Midterm Fantasy - ตอนที่ 102
การสอบแข่งขันวิชาการผ่านไปอย่างรวดเร็ว สำหรับนักเรียนม.ต้นจากโรงเรียนเดียวกัน คนที่มาสอบวิชาการทั้ง 3 วันนั้นมีแค่รอนกับแพทเท่านั้น นอกนั้นก็เปลี่ยนหน้ากันไป
ส่วนหนึ่งเป็นเพราะว่าเนื้อหาที่ใช้สอบมันรวมไปถึงเนื้อหาที่ยังไม่ได้เรียน ดังนั้นการที่จะมาสอบแข่งขันได้แปลว่าต้องมีการอ่านมาก่อน และสำหรับคนอื่นๆที่ไม่ได้มีสกิลข้ามโลกเหมือนรอนกับแพท เวลาในการอ่านหนังสือในแต่ละวันนั้นมีไม่กี่ชั่วโมง ต่างจากทั้งสองที่สามารถข้ามไปอีกฝั่ง อ่านได้ตลอด 24 ชั่วโมงโดยที่ไม่ง่วงเลยสักนิด
การสอบในสองวันถัดมาไม่มีอะไรมากนัก คนคุมสอบของห้องสอบนั้นถูกเปลี่ยนตัว คนที่มาสอบในวันถัดมาส่วนใหญ่ก็ไม่ใช่คนที่สอบวันแรกพร้อมกับรอน เลยไม่มีใครรู้ว่ารอนมีเรื่องกระทบกระทั่งอะไรขึ้น
มีแค่คนเดียวที่รู้ คือเด็กหนุ่มแว่นหนาที่ชื่อว่าพิเชฐคนนั้น
ความรู้สึกของรอนที่มีต่อพิเชฐนั้นค่อนข้างดี เพราะวันนั้นที่รอนเกิดปัญหาไม่มีดินสอทำข้อสอบ มีคนนี้เพียงคนเดียวที่ให้ยกมือเสนอตัวจะแบ่งดินสอให้ทั้งที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน นอกจากนี้การวางตัวและแนวคิดบางอย่างก็น่าสนใจ
ตัวอย่างเช่นหลังจากออกจากห้องสอบในการสอบช่วงเช้าของวันที่สอง
“เฮ้ย ข้อ 32 ตอบช้อยอะไรวะ เราตัดช้อยแล้วเหลือแต่ข้อ ก กับข้อ ข ”
“ข้อ 40 เราตอบข้อ ค. นายตอบอะไร”
“เราตอบข้อ ค.”
“เราตอบก.”
“เฮ้ย ค. มั้ง”
“ไม่จริงน่า แบบนี้หรือว่าเราจะตอบผิด” คนที่ตอบก. ร้องขึ้นอย่างเสียดาย
“พิเชฐ ข้อ40ตอบอะไร”
ทุกคนหันไปมองเด็กหนุ่มที่กำลังอ่านสรุปทบทวน
“ตอบ ก.”
