Midterm Fantasy - ตอนที่ 111
ภายในห้องทำงานแห่งหนึ่ง เอกสารบนโต๊ะถูกพลิกอ่านอย่างตั้งใจ หญิงสาวสองคนเปิดดูข้อมูลที่อยู่ในนั้นอย่างละเอียดเหมือนกับไม่อยากให้ข้อมูลใดๆหลุดรอดสายตาไป
ก็อกๆๆ
“เข้ามา”
ตำรวจหญิงคนหนึ่งเดินเข้ามาพร้อมกับเอกสารในมือ
“เอกสารที่สั่งไว้ได้แล้วค่ะ ผู้กองเฌอมาลย์ ผู้การนัทริน”
“ขอบใจ วางไว้ตรงนี้แหละ”
“ค่ะผู้กอง”
เอกสารอีกปึกหนึ่งถูกวางลง ตำรวจหญิงคนนั้นเดินออกจากห้องและปิดประตูตามหลังลง ขณะที่ตำรวจหญิงทั้งสองนั่งอ่านข้อมูลในเอกสารต่อ
“ผู้การฯคิดว่าข้อมูลที่ได้จากผู้หญิงทั้งสามคนนั้นเชื่อถือได้ไหมคะ” เฌอมาลย์ถามผู้บังคับบัญชา “สามคนนั้นเป็นคนในระดับกลางของแก๊งค์ ไม่น่าจะสารภาพกับเราง่ายๆขนาดนี้เลย”
“ความจริงชั้นก็ไม่อยากเชื่อข้อมูลที่ได้เท่าไหร่ แต่ว่าพวกเราก็สอบสวนทั้งสามคนนั้นแยกกันแล้ว ข้อมูลที่ได้ก็ตรงกันทุกอย่างแม้กระทั่งกับคำให้การของเป๋งโมบาลย์ ดังนั้นข้อมูลที่ได้มาคงไม่ผิดหรอก” นัทรินพูด
“แต่มันก็ดูแปลกเกินไปนะคะ ถ้าเป็นอย่างที่สามคนนั้นเล่ามา เท่ากับว่าแก๊งค์ ‘สื่อเย่ว์’ (เดือนสี่/เมษา) กำลังมีศัตรูคนใหม่ปรากฎตัวขึ้น แถมเป็นศัตรูที่เก่งเกินไป จะเป็นไปได้ยังไงที่เด็กหนุ่มเพียงคนเดียวจะสามารถถล่มรังนักเลงที่มีคนเป็นร้อยได้ด้วยตัวคนเดียว” เฌอมาลย์แย้ง
“ผู้กอง แต่ร้อยคนที่ว่านั่นเป็นนักเลงที่ไม่ได้ใช้อาวุธปืนนะ ในวันที่เป๋งโมบายล์ถูกถล่มน่ะ มีแค่เป๋งและเมียของมันเท่านั้นที่ใช้ปืน” นัทรินบอก
“แต่ร้อยต่อหนึ่งนะคะ จะเป็นไปได้ยังไง” ผู้กองสาวบอก
ผู้บังคับการสาวเอื้อมไปหยิบเอกสารที่เพิ่งถูกนำเข้ามาเปิดออกและส่งให้ผู้กองดู
“นี่เป็นรายงานเมื่อ 30 ปีก่อน ยุคนั้นในเมืองหลวงเคยมีแก๊งค์อิทธิพลขนาดใหญ่ตั้งอยู่ 8 แก๊งค์ ในตอนนั้นแก๊งค์เมษา’ยังเป็นเพียงแก๊งค์เล็กๆที่เพิ่งก้าวขึ้นมาเป็นแก๊งค์อันดับ 8” ผู้การสาวพูด “และภายในเวลาเพียง 2 ปี เกิดเหตุบางอย่างที่ทำให้แก๊งค์ 7 แก๊งค์เสื่อมกำลังไป”
“เรื่องนั้นมันก็แค่การต่อสู้กันระหว่างแก๊งค์ แล้วแก๊งค์เมษาเป็นผู้ชนะไม่ใช่เหรอคะ” ผู้กองเอ่ยก่อนจะพลิกเอกสารดู แล้วเธอก็ชะงักไป “นี่มัน!”
