Midterm Fantasy - ตอนที่ 11
ฝูงบราวนี่เปลี่ยนเป้าหมายไปยังรอน พวกมันล้อมต้นไม้ไว้และพยายามตะกุยขึ้นไปอย่างไร้ผล เพียงครู่เดียวเด็กหนุ่มก็ง้างหนังสติ๊กและเล็งยิงพวกมันทีละตัวๆ ซากบราวนี่ที่ล้มลงตายที่พื้นนับสิบ ทำให้พวกมันโมโหมากขึ้น แต่เมื่อเห็นว่าขึ้นไปไม่ได้แน่ๆมันก็เริ่มกระจายหนีไปทีละตัวๆ
รอนมองในกระเป๋า เหลือลูกเหล็ก10กว่าลูก … เขาเลยเปลี่ยนมาใช้ลูกหินแทน
เมื่อเทียบกับลูกเหล็กแล้วขนาดที่ใหญ่กว่าและน้ำหนักที่เบากว่าของหินทำให้ขาดแรงทะลุแบบลูกเหล็ก แต่หากยิงโดนหัวสัก2-3ครั้งก็เพียงพอที่จะล้มมันได้
รอนเล็งยิงอย่างใจเย็น เพียงครู่เดียวบราวนี่ที่เหลือก็หลบหนีไปจนหมด
เด็กหนุ่มมองไปที่ใต้ต้นไม้ที่เขาอยู่ก่อนจะค่อยๆปีนลงไป ซากบราวนี่นอนเกลื่อนอยู่ เขาเตรียมเดินไปหาโรล่าตอนที่ได้ยินเสียงตะโกน
“ระวังค่ะ! พวกมันกลับมาอีกแล้ว”
เสียงของเด็กสาวร้องเตือนมา เขามองตามไปเห็นบราวนี่สีน้ำตาล7ตัววิ่งตรงมาทางเขาห่างไปไม่ถึง10เมตร เขาคว้ากระทะมาไว้ในมือซ้ายถือห้อยกันไว้ระดับเข่า มือขวาคว้ามีดทำครัวออกมา
เป๊ง! กี๊ดๆ
เสียงร่างสีน้ำตาลเล็กพุ่งปะทะกระทะอย่างจังแล้วล้มลง รอนตวัดมีดไปด้านขวาถูกบราวนี่ตัวหนึ่งที่หลบไม่ทันจนคอหลุดขาด ก่อนจะส่งคอมแบทสีดำเหยียบทับลงไปบนหัวเล็กๆของตัวที่นอนอยู่ดังกร๊อบ ตอนนี้บราวนี่5ตัวรุมที่ขาและเท้าของเขาแต่รองเท้าหนังหนาหนักทำให้พวกมันกัดได้อย่างไม่ถนัดเท่าไหร่แถมยังเป็นเป้าให้รอนแทงมีดลงไปได้อย่างสบาย
กี๊ดๆๆๆ
ร่างสีน้ำตาลร้องอย่างเจ็บปวดก่อนจะถีบตัววิ่งไปพร้อมมีดที่ปักคาหลัง รอนใช้มือทั้งสองข้างจับด้ามกระทะ กระทะที่เคยใช้เป็นโล่ ตอนนี้ถูกใช้เป็นอาวุธแทน เขากระหน่ำฟาดจนบราวนี่ล้มลงก่อนจะถูกเหยียบซ้ำ
สุดท้ายเมื่อเห็นว่าสู้ไม่ได้แน่ๆ บราวนี่สองตัวก็วิ่งหนีไป
รอนมองไปรอบๆ เขาเห็นโรล่าอยู่ห่างไปไม่ไกล เธอปีนลงจากต้นไม้มาพร้อมกับมีดในมือ ส่วนกลุ่มชายที่เคยอยู่ตรงหน้าหมู่บ้าน ตอนนี้มี5คนที่อยู่ไม่ห่างไปจากเขา ทุกคนเตรียมเข้ามาช่วยรอนตอนที่เห็นว่าเขาต้องถูกรุมแน่ๆ ดูทุกคนโล่งอกที่เขาไม่เป็นอะไรมาก
[พลังชีวิต 39.3/44*]
รอนเช็คพลังชีวิต พลังโดยรวมเพิ่มขึ้นเล็กน้อย และดูเหมือนว่าชุดที่ใช้จะป้องกันการโจมตีได้ดีทีเดียว
“ขอบคุณมากครับ ท่านนี้คือ…..” ชายคนหนึ่งในกลุ่มพูดขึ้น
“ผมชื่อรอนครับ เมื่อครู่ผมเดินทางผ่านมาแล้วเห็นบราวนี่ล้อมโรล่าไว้ เลยช่วยและพามาส่ง” รอนตอบ
“แล้วจาร์ดีนอยู่ที่ไหน” ชายคนนั้นถามเด็กสาว
