Midterm Fantasy - ตอนที่ 118
“คุมตัววุฒิสมาชิกจัสตินไว้ และไปนำตัวหัวหน้าตระกูลซันเดอร์และซิลเวอร์รอนมาที่นี่เดี๋ยวนี้” พระราชาบอก “ให้พามาเงียบๆ อย่าให้เกิดความวุ่นวาย”
องครักษ์เพรเตอร์เรี่ยนรับคำก่อนจะเดินออกจากห้องนั้นไป ขณะที่วุฒิสมาชิกจัสตินเข่าอ่อนทรุดลงนั่งที่พื้น
ประโยคที่เขาด่าพระราชาเมื่อครู่นี้ ก็เพียงพอที่จะใช้ลงโทษได้แล้ว
“เจ้าจัสติน แกนะแก กล้าดียังไง”
“แกดูหมิ่นลูเซียสขนาดนี้ได้ยังไงกัน”
บรรดานายทหารที่เป็นเจ้าเมืองต่างๆล้วนแล้วแต่โมโหเป็นฟืนเป็นไฟ ที่ผ่านมาวุฒิสมาชิกและฝ่ายทหารล้วนขัดแย้งกันมาตลอด พระราชาซึ่งดำรงตำแหน่งเพรเตอร์อันเป็นตำแหน่งทางทหารก็พลอยตกอยู่ในสภาพที่เจอฝ่ายชนชั้นสูงและวุฒิสมาชิกเล่นงานไปด้วย
แต่ไม่มีครั้งไหนที่การดูหมิ่นนั้นจะชัดเจนขนาดนี้
“เอาเถอะทุกคน เรื่องระหว่างวุฒิสมาชิกจัสตินกับข้าเดี๋ยวข้าจะจัดการเอง”
“แต่ว่า!”
“ไม่ต้องพูดแล้ว จัสติน เดี๋ยวเลิกงานนี้แล้วขอข้าคุยกับท่านเป็นการส่วนตัวหน่อย” พระราชาบอก “เรื่องของข้าเป็นอันจบไป แต่เรื่องที่ท่านจัสตินร่วมมือกับหัวหน้าตระกูลอีก 2 คนในการใส่ร้ายพ่อหนุ่มคนนี้ ข้าคงต้องให้เจ้าตัวเป็นคนบอกเองว่าจะเอาเรื่องแค่ไหน”
“เอาเรื่องมันให้ถึงที่สุด”
“คนลอบกัดแบบนี้ปล่อยไว้ไม่ได้ ท่านรอนจัดการมันเลย”
บรรดาเจ้าเมืองฝั่งทหารร้องเป็นเสียงเดียวกัน วุฒิสมาชิกจัสตินนั่งหมดหวังมองไปรอบๆ เพื่อนฝูงคนรู้จักทั้งหลายต่างอยู่ในสีหน้าซีดเผือดไม่รู้จะช่วยยังไง ไปจนถึงบ้างก็เฉยเมยไม่อยากยุ่งเกี่ยว
“งั้นผมขอให้ท่านจัสตินชดใช้มา” รอนบอก “ค่าโทรศัพท์เครื่องนี้ 500เหรียญทอง แล้วที่เหลือเราก็หายกัน”
“เห?”