“เรื่องที่ว่าแก๊งค์ทั้ง8ต่อสู้กันนั่นคือเรื่องที่ทางกรมตำรวจในยุคนั้นบอกออกมา แต่ความจริงที่เกิดขึ้นก็คือตามข้อมูลในเอกสารนั่นแหละ” ผู้การฯนัทรินบอก “แก๊งค์ทั้ง 7 ถูกคน 2 คนทำลาย”
เฌอมาลย์ค่อยๆพลิกเอกสารดูรายละเอียด ข้อมูลสรุปภายในนั้นทำให้เธอแทบไม่อยากเชื่อสิ่งที่กำลังอ่านอยู่
เรื่องเริ่มขึ้นในช่วงปี 2530 ที่แก๊งค์มาเฟียยุโรปถูกทำลายทีละเขตๆ ด้วยฝีมือของเด็กสาวที่ถือไม้เท้าประหลาด เด็กสาวที่บุกเข้าไปแล้วทำลายกิจการของแก๊งค์มาเฟีย จับคนในแก๊งค์มัดไว้ แจ้งตำรวจให้ไปจับ
ต่อจากนั้นแก๊งค์ชาวตะวันออกไกลก็ถูกทำลาย คราวนี้ถูกทำลายด้วยเด็กหนุ่มสวมหมวกและหน้ากากสีดำ แตกต่างกันที่ว่าเมื่อเข้าทำลายแล้วก็จะปล้นเอาทรัพย์สินทุกอย่างของสาขาแก๊งค์ไป
ใน 7 แก๊งค์นี้ 2 แก๊งค์ถูกทำลายด้วยเด็กสาว และ5 แก๊งค์ถูกทำลายด้วยเด็กชาย
ทุกครั้ง ทั้งสองคนนี้ไม่เคยใช้ปืน หากแต่ว่าสามารถต่อสู้กับคนได้นับร้อยคนในเวลาเดียวกัน
“สองคนนี้คือใครคะ พวกเขามาจากไหน แล้วตอนนี้อยู่ที่ไหนแล้ว” เฌอมาลย์ถามอย่างสงสัย
“นี่เป็นคำถามที่หน่วยของเราก็ไม่มีคำตอบ แต่ที่เรารู้ก็คือ สองคนนี้เป็นศัตรูกัน”
“เอ๊ะ เป็นศัตรูกัน?”
“ใช่แล้ว แม้ว่าทั้งสองจะทำลายแก๊งค์มาเฟียนักเลงเหมือนกัน แต่ดูเหมือนเป้าหมายคือการปล้นเงินจากแก๊งค์เหล่านั้น มีการยืนยันว่าในกรณีที่ทั้งสองมาเจอกันจะเกิดการต่อสู้ที่ดุเดือดรุนแรงขึ้น” ผู้การนัทรินบอก “แล้วหลังจากการต่อสู้ครั้งนึง เด็กสาวก็หายไป เหลือแต่เด็กหนุ่มหน้ากากดำ และเขาปรากฎตัวครั้งสุดท้ายเมื่อ 28 ปีก่อนตอนบุกถล่มแก๊งค์เมษา”
“การต่อสู้ครั้งนั้นดูเหมือนเขาจะไม่เป็นปกติ ไม่สามารถต่อสู้กับแก๊งค์เมษาได้เต็มที่เหมือนกับการต่อสู้กับแก๊งค์อื่นๆ จากนั้นเป็นต้นมา ก็ไม่มีรายงานการพบเห็นเด็กหนุ่มหน้ากากดำคนนั้นอีกเลย”
“หรือว่าเด็กหนุ่มคนที่จัดการกับเป๋งโมบายกับคนเมื่อ 30 ปีก่อนจะมีความเกี่ยวข้องกันคะ”ผู้กองเฌอมาลย์ถามขึ้น