แทนคำตอบ เธอส่งเชือกผูกข้อมือให้ ทุกคนมองอย่างเงียบกริบไม่พูดอะไร รอนมองไปด้านหลังตรงที่มีร่างสามร่างนอนนิ่งที่พื้น มีคนในหมู่บ้านกำลังช่วยกันตัดเชือกผูกข้อมือ บางร่างมีผู้หญิงและเด็กร้องไห้อยู่ข้างๆ
“พวกเราต้องขอขอบคุณท่านมากที่ช่วยเอาไว้ ถ้าไม่ได้ท่าน ไม่รู้ว่าพวกเราจะต้องสูญเสียมากกว่านี้อีกกี่คน” ชายคนนั้นพูด “แต่ต้องขอบอกตามจริง พวกเราไม่มีสิ่งตอบแทน และยังอยากจะขออะไรท่านเพิ่มเติมอีก”
รอนมองหน้าชายทุกคนตรงนั้นซึ่งต่างคนต่างทำหน้ากระอักกระอ่วน
“เราจะขอซากบราวนี่ที่ท่านสังหารทั้งหมดนี้ได้หรือไม่”
“ได้ครับ” รอนตอบทันทีแบบไม่ต้องคิด เขาไม่มีความจำเป็นต้องใช้ซากพวกนี้อยู่แล้ว
เหล่าผู้ชายในที่นั้นมีสีหน้ายินดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด “ขอบคุณท่านมาก … ตอนนี้หมู่บ้านของพวกเราขาดแคลนอาหาร ไร่ที่พวกเราทำก็ถูกทำลายจากบราวนี่กับกอบลิน จะออกไปหาอาหาร สัตว์อื่นก็หนีไปหมด … ยิ่งมาเกิดโรคระบาดแบบนี้…”
“ที่นี่มีคนอาศัยเท่าไหร่”
“ตอนนี้เรามีคนอยู่ราวๆ100 คน” โรล่าบอก ” ก่อนนี้เราเคยมีคนอยู่200กว่าคน จนกระทั่งเมื่อหกเดือนก่อนมอนสเตอร์ออกมาบ่อยขึ้น ทำลายพื้นที่เพาะปลูก จับสัตว์เลี้ยง ทำให้คนที่จะออกไปล่าสัตว์หรือเก็บผลไม้ตามป่าออกไปไม่ได้ ”
“พอลำบากมากขึ้น หลายคนก็พยายามย้ายออกไป บางคนก็ไปสำเร็จ บ้างก็ถูกฆ่าตายระหว่างเดินทาง” เธอบอกต่อ “พ่อค้าเร่ที่เดินทางเข้ามาก็เริ่มน้อยลง เพราะถัดจากการมรมอนสเตอร์มากขึ้น หลายๆแห่งก็เริ่มมีโรคระบาดตามมา”
“โรคระบาดแบบไหน” รอนถาม … แล้วเขาก็หันไปมองชาวบ้านที่กำลังช่วยกันเก็บซากบราวนี่ หลายคนมีตุ่มแผลพุพองตามตัว บางคนมีมือเท้าที่แตกเป็นสีดำและน้ำเหลืองไหล
“คนที่อยู่ตรงนี้ส่วนมากคือคนที่ยังมีแรงอยู่” โรล่าบอก “ตอนนี้ คนที่พอจะมีกำลังออกไปหาอาหารนอกหมู่บ้านก็มีไม่มาก แล้วจาร์ดีนก็มาตายไปอีกคน …”
แล้วเธอก็ค่อยๆทรุดนั่งลงกับพื้นและร้องไห้ออกมา เสียงสะอื้นแผ่วค่อยอย่างอดกลั้นเหมือนไม่อยากจะให้ใครได้ยินออกมาเบาๆ
ชาวบ้านคนนึงเดินตรงมาที่ๆรอนและโรล่าคุยกันอยู่ เขามองเด็กสาวที่นั่งร้องไห้ก่อนจะหันมาคุยกับเด็กหนุ่ม
“จาร์ดีนและโรล่าอยู่ในกลุ่มเด็กกำพร้า6คนของหมู่บ้านเรา ทุกคนอาศัยกับหัวหน้าหมู่บ้านพ่อเฒ่าเบรเซอร์…ตอนที่เริ่มมีมอนสเตอร์และโรคระบาด พวกเด็กๆกลุ่มนี้เป็นกำลังหลักของหมู่บ้านที่ช่วยกันเสี่ยงหาอาหารและสมุนไพร และพยายามช่วยหมู่บ้านมากกว่าคนอื่นๆ ….และตอนนี้ก็เหลือแต่โรล่าและมาเรียแค่สองคนแล้ว”
ชาวบ้านคนนั้นเล่า ก่อนจะหันมายื่นของบางอย่างให้ รอนรับแล้วดูในมือ เป็นหางของบราวนี่และผลึกแกนมอนสเตอร์ที่เขาจัดการไปทั้งหมด