จัสตินเงยหน้าขึ้นอย่างประหลาดใจ แม้ 500 เหรียญทองจะเป็นจำนวนที่มหาศาลสำหรับคนทั่วไป แต่กับขุนนางชั้นสูงอย่างมันแล้วเป็นเงินจำนวนไม่มากเท่าไหร่
“ท่านรอน จะจัดการแค่นี้ไม่ได้นะครับ”
“ใช่แล้ว ถ้าหากไม่ใช่ว่ามีหลักฐานในมือ ป่านนี้ท่านรอนอาจจะถูกลงโทษหนักไปแล้วนะครับ”
รอนส่ายหน้าและยิ้มให้กับทุกคน
“ในเมื่อเรื่องทั้งหมดเกิดจากท่านจัสตินถูกคนหลอกมาอีกทีหนึ่ง ผมก็คิดว่าไม่เหมาะสมที่จะไปลงกับท่านจัสตินทั้งหมด”รอนบอก “แถมเวลานี้อาณาจักรก็ต้องการการขับเคลื่อนไปข้างหน้า มอนสเตอร์ก็ออกอาละวาดมากมาย ถ้าขุนนางผู้ใหญ่มาเกิดเรื่องแบบนี้อีกประชาชนจะเสียกำลังใจ งานป้องกันมอนสเตอร์ก็จะล่าช้าไปอีก”
เสียงกิ๊งๆดังขึ้นในหัว สกิล Deceptionวิ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว
“ฮ่าฮ่า ถ้าท่านรอนพูดถึงขนาดนี้ข้าก็คงไม่มีอะไรต้องพูดอีก จัสติน ลุกขึ้น นายจัดการจ่ายค่าเสียหายค่าอุปกรณ์เวทมนตร์บันทึกภาพนั่นซะ แล้วที่เหลือก็เป็นอันจบกัน” พระราชาพูดยิ้มๆ
ชิ! รอนมองหน้าพระราชาและคนในห้อง แล้วบ่นพึมพำในใจ
คนที่เข้ามาในห้องในตอนนี้ทั้ง 30 คนล้วนมีอายุพอสมควร และดูจากท่าทางของบางคนที่เผลอเรียกพระราชาด้วยชื่อจริงเฉยๆก็บ่งบอกแล้วว่าความสัมพันธ์ของพระราชากับตาแก่พวกนี้มีความสนิทสนมกันอยู่ก่อนแล้วในระดับนึง
ถ้าขืนเขาไม่ยอมเลิกราก็ซวยสิ
“ข้านำหัวหน้าตระกูลซันเดอร์ หัวหน้าตระกูลซิลเวอร์รอน และองครักษ์จอห์นสัน มาเข้าเฝ้า”
“คุกเข่า” พระราชาเปลี่ยนสีหน้าทันที
“ข ข้าถูกปรักปรำ”
“ยังจะแก้ตัวอีก เมื่อครู่ข้าได้เห็นภาพทั้งหมดจากอุปกรณ์เวทแล้ว เจ้ากล้าดีนักนะที่หลอกลวงข้า”
ผัวะ!
หัวหน้าตระกูลซิลเวอร์รอนกระเด็นไปกระแทกกำแพงด้วยแรงตบหลังแหวนของพระราชา กำแพงด้านหลังแตกกร่อนลงมาตามแรงกระแทก ก่อนที่ร่างของหัวหน้าตระกูลซันเดอร์จะลอยตามไปติดๆ
“ส่วนเจ้า จอห์นสัน ในฐานะเพรเตอร์เรี่ยนการ์ด เจ้ากลับบกพร่องในหน้าที่ทำการทุรยศทุจริต ให้ลงโทษด้วยการปลดจากตำแหน่ง ให้ไปเป็นพลทหารธรรมดา <Might>”
“ท่านจัสติน ช่วยข้าด้….อ้ากกก”
หมัดพระราชาที่เต็มไปด้วยเวทเพิ่มพลังระดับสามตุ๊ยเข้าที่ท้องอย่างรุนแรง ร่างขององค์รักษ์เกราะดำลอยขึ้นกระแทกเพดานห้องก่อนจะร่วงลงสู่พื้น เกราะที่ท้องแตกเป็นรอยกำปั้น
คนอื่นๆมองดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเงียบๆไม่พูดอะไร ขณะที่คนที่เจอลงโทษต่างหันไปมอง เบน เซเลนิค หัวหน้าตระกูลเซเลนิคที่ยืนอยู่เฉยๆไม่ได้รับการลงโทษแต่อย่างใด