“ก็บอกไม่ได้เหมือนกัน อาจจะแค่บังเอิญก็ได้” ผู้การนัทรินบอก “ทีนี้ สามสาวนั่นไม่ยอมเปิดปากบอกเลยว่าเด็กหนุ่มคนนั้นคือใคร แต่ก็ไม่เป็นไรหรอก ถ้าจำเป็นเราอาจจะถามจากนายหลิวลี่จง พ่อค้าของเถื่อนนั่นก็ได้ ดูเหมือนเจ้านี่จะรู้ตัวจริงของเด็กหนุ่มคนนี้”
“แล้วนายหลิวลี่จงนี่ไว้ใจได้เหรอคะ หลังจากแก๊งค์เมษาถอนตัวออกไปจากเขตนี้ คนของหลิวลี่จงก็ทยอยเข้ามายึดพื้นที่และหากินแทน แบบนี้จะไม่กลายเป็นไล่แก๊งค์เก่าไปได้แก๊งค์ใหม่มาแทนหรือคะ”
“มันก็ต้องรอดูต่อไปนะเฌอ”ผู้การฯบอก “แม้จะเข้ามายึดพื้นที่ แต่คนของหลิวลี่จงไม่ได้เหมือนกับพวกของแก๊งค์เมษา คนพวกนี้เป็นพวกที่ค้าของเถื่อนเพื่อหาเลี้ยงชีพอย่างเดียว ไม่ใช้อาวุธปืน เกลียดการค้ายา ไม่เก็บค่าคุ้มครอง จนที่ผ่านมาก็ทำให้ไม่สามารถแข่งขันกับแก๊งค์เมษาได้ คนพวกนี้เรายังพอคุมได้และยังใช้เป็นหูเป็นตาได้”
“ส่งคนของเราไป สืบดูความเคลื่อนไหวของโต้งมิวสิคว่าจะทำอะไรบ้างหลังจากมือปืนของพวกมันหายไปพร้อมกัน 3 คน”
“ค่ะ ผู้การฯ”
***
ขบวนเดินทางของเมืองกาล่าเดินทางมาจนถึงชายป่า ถ้าเลยจากนี้ไปก็จะเข้าสู่เขตของเมืองหลวงแล้ว
ท่านโซล่าสั่งขบวนให้หยุดพัก ทหารม้าออกลาดตระเวนรอบๆ ขณะที่ทหารราบเตรียมหุงหาอาหารและสร้างแนวป้องกันที่พักแรมชั่วคราว
ก็อกๆๆ
“ในรถม้านี่คืออะไรเหรอคะ” มีอาเดินมาที่รถม้าของหมู่บ้านโอลเซ่น ใช้มือเคาะๆลงไป เสียงที่สะท้อนกลับมาบ่งบอกว่าบรรทุกของจนเต็ม
“มันคืออาวุธที่จะนำไปเมืองหลวงครับ ไหนๆก็เดินทางมาแล้วทั้งที ผมก็อยากจะเอาของพวกนี้ไปขายที่เมืองหลวงด้วยซะเลย” รอนบอก “ที่นั่นมีขุนนางชนชั้นสูงอยู่ น่าจะขายได้กำไรครับ”
เด็กหนุ่มเอื้อมมือไปเปิดลังหนึ่งแล้วหยิบดาบออกมา เป็นดาบเหล็กกล้าผิวเรียบจนสะท้อนเงาวาววับ เขาหมุนดาบแล้วยื่นด้ามจับให้มีอาลองดู บุตรีเจ้าเมืองรับดาบไปถือในมือ เธอกะน้ำหนักและความสมดุลของดาบในมือแล้วเริ่มกวัดแกว่งดาบ
“<หั่นตามขวาง>” “<ดาบทลายภูผา>”