“พวกท่านเก็บมันไว้เองดีกว่า “รอนบอก” หมู่บ้านมีสภาพแบบนี้ จำเป็นต้องใช้เงินมากกว่าผม”
ชายคนนั้นเก็บผลึกและหางของบราวนี่กลับไป รอนยืนมองชาวบ้านที่กำลังขนบราวนี่กลับเข้าไป แม้จะดูมาก แต่เขากะประมาณดูเนื้อแค่นี้เลี้ยงคน100คนในหมู่บ้านได้ไม่กี่วันแน่ … เขาหยิบกล้องมือถือขึ้นมาถ่ายรูปโดยซูมเน้นไปที่ผิวหนังของคนที่มีอาการป่วย จากนั้นหันไปดูโรล่าที่ตอนนี้หยุดร้องไห้นั่งซึมอยู่ เธอหันกลับมามองเขาตอบ
“ถ้าท่านเดินทางต่อไปตามถนนอีก1วัน จะเจอหมู่บ้านวิกเซ่น” ที่นั่นยังไม่มีโรคระบาด ท่านจะเข้าพักที่นั่นได้”
“ผมพักที่หมู่บ้านนี้ไม่ได้หรือ”
“หมู่บ้านของเราถูกสาปจนคนป่วยมากมายขนาดนี้ ท่านจะเข้ามาพักได้ยังไง”
เด็กสาวตอบอย่างงงๆ เรื่องพื้นๆแบบนี้ทำไมเขาถึงไม่รู้กันนะ
“หรือถ้าท่านไม่มั่นใจเรื่องความปลอดภัย … พรุ่งนี้จะมีพ่อค้าเร่มา ท่านจะรออยู่ก่อนก็ได้ พรุ่งนี้เราจะคุยกับพ่อค้าเร่ให้รับท่านไปด้วยได้”
รอนคิดได้ว่าที่นี่คงไม่มีความรู้เรื่องเชื้อโรค ถึงได้มองว่าโรคระบาดเกิดจากการถูกคำสาป ซึ่งจริงๆก็เข้าใจได้อยู่สำหรับสังคมแบบนี้
“ถ้าอย่างนั้นผมจะกลับไปตรงที่พักของผมก่อน แล้วพรุ่งนี้ผมจะมาอีกครั้งนึงนะครับ” รอนตอบพลางมองนาฬิกาข้อมือที่บอกเวลาใกล้ 1200 น.แล้ว
“เดี๋ยวก่อนค่ะ … นี่ค่ะ ขอบคุณมากที่ให้ยืมอาวุธนี้” โรล่าหยิบมีดทำครัวสีเงินส่งคืนให้
“ไม่เป็นไรหรอกครับ คุณใช้มันเถอะ ผมให้” รอนบอกก่อนจะโบกมือให้และรีบเดินไปอย่างรวดเร็ว เด็กสาวมองมีดในมืออย่างงงงัน …
ปกติเธอและครอบครัวของพ่อเฒ่าเบรเซอร์ใช้มีดและเครื่องมือเกษตรที่ทำจากไม้และหิน จะมีบางชิ้นเท่านั้นที่ทำจากทองแดงและบรอนซ์ แต่สำหรับมีดเล่มนี้มีสีเงินและมันเงาจนเธอสามารถส่องมองใบหน้าของเธอได้ แต่เขากลับมอบให้เธอง่ายๆโดยไม่ได้เอ่ยปากอะไรมาก … เธอมองรอนที่เดินลับสายตาไปตรงเนินเขา
รอนเดินอย่างรวดเร็ว .. เขาไม่อยากย้อนกลับไปที่ห้องของเขาบนโลกต่อหน้าคนอื่น เพราะถ้าเขาจะเอาของกลับมาด้วยมันจะทำให้เขาอธิบายไม่ได้ว่าทำไมจู่ๆมีของมาโผล่ในมือของเขาได้ ….
ถึงเขาจะไม่ได้เข้าไปในตัวหมู่บ้าน แต่ว่าดูจากเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายของชาวบ้านที่นี่ทำจากผ้าเนื้อหยาบ เครื่องมือและอาวุธที่ทำจากไม้และหิน มีของไม่กี่อย่างที่ทำจากโลหะปรากฎให้เห็น ร่วมกับความเชื่อในคำสาป ….ถ้าหากจู่ๆเขาเกิดมีของโผล่ขึ้นมาในมือมันก็เสี่ยงที่เขาจะถูกหาว่าเป็นอะไรสักอย่างแน่ๆ
และนอกจากนั้นยังมีกรอบและตัวอักษรสีแดงที่โผล่ขึ้นที่มุมขวาบนของลานสายตาของเขาตั้งแต่ยืนคุยอยู่ได้สักพักใหญ่ๆแล้ว