“พ่อหนุ่มรอน ท่านจะให้ข้าลงโทษกับพวกที่ร่วมมือกล่าวโทษท่านอย่างไรดี” พระราชาถาม
“อืม ผมคิดว่าให้หัวหน้าตระกูลทั้งสองคนนี้ชดใช้เป็นชุดเกราะแล้วกันครับ ขอให้ทั้งสองคนเป็นธุระจัดหาชุดเกราะสำหรับเพื่อนของผมทั้งสองคน”
“แล้ว…”พระราชาหันไปทางหัวหน้าตระกูลเซเลนิค
“ไม่ครับ ไม่ ไม่จำเป็น” รอนพูดและยิ้มให้เบน เซเลนิค
“แก ที่แท้แกเป็นคนทรยศเองเรอะ”
“ครั้งที่แล้วแกทรยศจริงๆสินะ”
“ป เปล่า ข้าเปล่า”
รอนไม่ได้สนใจอะไรต่อ เขาเดินตามพระราชาออกจากห้องคุมขังกลับไปที่งานเลี้ยงอีกครั้ง
เมื่อออกมาสู่งานเลี้ยง พระราชาไม่ได้พูดอะไรมากนัก บอกเพียงแต่ว่าเรื่องทั้งหมดคือความเข้าใจผิด และสำหรับจัสตินและหัวหน้าตระกูลทั้งสามนั้นเกิดป่วยขึ้นกระทันหัน
ไม่มีใครสงสัยอะไรมากนักเนื่องจากก่อนหน้านี้ทุกคนก็เห็นว่าหัวหน้าตระกูลซิลเวอร์รอนและซันเดอร์ที่ไม่สบายอาเจียนถูกหามผ่านไปแล้วรอบนึง แถมตัวแทนที่ไปที่ห้องคุมขังทั้งหมดก็ไม่ได้มีท่าทีผิดปกติอะไร
งานเลี้ยงดำเนินไปจนถึงราวๆตีหนึ่ง จากนั้นก็เลิก ทุกคนแยกย้ายกันกลับไปยังที่พักของตน โรล่าและเบรเซอร์เข้านอนและหลับไปอย่างเหนื่อยอ่อน ในขณะที่รอนและแพทที่ไม่ง่วงเลยอันเป็นผลจากสกิลจากศิลานักปราชญ์ ก็อาศัยช่วงเวลานี้ซ้อมอาวุธกันตามปกติจนรุ่งสาง
“ท่านรอนคะ มีช่างอาวุธจากวังมาค่ะ จะมาวัดตัวเพื่อนของท่านตามคำสั่งของพระราชาค่ะ” มีอาบอก เบื้องหลังของเธอคือช่างอาวุธของวังที่ตรงเข้ามาวัดตัวของแพทและโรล่าอย่างชำนาญ พร้อมกับซักถามเรื่องอาวุธที่ใช้ สีที่ชอบ ไปจนถึงท่าทางการต่อสู้ที่ใช้บ่อย
“แล้วก็ พระราชาให้ท่านรอนเข้าเฝ้าด้วยค่ะ”
มีอาบอกและชี้ไปที่องครักษ์เพรเตอร์เรี่ยนที่มายืนรอกันอยู่
รอนติดตามทหารองครักษ์ออกไป ทั้งหมดเดินออกจากโรงแรมที่พักไปตามถนน ถนนในเมืองวาเลนเทียยามเช้านี้มีผู้คนออกมาเดินไปมาหนาแน่นกว่าที่เมืองกาล่า ลักษณะของผู้คนก็ดูสะอาดสะอ้านกว่า สมกับที่เป็นเมืองหลวง นักผจญภัยที่มุ่งหน้าไปที่กิลด์ ทหารที่เดินตรวจตราในเมือง
ทั้งหมดเดินจนถึงพระราชวัง รอนตามเข้าไปภายใน ถูกตรวจอาวุธอีกครั้งก่อนจะได้เข้าไปในห้องรับรอง ภายในนั้นพระราชาลูเซียสนั่งรออยู่
“เชิญสิ”
“ครับ”
รอนเดินไปนั่งที่เก้าอี้ หญิงรับใช้คนหนึ่งเดินมานำแก้วน้ำมาเสิร์ฟให้ก่อนจะถอยออกจากห้องไปเมื่อพระราชาโบกมือ รอนมองหน้าพระราชาอย่างไม่รู้ว่าจะพูดยังไงดี
