สลับชะตา ชายามือสังหาร - ตอนที่ 63 ชาติกำเนิดของนาง
เจ้าอ้วนชวีและเว่ยจือฉียังอยากจะตักเตือนเธออีก แต่เมื่อเห็นแววตาแน่วแน่ของเธอแล้วจึงกลืนคำพูดที่เหลือกลับลงไป
“เช่นนั้นเจ้าฝึกยุทธ์ให้ดีๆ แล้วกัน พอถึงเวลาพวกเราจะได้ไปพร้อมกัน” เว่ยจือฉีตบบ่าซือหม่าโยวเย่ว์ก่อนจะเดินออกไป
“อืม เจ้าวางใจได้เลย ข้าจะดูแลเจ้าเอง!” เจ้าอ้วนชวีพูดแล้วเดินตามออกไป
ซือหม่าโยวเย่ว์ปิดประตู เมื่อนึกถึงที่เจ้าอ้วนชวีบอกว่าจะดูแลตนแล้วก็ยิ้มออกมา ถึงแม้ว่าชาติก่อนจะถูกมืออันดับสองทำร้าย ทว่าเรื่องนี้ไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกว่าทั้งโลกมีแต่คนเลวไปหมด จิตใต้สำนึกของเธอยังเชื่อสายตาของตัวเองอยู่ เธอมองออกว่าเจ้าอ้วนชวีและเว่ยจือฉีเห็นตนเป็นสหายอย่างจริงใจ
แต่สิ่งที่เธอไม่รู้ก็คือร่างของเธอแผ่กลิ่นอายชนิดหนึ่งออกมาโดยไม่รู้ตัวเพราะทำพันธสัญญากับมณีวิญญาณ ทำให้คนที่วิญญาณใกล้ชิดกันเข้ามาใกล้เธออย่างไม่รู้ตัว
ซือหม่าโยวเล่อกลับมายังจวนแม่ทัพแล้วเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นที่วิทยาลัยให้ซือหม่าเลี่ยฟังรอบหนึ่ง พอซือหม่าเลี่ยได้ยินว่าคนตระกูลน่าหลานเป็นคนลงมือทำร้ายซือหม่าโยวเย่ว์ก็โมโหจนตบโต๊ะอ่านหนังสือพังทลาย แล้วขบเขี้ยวเคี้ยวฟันเอ่ยว่า “ระยะหลังไอ้ตระกูลน่าหลานนี่คอยลอบทำร้ายตระกูลเรามาตลอด ตอนนี้ถึงกับกล้าลงมือทำร้ายโยวเย่ว์! ดูเหมือนว่าที่โจมตีพวกเขาในระยะหลังๆ นี้ จะน้อยเกินไปสินะ!”
“นั่นสิ ตอนนี้น่าหลานหลานผู้นั้นถูกขับออกจากวิทยาลัยแล้วด้วย ดูจากวิธีจัดการเรื่องราวของตระกูลน่าหลานแล้ว เกรงว่าคงไม่มีทางปล่อยน้องห้าและตระกูลของพวกเราไปอย่างแน่นอน” ซือหม่าโยวเล่อพูด
“เช่นนั้นจะมีอะไรให้น่ากังวลใจกันเล่า! พวกเขาไม่มีทางปล่อยพวกเรา พวกเราก็มิได้คิดจะปล่อยพวกเขาไปเสียหน่อยนี่!” เสียงของซือหม่าโยวหมิงดังแว่วมาจากข้างนอก
ซือหม่าโยวเล่อเห็นซือหม่าโยวหมิงเดินเข้ามาจึงเอ่ยทักทายว่า “พี่รอง ท่านกลับมาแล้วหรือ”
“อื้ม พอกลับมาแล้วก็ได้ยินเรื่องที่เจ้าเล่ามาพอดีเลย” ซือหม่าโยวหมิงพูด “ตระกูลน่าหลานนั้นอาจมาหาเรื่องน้องห้าได้ตลอดเวลาเลย ท่านปู่ ในเมื่อตอนนั้นพวกเรารับปากอีกฝ่ายแล้วว่าจะปกป้องดูแลน้องห้าเป็นอย่างดี ดังนั้นจะปล่อยให้เขาตกอยู่ในอันตรายไม่ได้”
