวิเศษอยู่กับตัวอีกบ้างหรือไม่ รีบหยิบออกมาเร็วเข้า”
คนตระกูลกัวรีบหยิบยาวิเศษที่อยู่กับตัวออกมา ซึ่งพอจะมอบให้กับคนตระกูลอวิ๋นได้อย่างพอถูไถ
อวิ๋นเฟิงรู้ว่าพวกกัวเพ่ยเพ่ยก็ไม่มียาวิเศษแล้วเช่นกัน ยังมิทันได้ปฏิเสธก็ได้ยินกัวเพ่ยเพ่ยพูดว่า “พวก กเราสองตระกูลเป็นมิตรกัน ก็เหมือนคนลงเรือลำเดียวกันตั้งนานแล้ว ในสถานการณ์เช่นนี้ ถ้าหากพวกเจ้าดีขึ้นอีกสักห หน่อย พลังการต่อสู้ของพวกเราก็จะยิ่งแข็งแกร่ง เจ้าอย่าปฏิเสธเลยนะ”
อวิ๋นเฟิงมองดวงตาเปล่งประกายของกัวเพ่ยเพ่ยด้วยจิตใจสั่นไหว เขาพยักหน้าแล้วรับยาวิเศษมา
คนตระกูลอวิ๋นเห็นเขากินยาวิเศษแล้วจึงรับยาวิเศษมากินด้วยเช่นกัน
อวิ๋นเฟิงกินยาวิเศษลงไปแล้วปรับลมหายใจอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยว่า “พวกเราเดินทางกันต่อเถิด เป็นไปได้อย่างมา ากเลยทีเดียวว่าคนพวกนั้นจะไล่ตามมา”
“เหตุใดพี่อวิ๋นอี้จึงไม่พาพวกเจ้าไปด้วยเล่า” กัวเพ่ยเพ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ
“อีกฝ่ายมีคนที่แข็งแกร่งมาก” อวิ๋นเฟิงพูด “พี่ใหญ่บอกว่าในพวกเขากลุ่มนั้นมีคนของตำหนักผู้วิเศษอยู่ด้วย”
“ตำหนักผู้วิเศษหรือ” คนตระกูลกัวร้องลั่น
“นอกจากนี้ข้ายังได้ยินพี่ใหญ่พูดว่าคนของถ้ำเมฆขาวก็อยู่ในนั้นด้วยเช่นกัน” อวิ๋นเฟิงพูด “ถ้ำเมฆขาวกับคนของ หุบเขามารเทพเป็นศัตรูที่มิอาจอยู่ร่วมโลกกันได้ พวกเขาร่วมมือกับคนของตำหนักผู้วิเศษจัดการกับคนของหุบเขาม มารเทพ ถ้าหากพวกเราอยู่กับพวกเขาก็จะยิ่งอันตรายเข้าไปใหญ่”
“เช่นนั้นคนตระกูลจานก็ร่วมมือกับคนของตำหนักผู้วิเศษแล้วน่ะสิ!” กัวเพ่ยเพ่ยพูด “ในบรรดาคนที่ไล่ล่าพวกเร รา มีผู้ที่สวมชุดขาวอยู่หลายคน ดูศักดิ์สิทธิ์ไปทั้งร่าง จะต้องเป็นคนของตำหนักผู้วิเศษอย่างแน่นอน”
“พี่ใหญ่อวิ๋นอี้ก้าวเข้าสู่ระดับเทพไปครึ่งตัวแล้ว น่าจะจัดการกับคนของถ้ำเมฆขาวและตำหนักผู้วิเศษได้แล้วกระม มัง” กัวฝูพูด
อวิ๋นเฟิงส่ายหน้า เขามองไปยังทิศทางตอนขามาแล้วเอ่ยว่า “กลัวแต่ว่าพวกพี่ใหญ่จะเคราะห์ร้ายมากกว่าเคราะห์ดีน่ะ สิ…”
“ทำไมเล่า” คนตระกูลกัวตกใจ “คนของตำหนักผู้วิเศษและถ้ำเมฆขาวร้ายกาจถึงเพียงนั้นเชียวหรือ คนของหุบเขามารเทพ ก็น่าจะมีผู้ที่พลังยุทธ์แข็งแกร่งอย่างยิ่งเหมือนกันมิใช่หรือ!”
“มิใช่เพราะเหตุนี้หรอก” อวิ๋นเฟิงพูด “หุบเขามารเทพส่งคนที่มีพลังยุทธ์แข็งแกร่งมาไม่น้อยก็จริง แต่ว่า… มีคนของ งตำหนักผู้วิเศษผู้หนึ่งที่มีสัตว์อสูรเหนือเทพเป็นสัตว์อสูรผูกพันธสัญญาเช่นกัน!”