“ไม่จริงน่า ทำไมเป็นยังงั้นล่ะ” คนที่ตอบ ค.ร้อง
“เรื่องมันยาว มีในหนังสือแล้ว แต่คำตอบก็ส่งไปแล้ว พวกนายรู้ว่าถูกหรือผิดก็ไม่มีประโยชน์ เอาเวลาเตรียมสอบรอบถัดไปดีกว่า”
รอนฟังอย่างเห็นด้วย คนส่วนมากออกจากห้องสอบแล้วมาเทียบคำตอบกัน ถ้าตอบตรงกับคนส่วนใหญ่ก็จะเบาใจ ถ้าตอบไม่ตรงก็เสียกำลังใจ
แต่ถึงตอบตรงกัน ก็ใช่ว่าจะถูกต้องเสมอไป
การเทียบคำตอบที่หน้าห้องสอบจึงไม่ช่วยอะไรในคะแนนที่ทำไปแล้ว นอกจากเสียเวลาแล้วยังทำให้รบกวนสมาธิในการสอบรอบถัดไปอีกต่างหาก และแม้บางคนจะเถียงว่าการฟังและรู้ว่าตนเองตอบถูกบ้างจะทำให้มีกำลังใจ แต่ทุกๆคนจะต้องมีข้อที่ ‘พลาด’ หรือ ‘คำตอบไม่เหมือนคนอื่น’ บ้าง และเจ้าข้อที่ผิดนี่แหละจะสร้างความเสียกำลังใจและรบกวนการสอบถัดไปได้มากกว่า
นานๆรอนจะเจอคนที่คิดคล้ายๆกัน ทำให้เขารู้สึกสนใจพิเชฐคนนี้เป็นพิเศษ
สำหรับวันที่4 วันพฤหัส พิเศษกว่าวันอื่นตรงที่เป็นการแข่งขันความสามารถทางกีฬา ด้วยว่าโรงเรียนของแพทและรอนเป็นโรงเรียนที่มุ่งการเรียนมากกว่าเลยทำให้ไม่มีนักเรียนคนอื่นๆมาร่วมแข่งด้วย วันนี้แพทและรอนจึงมาด้วยกันแค่สองคน และเมื่อมาถึงแล้วก็รับรู้ได้ว่าทำไมถึงไม่มีนักเรียนโรงเรียนตนเองมาสอบ
“รอน ดูกล้ามนั่นสิ” แพทชี้ไปที่นักเรียนม.3คนที่กำลังถอดเสื้อนักเรียนออก หนั่นเนื้อเนินอกที่อัดแน่นฉาบไปด้วยเหงื่อบางๆ เสื้อกล้ามสีเทาที่ฉ่ำเหงื่อสีเข้มขึ้นเป็นหย่อมๆ หยดเหงื่อพรายสะท้อนแสงอาทิตย์เป็นประกาย
“ง ง งดงาม” เด็กหนุ่มพูดขึ้นมา ตาทั้งสองจ้องตามไม่กระพริบจ้องไปยังเหล่าเด็กหนุ่มที่กำลังโชว์กล้ามกันอยู่ แล้วก็เลยไปจนเห็นเข้ากับคนที่คุ้นหน้าคนหนึ่งที่กำลังถอดเสื้อวอร์มร่างกายอยู่
พิเชฐ?
นักเรียนแว่นหนาเด็กเนิร์ดคนนั้นมาทำอะไรที่นี่ ในการแข่งขันกีฬาแบบนี้
ดูเหมือนพิเชฐจะสังเกตเห็นรอนและแพท เด็กหนุ่มคนนั้นโบกมือให้ทั้งคู่แล้วเดินตรงมาหา
“คุณรอนสวัสดีครับ แล้วนี่คุณ..”
“แพทค่ะ” เด็กสาวพยักหน้ายิ้มให้
“คุณพิเชฐ วันนี้ก็มาแข่งด้วยเหรอครับ” รอนถาม
“ใช่ครับ” เด็กหนุ่มขยับแว่นกลมขึ้น “พวกคุณสองคนก็สอบครบทุกวันเหมือนผมเลย ท่าทางจะต้องการเอารางวัลไปใช้ต่อม.ปลายใช่ไหมครับ”
“โอ๊ะ ใช่ครับ หรือว่าคุณก็เหมือนกัน” รอนถาม
พิเชฐเดินพาทั้งสองคนกลับไปตรงที่วางกระเป๋าของตนแล้วนั่งคุยกัน