ซือหม่าเลี่ยพยักหน้า
“ท่านปู่ พี่รอง พวกท่านกำลังพูดเรื่องอะไรกันแน่” ซือหม่าโยวเล่อได้ฟังบทสนทนาของทั้งสองคนแล้วก็มองพวกเขาอย่างประหลาดใจ
ซือหม่าเลี่ยและซือหม่าโยวหมิงจึงค่อยนึกขึ้นมาได้ว่าซือหม่าโยวเล่อยังอยู่ และนึกขึ้นได้ว่าเขาไม่รู้ตัวตนของซือหม่าโยวเย่ว์มาโดยตลอด คิดไม่ถึงว่าโทสะเพียงชั่วครู่จะทำให้ลืมเลือนสิ่งนี้ไปเสียได้
ซือหม่าโยวหมิงตบบ่าซือหม่าโยวเล่อแล้วพูดอย่างแฝงนัยลึกซึ้งว่า “ความจริงแล้วน้องห้ามิใช่น้องในไส้ของพวกเราหรอกนะ”
“ท่านว่าอะไรนะ!” ข่าวนี้ทำให้ซือหม่าโยวเล่อตกใจจนตัวสั่นสะท้านไปทั้งร่างพลางมองซือหม่าโยวหมิงอย่างไม่อยากเชื่อ
“นี่เป็นความจริง” ซือหม่าโยวหมิงพูด “ตอนนั้นที่น้องห้ามาบ้านเรา เจ้ายังเล็กนัก ดังนั้นเจ้าจึงจำไม่ได้เป็นเรื่องธรรมดา”
“ความจริงแล้วน้องห้ามิใช่น้องในไส้ของพวกเรา…” ซือหม่าโยวเล่อทวนเช่นนี้ซ้ำอยู่สองรอบ หลังจากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองซือหม่าเลี่ยพลางถามว่า “เช่นนั้นบิดามารดาของน้องห้าคือใครกัน”
“พวกเราก็ไม่รู้เช่นกันว่ามารดาของเขาเป็นใคร แต่บิดาของเขาเคยมีบุญคุณต่อตระกูลซือหม่าของเรา
ตอนนั้นหลังจากที่ยกเขาให้กับพวกเราแล้วเขาก็หายสาบสูญไปเลย สำหรับตัวตนของเขานั้นพวกเราก็ไม่รู้เช่นกัน” ซือหม่าเลี่ยพูด
ตอนนั้นที่ตระกูลซือหม่ามายังสถานที่แห่งนี้แล้วประสบกับอันตราย ก็ได้บิดาของซือหม่าโยวเย่ว์ผ่านมาช่วยพวกเขาเอาไว้ได้พอดี ตอนนั้นพวกเขาได้พูดเอาไว้ว่าในภายหน้าหากมีโอกาสจะตอบแทนเขา คิดไม่ถึงว่าหลายสิบปีต่อมา เขาจะมาหาตนแล้วยกซือหม่าโยวเย่ว์ให้ ทั้งยังกำชับเขาเอาไว้ด้วยว่ามิอาจให้ผู้อื่นล่วงรู้ตัวตนว่าซือหม่าโยวเย่ว์เป็นอิสตรี ในตอนนั้นตระกูลซือหม่าเหลือผู้สืบทอดอยู่เพียงแค่ซือหม่าเลี่ยเพียงผู้เดียว
เพื่อปกป้องซือหม่าโยวเย่ว์ เขาจึงบอกกับโลกภายนอกว่าเป็นบุตรชายเขาเองที่พากลับมา แต่ความจริงในตอนนั้นบุตรชายของเขาได้หายตัวไปหลายปีแล้ว
ไม่พูดไม่ได้ว่าบิดามารดาของซือหม่าโยวเย่ว์นั้นหายสาบสูญไปเช่นเดียวกับบิดามารดาที่แท้จริงของนาง