ประกายมานาแวบวาบออกจากดาบ ฟาดฟันลงไปที่ต้นไม้ข้างทางที่หนาเท่าลำแขน กิ่งก้านสั่นไหวใบไม้ร่วงหล่น แล้วเสียงครืนเบาๆก็ดังขึ้น ต้นไม้ที่ถูกท่าดาบนั้นค่อยๆเลื่อนและล้มโค่นลงที่ตรงกลางลำ
“โอ้ เยี่ยมยอด”
“สมกับที่เป็นนักดาบอันดับหนึ่งของเมืองกาล่า”
ทหารที่ยืนอยู่ต่างร้องชมออกมาเป็นเสียงเดียวกัน
“ดาบที่ดี ดาบโอริค่อนที่ดี”
มีอาชมและยื่นดาบกลับไปให้รอน หากแต่รอนไม่รับ
“คุณมีอาเก็บไว้เถอะครับ”
“แต่ว่าของมีค่าแบบนี้ จะให้ข้ารับไว้”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ดาบดีก็คู่กับนักดาบที่ดี”
มีอาพยักหน้าอย่างพอใจและรับเอาดาบไว้ เธอขอบใจรอนก่อนจะกลับไปที่รถสัมภาระเพื่อหาฝักดาบมาใส่
“หึหึหึ วันหลังเธอก็หัดบอกก่อนสิว่าของจะเอาไว้ขาย” แพทตบบ่าแปะๆ
“รู้ทันอีกแล้วนะ” รอนตอบ
“จริงๆก็ไม่รู้ทันหรอก แต่เห็นสภาพดาบที่ฟันต้นไม้จนมีรอยขูดบิ่น เราเป็นคนซื้อก็ไม่เอาหรอก ของมีตำหนิขนาดนั้น”
“เฮ้อ เอาเถอะ ยังไงของพวกนี้ก็กำไรเยอะอยู่แล้ว”
รอนเปิดผ้าคลุมขึ้นดู ภายในนั้นมีลังอยู่4ลัง หากแต่ว่ามี2ลังเดียวที่บรรจุดาบ อีก2ลังนั้นล้วนแล้วแต่เป็นก้อนหิน
ที่เป็นแบบนี้ก็เพราะว่าตอนที่ขนของออกมาจากหมู่บ้านโอลเซ่น ของทั้งหมดในรถม้าก็คือก้อนหิน และเมื่อเดินทางและพักแรมตอนเที่ยงคืน รอนและแพทก็จะขนลังอาวุธที่สั่งซื้อไว้มาเพิ่มคืนละ 2 ลัง
คืนนี้เป็นคืนสุดท้ายแล้ว ของที่จะเอามาเพิ่มก็จะเป็นอาวุธ 4 ลังสุดท้าย ส่วนของอื่นๆนั้นเนื่องจากทั้งรอนและแพทไม่ได้วางแผนอะไรกันไว้ก่อน เลยพกแต่ของกระจุกกระจิกที่พอยัดใส่กระเป่ากางเกงกระเป๋าเสื้อได้มา
“นี่อะไรน่ะ กาแฟเหรอ” แพทยกถุงกาแฟขึ้นมา กาแฟ 3-1 ขนาด 50 ซอง
“อือ พอดีเห็นลดราคาน่ะ”
“นี่ ยาแก้แพ้” เด็กสาวหยิบแถวยาขึ้นมา เป็น Chlorpheniramine กระปุก100เม็ด 10กระปุก “เอามาทำไมกัน”
“ก็เห็นคนที่นี่เวลาเป็นภูมิแพ้แล้วใช้เวทรักษา มันรักษาได้แค่แป๊บเดียวเอง
“แล้วนี่ ยาหยอดตาแก้แพ้ เอามาทำไมเหรอ”
“ก็เวลาคนที่นี่ตาแดงภูมิแพ้ Heal ครั้งเดียวมันไม่หาย สักพักก็เป็นอีกไง”