“ผมกับแพท เราสองคนมีคะแนนม.ต้นแย่มากครับ แต่ที่โรงเรียนบอกว่าถ้าได้รางวัลเวลาสอบจะช่วยให้เลือกสายได้ตอนเลื่อนชั้นขึ้นม.4 พวกเราก็เลยตั้งใจสอบให้ครบทั้ง4วัน” รอนบอก “แต่นี่ผมแปลกใจที่เห็นคุณพิเชฐมาสอบครบทั้ง4วัน ดูคุณเรียนเก่งจนเป็นที่พึ่งการติวของเพื่อนๆได้ไม่น่าจะต้องมาสอบวันที่4นี่ด้วยเลย”
“ผมต้องการสอบแข่งขันชิงรางวัลเพื่อจะได้เอาไปใช้ยื่นขอทุนครับ” พิเชฐตอบ “อันที่จริงผมก็นึกว่าพวกคุณจะมาสอบเพื่อเอารางวัลไปชิงทุน แต่พอพวกคุณบอกว่าจะเอาไปใช้เลื่อนชั้นผมก็แปลกใจอยู่”
“คนที่คะแนนแย่จนเลื่อนชั้นแล้วมีปัญหาไม่น่าจะมาสอบแข่ง แถมยังสอบแข่งทุกรายการอีก” เขาบอกต่อ “แถมดูจากสมุดเรียนของคุณรอนเมื่อวาน ไม่น่าจะได้คะแนนต่ำจนมีปัญหาได้เลย”
“แฮะๆๆ” รอนเกาหัว
ทั้งสามคนนั่งมองนักเรียนที่กำลังวอร์มร่างกายหรือสำรวจสนามแข่งอยู่ นักเรียนที่มาร่วมแข่งนี้ต่างจากสามวันแรกลิบลับ
“ว่าแต่พวกคุณจะลงแข่งอะไรครับ” พิเชฐถาม
“พวกเรายังไม่ได้ตัดสินใจเลยค่ะ” แพทตอบ
พิเชฐทำหน้างงไปครู่นึง “เอ่อ แต่ว่าการแข่งขันนี้มันต้องซ้อมมาก่อนนะครับ คู่แข่งทั้งหลายเป็นนักกีฬาสมัครเล่นก็จริง แต่ทุกคนฝึกซ้อมกันมาตลอดเป็นปีๆเพื่อการแข่งนี้นะครับ”
“แฮะๆๆ” รอนเกาหัวยิ้มแห้งๆอีกรอบ “ว่าแต่คุณพิเชฐลงแข่งอะไรเหรอครับ”
“วิ่ง10กิโลเมตรครับ” เขาตอบด้วยสีหน้าภาคภูมิใจ “ผมซ้อมวิ่งวันเว้นวันมาตลอด2ปี ถ้าได้รางวัลนี้ล่ะก็ ผมมั่นใจว่าจะต้องเป็นคนแรกของโรงเรียนที่พิชิตการแข่ง 4 วิชานี้ได้ทั้งหมด”
“ซ้อมวันเว้นวัน!” รอนอุทาน
“สองปี!” แพทอุทานต่อ
“ครับ 2 ปี ยังดีที่ผมชอบวิ่งมาก่อนนะเลยมีพื้นฐานบ้าง พวกที่คุณสองคนเห็นอยู่นั่นบางคนฝึกซ้อมกันมาตั้งแต่ประถมเลยด้วยซ้ำเพราะการแข่งนี้มันเป็นอนาคตใบเบิกทางเข้าวิทยาลัยกีฬาได้เลย”
“ที่ผ่านมา 2 ปี ผมมีท้อบ้างเหมือนกันที่ต้องทั้งอ่านหนังสือและต้องซ้อมกีฬา จะหาเวลาดูหนังดูซีรียส์เล่นเกมเหมือนคนอื่นก็ลำบาก อยากจะเล่นเกมใจจะขาดแต่ว่าต้องเหนื่อยต้องซ้อมเพื่ออนาคต ผมคิดว่าทุกคนที่มาในวันนี้ก็คงคล้ายๆกัน”
คนคุมการแข่งคนหนึ่งถือโทรโข่งประกาศข้ามสนามมา
“นักเรียนทุกคนมาลงทะเบียนแข่งขันได้ เราจะเริ่มแข่งในอีก 15 นาทีนี้แล้ว”
พิเชฐโบกมือให้ทั้งสองก่อนจะหยิบกระเป๋าลุกเดินไปเตรียมลงทะเบียน ขณะที่รอนและแพทนั่งมองหน้ากัน
“รอน แพทว่าจะไม่ลงแข่งล่ะ”