ตอนนั้นซือหม่าโยวเล่อยังเล็กเกินไป ดังนั้นจึงจำความมิได้ แต่ซือหม่าโยวฉี ซือหม่าโยวหมิง และซือหม่าโยวหรานต่างก็รู้ว่าซือหม่าโยวเย่ว์มิใช่น้องในไส้ของพวกเขา แต่พวกเขามิได้คิดว่านางเป็นคนนอกสักนิด ทั้งยังรักใคร่ทะนุถนอมซือหม่าโยวเย่ว์มาโดยตลอด ประดุจลูกคนเล็กสุดของตระกูลซือหม่า
ซือหม่าโยวเล่อมองท่านปู่ของตนแล้วมองพี่ชาย เห็นคนทั้งสองดูไม่เหมือนว่ากำลังพูดปด จึงค่อยๆ ตกตะกอนข้อมูลนี้ในใจช้าๆ
“ท่านปู่ ตอนนั้นคนผู้นั้นมีบุญคุณช่วยชีวิตท่านและตระกูลซือหม่า วันนี้พวกเราก็มิอาจมองดูผู้อื่นมาทำร้ายน้องห้าได้” ซือหม่าโยวหมิงพูดอย่างเด็ดขาด
“อืม ตระกูลน่าหลานหาเรื่องทำร้ายตระกูลเรามาโดยตลอด เจ้าพาคนของกลุ่มองครักษ์เงาไปที่รอบๆ วิทยาลัย เมื่อใดที่โยวเย่ว์ออกจากวิทยาลัยให้คอยปกป้องเขาอย่างลับๆ อย่าให้คนของตระกูลน่าหลานทำร้ายเขาได้” ซือหม่าเลี่ยพูด “ส่วนภายในวิทยาลัย ข้าเชื่อว่าเฟิงจือสิงย่อมไม่มีทางปล่อยให้เขาเกิดอันตรายแม้แต่ปลายผมอย่างแน่นอน”
“นั่นสิ ที่แท้แล้วเฟิงจือสิงผู้นั้นเป็นใครกันแน่” ซือหม่าโยวเล่อถามอย่างใคร่รู้
ซือหม่าเลี่ยส่ายหน้า “ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน ข้าเคยถามตาแก่ที่วิทยาลัยผู้นั้นแล้ว ทว่าแม้กระทั่งเขาเองก็ไม่รู้ตัวตนที่แท้จริงของเฟิงจือสิงเช่นกัน รู้เพียงแค่ว่าเขาน่าจะเป็นคนที่มาจากที่อื่น ทั้งยังมาเพราะโยวเย่ว์อีกด้วย”
“มาเพราะน้องห้าอย่างนั้นหรือ”
“อืม” ซือหม่าเลี่ยพูด “โยวเย่ว์พกป้ายชีวิตอันหนึ่งติดตัวเอาไว้ด้วย สิ่งของอย่างป้ายชีวิตนั้นมิใช่สิ่งที่คนทั่วไปจะมีได้ โดยทั่วไปแล้วต้องเป็นคนที่อยู่ในตระกูลใหญ่เท่านั้นจึงจะมีได้ นอกจากนี้ยังต้องวางอยู่ในโถงบรรพบุรุษของตระกูลอีกด้วย โยวเย่ว์มีป้ายชีวิต แต่กลับถูกบิดาของเขานำออกมา มิได้วางอยู่ที่โถงบรรพบุรุษ ชี้ให้เห็นว่าตัวตนของเขาต้องไม่ธรรมดาแน่ แต่กลับไม่ปลอดภัย”
พูดถึงป้ายชีวิตของซือหม่าโยวเย่ว์ สองพี่น้องซือหม่าโยวเล่อต่างนึกไปถึงช่วงเวลาหลายเดือนที่ซือหม่าโยวเย่ว์หายสาบสูญไป พวกเขาอาศัยป้ายชีวิตที่สมบูรณ์นั่นหล่อเลี้ยงจิตใจ จึงไม่วิปลาสไปเสียก่อน