ของแพทยิ่งแล้วใหญ่ เด็กสาวพกแต่ขนมและของกินเล่นมาเพราะนึกไม่ออกว่าจะเอาอะไรมา
พอไม่มีเรื่องด่วนอะไรให้ต้องรีบแก้ไข ดูเหมือนว่าทั้งสองคนก็คิดกันไม่ออกว่าจะเอาอะไรมากัน ได้แต่เอาของไร้สาระมา
แต่แพทเองก็แวบฉุกคิดขึ้นมา จะว่าไปของๆรอนก็ไม่ได้ไร้สาระซะทีเดียวนะ เพราะสิ่งที่เขาเอามาล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่โลกฝั่งนี้ไม่มีหรือเวทมนตร์ก็ช่วยไม่ได้นี่นา จะว่าไปรอนก็คิดมาแล้วรอบนึงก่อนจะเอาของมาสินะ
“เฮ้ นั่นคือดักซ์แห่งกาล่า เจ้าเมืองโซล่าใช่ไหมนั่น” เสียงตะโกนดังมาจากท้ายขบวนเรียกชื่อท่านโซล่าตรงๆ ทหารที่กำลังตั้งที่พักต่างหันไปมองเป็นตาเดียวกัน
ท่านโซล่าเดินผละออกจากลานตรงกลางมาพร้อมกับมีอา
“ท่านจัสติน” โซล่ายกมือแนบอกแล้วโค้งศีรษะลงเล็กน้อยให้กับชายร่างอ้วนหัวล้านบนหลังม้า
“วุฒิสมาชิก!”
“ท่านวุฒิสมาชิกจัสติน” โซล่าโค้งศีรษะลงอีกครั้ง
ชายร่างอ้วนคนนั้นยิ้มอย่างพึงใจ โดยไม่สนใจสายตาไม่เป็นมิตรของเหล่าทหารที่เห็นเจ้าเมืองของตนได้รับการปฏิบัติเช่นนี้ วุฒิสมาชิกจัสตินหันไปทางรถม้าของหมู่บ้านโอลเซ่นที่ตั้งอยู่ข้างๆ
“ฮ่าฮ่าฮ่า นี่เรอะ ชาวบ้านกับผู้ที่ให้ความช่วยเหลือเมืองกาล่าของเจ้า” จัสตินหัวเราะ “สมกันดีแล้วจริงๆ ฮ่าๆๆ”
ทหารที่ยืนฟังอยู่กัดฟันอย่างไม่พอใจ ขณะที่ชายร่างอ้วนคนนั้นก็ยังพูดต่อไป
“ชุดก็ซอมซ่อ กลิ่นสาบเหงื่อไคลก็คละคลุ้ง พวกเจ้าทั้งหมดนี่จะไปเข้าเฝ้าพระราชาในสภาพแบบนี้เนี่ยนะ ช่างน่าอับอายจริงๆ ฮ่าๆๆ”
“ไปกัน รีบกลับเมือง จะได้ไปล้างจมูกจากกลิ่นเหม็นๆพวกนี้”
ชายร่างอ้วนกระตุ้นม้าให้เดินหน้า ขณะที่องครักษ์บนหลังม้าสิบกว่าคนชักม้าเดินตามอย่างไม่สนใจกับสายตาของทหารเมืองกาล่าที่มองอย่างโกรธแค้น
“ท่านรอน ข้าต้องขอโทษด้วยที่ทำให้ท่านต้องมาลำบากแบบนี้” โซล่าบอก
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ไม่ใช่ความผิดของท่าน”รอนพูด
เขารู้แล้วว่ารอบหน้าจะพกอะไรติดตัวมา