“อืม ผมก็เหมือนกัน”
ทั้งสองคนยิ้มให้แก่กันอย่างรู้ใจ
“ของผมมั่นใจว่า 3 วิชาที่ผ่านมาต้องได้รางวัลทั้ง 3 วิชาแหละ อย่างน้อยๆก็ต้องเหรียณทองแดง”
“แพทก็มั่นใจแบบนั้นเหมือนกัน เราไม่ต้องไปแข่งวันนี้แล้วล่ะ”
ทั้งคู่คิดตรงกันว่าพลังของร่างกายของทั้งสองที่ได้มาจากศิลานักปราชญ์มันมากเกินจนถือว่าขี้โกงไป
ถ้าเป็นการเรียน อย่างน้อยที่สุดเขาก็อ่านเองทำข้อสอบเอง
แต่เรื่องกำลังที่เพิ่มขึ้น มันได้มาจากศิลานักปราชญ์ล้วนๆ
จะเอาเปรียบคนที่หมั่นฝึกฝนฝึกซ้อมมาตลอดแบบนี้ก็ดูจะเป็นการเอาเปรียบเกินไป
“เราไปนั่งดูกันเถอะ ไปดูนายพิเชฐนั่นวิ่งก็ได้” รอนชวน
“อือ อ้อ รอน ว่าแต่เธอไปรู้จักเพื่อนต่างโรงเรียนตั้งแต่ตอนไหนกัน” แพทถามอย่างสนใจ
“เปล่านี่ เราไม่เคยรู้จักกันนะ ที่เรารู้ชื่อเค้าก็ที่เมื่อวันจันทร์นั่นไง มีคนเรียกชื่อเค้าเราก็เลยรู้” รอนตอบ
“อ้าว แต่เค้ารู้จักชื่อเธอนี่นา”
“เออ จริงด้วยแฮะ”
รอนนึกอย่างแปลกใจเพราะเขามั่นใจว่าเขาเพิ่งเจอกับเด็กหนุ่มคนนี้เป็นครั้งแรกแน่ๆ
แต่จะไปถามตอนนี้ก็ช้าไปแล้ว เพราะพิเชฐไปลงทะเบียนแล้วเดินไปที่จุดสตาร์ทที่ฝั่งตรงข้าม เดินไปวางกระเป๋าที่ข้างๆสระว่ายน้ำข้างๆลานแข่งยกน้ำหนัก
ปัง! เสียงสัญญาณวิ่ง10กิโลเมตรดังขึ้น นักวิ่ง40คนออกวิ่งไปพร้อมๆกัน พิเชฐวิ่งฉีกนำไปก่อนและวิ่งชิดขอบสนาม ทิ้งระยะห่างจากกลุ่มประมาณ10เมตรแล้วรักษาความเร็วเอาไว้แค่นั้น
เด็กทั้งสองคนมองดูการแข่งที่เริ่มขึ้นรอบๆ ดูเหมือนทุกสนามก็กำลังแข่งกันอย่างดุเดือด ทั้งวิ่งร้อยเมตร กระโดดไกล กระโดดสูง ยกน้ำหนัก ว่ายน้ำฯลฯ ความมุ่งมั่นของทุกคนกำลังแผ่ขยายออกมาจนรู้สึกได้
ไม่ได้ลงแข่งก็ได้ ถือซะว่ามาพักก็แล้วกัน ทั้งคู่คิดแบบนั้น
“ปีนี้ก็แข่งกันดุเดือดเหมือนเคยนะครับเจ้านาย”
“ใช่ ดูเหมือนปีนี้ทุกคนเตรียมตัวกันมาดี”
การันต์เดินดูการแข่วขันที่กำลังดุเดือด กลุ่มยกน้ำหนักและว่ายน้ำแข่งจบไปแล้ว ส่วนกลุ่มกรีฑาที่มีการแข่งหลายรอบก็กำลังแข่งกันอยู่ วิ่ง 10กิโลเมตรก็กำลังเข้าสู่ช่วงสุดท้าย พิเชฐกำลังทิ้งห่างที่สองไปประมาณ200เมตร
การันต์เดินไปนึกถึงการสอบสามวันที่ผ่านมา
เพราะเด็กหนุ่มที่ชื่อรอนคนนั้นแท้ๆเขาเลยได้ค้นพบปัญหาในบริษัทจัดการสอบของเขา