“คล้ายว่าที่โลกแห่งนี้ของพวกเราจะไม่เคยได้ยินว่ามีคนที่ครอบครองของอย่างป้ายชีวิตนี้มาก่อนเลยนะ” ซือหม่าโยวเล่อพูด
“ใช่ คนของโลกแห่งนี้ย่อมไม่มีทางสร้างมันขึ้นมาได้อยู่แล้ว” ซือหม่าเลี่ยพูด “ไม่มีแม้กระทั่งวัตถุที่ใช้หลอมป้ายชีวิต ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าต้องใช้พลังยุทธ์อันแข็งแกร่งเลย”
“ดังนั้นตัวตนของน้องห้า อาจจะมิใช่คนของโลกแห่งนี้อย่างนั้นหรือ” ซือหม่าโยวหมิงถาม
“นี่เป็นเพียงแค่การคาดเดาของข้าเท่านั้นเอง” ซือหม่าเลี่ยพูด “แต่ตอนที่เฟิงจือสิงมาที่บ้านแล้วต้องการดูป้ายชีวิตของโยวเย่ว์ได้พูดมาประโยคหนึ่งว่าเขาได้อยู่ตอนที่สร้างป้ายชีวิตของโยวเย่ว์ด้วย บ่งชี้ว่าเขาก็น่าจะเป็นคนของสถานที่แห่งนั้นเช่นเดียวกัน นอกจากนี้ยังรู้ตัวตนที่แท้จริงของโยวเย่ว์อีกด้วย!”
“เช่นนั้นเขาจะบอกตัวตนที่แท้จริงของน้องห้าให้น้องห้ารู้หรือไม่” ซือหม่าโยวหมิงขมวดคิ้ว
“ตอนนี้น่าจะยังหรอก” ซือหม่าเลี่ยพูด “ข้าดูท่าทางของเขาแล้วเหมือนจะมาคอยดูชีวิตของโยวเย่ว์มากกว่า มิได้คิดจะมาบอกความจริงเรื่องของเขาหรอก”
ได้ยินซือหม่าเลี่ยพูดเช่นนี้ ซือหม่าโยวหมิงและซือหม่าโยวเล่อก็พากันถอนหายใจ ต่อให้ซือหม่าโยวเย่ว์มิใช่น้องในไส้ของพวกเขา แต่ใช้ชีวิตด้วยกันมานานปีถึงเพียงนี้ ทั้งยังมีความสัมพันธ์ฉันพี่น้อง พวกเขาย่อมไม่อยากให้มีใครมาทำลายชีวิตเช่นนี้อยู่แล้ว
“เอาละ โยวเล่อ เจ้ากลับไปที่วิทยาลัยได้แล้ว ข้ากับโยวหมิงจะปรึกษากันสักหน่อยว่าจะจัดการกับตระกูลน่าหลานเช่นไรดี” ซือหม่าเลี่ยพูด
“ได้ขอรับ หากมีเรื่องอันใดอยากให้ข้าทำก็ต้องบอกข้าด้วยนะ ข้าก็เป็นส่วนหนึ่งของตระกูลซือหม่าเช่นกัน!” ซือหม่าโยวเล่อพูดอย่างจริงจัง
“ภารกิจของเจ้าในตอนนี้ก็คือฝึกยุทธ์ให้ดีๆ และดูแลน้องห้าตอนอยู่ในวิทยาลัยก็พอแล้ว” ซือหม่าโยวหมิงตบบ่าซือหม่าโยวเล่อ
“ถ้าเช่นนั้นข้ากลับก่อนนะขอรับ” ซือหม่าโยวเล่อยักไหล่ก่อนจะออกไปจากห้องหนังสือ
ซือหม่าโยวหมิงเห็นซือหม่าโยวเล่อจากไปแล้วจึงหันมามองซือหม่าเลี่ยก่อนจะถามว่า “ท่านปู่ ท่านคิดจะจัดการกับตระกูลน่าหลานเช่นไรหรือ…”
…………………………………