เขาลองลงมือสอบสวนเหตุที่นักเรียนถูกกาหัวกระดาษทุจริตทุกราย และก็พบว่าปัญหามันคล้ายๆกันคือเจ้าหน้าที่กาหัวกระดาษโดยไม่มีเหตุผลอันสมควรหลายคน
ปัญหาที่เกิดแบบนี้ก็เพราะเจ้าหน้าที่กลัวเหตุแบบปีก่อนโน้นที่การละเว้นผ่อนปรนบางทำให้เกิดเป็นข่าวและเจ้าหน้าที่ต้องมารับผิดชอบเรื่องที่เกิด พอไม่มีใครกล้ารับผิดชอบอย่างไม่จำเป็นก็เลยยึดกฎแบบเถรตรง หรือไม่ก็ยึดแบบประสาทกินแบบที่เกิดขึ้นในวันจันทร์
การันต์ค่อยๆค้นหาสาเหตุและก็พบว่ามันเกิดมาจากการขาดคน เขาไม่ได้เพิ่มคนทั้งๆที่การสอบใหญ่ขึ้นเรื่อยๆทุกปี จนเจ้าหน้าที่ที่มีเดิมไม่เพียงพอ นี่ถ้าไม่ใช่เพราะรอนล่ะก็ ป่านนี้เขาคงไม่รู้ว่าเกิดเรื่องแบบนี้
“ตรงนั้นน่ะ ลานแข่งยกน้ำหนักมันใกล้กับสระน้ำเกินไปนะ” เขาชี้
“ครับ ตรงนั้นเป็นจุดวางกระเป๋าด้วยครับ เรามีคนเฝ้าของจำกัด เลยต้องรวบสนามไปไว้ใกล้กันครับ”
“ปีหน้าต้องจ้างคนเพิ่มแล้วแยกพื้นที่ออก ถ้าตุ้มน้ำหนักตกลงไปจะเกิดเรื่องได้” การันต์บอก แต่ปีนี้ตรงลานยกน้ำหนักกับว่ายน้ำแข็งเสร็จแล้วคงไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแล้วล่ะมั้ง ขณะที่ลูกน้องเหลือบมองไปที่เจ้านายที่พูดปักธงแบบน่ากลัว
ธงโบกสะบัด พิเชฐเข้าเส้นชัยเป็นอันดับหนึ่งในการแข่งวิ่ง 10 กิโลเมตร
“เยี่ยมจริงๆ”
“ใช่”
แพทและรอนโบกมือให้พิเชฐที่เข้าเส้นชัยแล้วมองตามไป รอนว่าจะไปถามอยู่ว่าพิเชฐรู้จักชื่อของเขาได้ยังไง
ส่วนเด็กหนุ่มผู้ยังหอบเหนื่อยอยู่ค่อยๆเดินหลบออกจากสนามตัดลานแข่งยกน้ำหนักเพื่อไปเก็บกระเป๋า ความเหนื่อยล้าทำให้เขาเดินขาสั่นจนไปชนที่ตั้งบาร์เบล
กึ้ง! ครึ่กๆๆๆ
บาร์เบลที่หนักอึ้งกลิ้งไปตามพื้นมุ่งสู่สระว่ายน้ำ พิเชฐรีบวิ่งตามแล้วก้มลงคว้าโดยไม่คาดคิดว่าน้ำหนักมันจะมากกว่าที่เขาคาดคิด
“เฮ้ยๆๆ เหวอ”
ร่างที่ก้มลงจับเสียหลักถูกบาร์เบลดึงไปข้างหน้า ขาที่อ่อนแรงทำให้สะดุด ล้ม แล้วบาร์เบลก็กลิ้งตกขอบอย่างรวดเร็วพร้อมกับร่างที่ปล่อยมือไม่ทัน
ตู้ม!
เด็กเฝ้ากระเป๋าซึ่งเป็นคนเดียวที่อยู่บริเวณนั้นวิ่งไปที่สระน้ำแล้วกระโดดลงไปช่วยอย่างไม่ลังเล
รอนและแพทที่เห็นเหตุการณ์ลุกยืนอย่างกังวล แล้วเด็กเฝ้ากระเป๋าก็โผล่ขึ้นจากน้ำตะโกนออกมา
“ช่วยด้วย บาร์เบลทับคนอยู่ใต้น้ำ ผมยกไม่ขึ้น”
“รอน เราไป…” แพทหันไปพูดไม่ทันจบ ก็รับรู้ได้ถึงสายลมวูบหนึ่งที่พัดออกมา ก่อนจะกวาดสายตามองตามแผ่นหลังของรอนที่วิ่งออกไป