“ฮ่าฮ่า พูดตามปกติเหมือนที่เจ้าพูดกับโซล่านั่นแหละ”
“ครับ”
“ที่เรียกเจ้ามาก็มีเรื่องอยากจะทำความเข้าใจด้วย” พระราชาบอก “เจ้ารู้ใช่ไหมว่าเรื่องอะไร”
“เรื่องวุฒิสมาชิกจัสตินใช่ไหมครับ”
พระราชาพยักหน้าแววตาประหลาดใจเล็กน้อย
“แม้จะถูกกระทำขนาดนี้ แต่เจ้ากลับไม่เรียกร้องให้ลงโทษคนทั้งสามนั้น แต่เพื่อความแน่ใจข้าก็เลยเรียกเจ้ามาคุยด้วยสักหน่อย”
รอนมองหน้าของพระราชา ชั่งใจสักนิดแล้วก็พูดออกไป
“ท่านสนิทสนมกับวุฒิสมาชิกจัสติน ไม่สิ คนที่ติดตามท่านมาในห้องนั้นเกือบทั้งหมดสนิทสนมกับท่าน”
พระราชาไม่ตอบตรงๆหากแต่พยักหน้า
“ทุกคนที่อยู่ในห้องเมื่อคืนนี้ล้วนแล้วแต่เป็นคนที่อายุมาก และจากที่สังเกตดู บางคนเผลอเรียกชื่อของท่านตรงๆ” รอนบอก “ผมคิดว่าถ้าหากผมไล่บี้วุฒิสมาชิกจัสตินต่อไปคงไม่เป็นผลดีกับผมแน่ๆ”
“ถูกต้อง แทบทุกคนที่ตามมาเมื่อคืนนี้ล้วนแล้วแต่เป็นสหายที่ผ่านความลำบากกันมา ถึงเวลาจะผ่านมานานแล้ว ถึงหลายคนจะเปลี่ยนไปบ้างแล้ว แต่ทุกคนก็คือสหายที่เคียงบ่าเคียงไหล่กันมา” พระราชาบอก “ว่าแต่เจ้าเบน เซเลนิคคนนั้นที่เธอปล่อยไป มันไม่ใช่พวกของเธอสินะ เธอจงใจใช้มันเป็นแพะรับบาป”
“ครับ ในเมื่อวุฒิสมาชิกจัสตินจะไม่ถูกลงโทษใดๆ ผมก็ต้องเหลือทางออกสำหรับตัวเองไว้สักหน่อย” รอนตอบ
เด็กหนุ่มมั่นใจว่าเหตุที่เกิดขึ้นโดยพระราชารับรู้แบบนี้เป็นไปไม่ได้ที่คนพวกนั้นจะมาแก้แค้นเขาอย่างเปิดเผย
ถ้าพวกนี้จะทำก็คงแก้แค้นเป็นแบบลับๆ
แต่แทนที่จะรอให้มันมาแก้แค้นตรงๆ สู้เขาหาใครสักคนมาหันเหความสนใจดีกว่า ป่านนี้หัวหน้าตระกูลเซเลนิคคงต้องหลบหนีความโกรธแค้นของจัสตินและพวกแล้ว
“เธอเปิดเผยเรื่องทั้งหมดแบบนี้ไม่กลัวว่าจะเป็นการเปิดไพ่ทั้งหมดให้อีกฝ่ายเห็นเรอะ” พระราชายิ้ม หากแต่รอนก็ยิ้มกลับ
“ไม่หรอกครับ เพราะเป้าหมายของผมคือสิ่งที่จะทำให้อาณาจักรแห่งนี้ได้ประโยชน์” รอนบอก “ผมต้องการพัฒนาให้เมืองกาล่ามีความปลอดภัยมากขึ้น และเพื่อที่ให้บรรลุเป้าหมายนั้นผมก็ต้องทำให้เมืองรอบๆและอาณาจักรแอสคาลอนทั้งหมดเข้มแข็งขึ้น”
“จากที่ผมเห็น เมืองหลวงในตอนนี้ไม่อยู่ในสภาพที่จะทำสิ่งดังกล่าวได้สำเร็จเลย”
พระราชาลูเซียสหน้าเปลี่ยนสีเมื่อได้ยินประโยคสุดท้ายจากรอน
“เจ้าสังเกตเห็นด้วยสินะ”
“ใช่ครับ อาณาจักรแอสคาลอนในตอนนี้เป็นแบบนั้นจริงๆ เพียงแค่สภาพที่ผมเห็นจากเมืองกาล่าก็พอจะเดาสภาพในพื้นที่อื่นๆได้”
รอนบอกไปตามสิ่งที่เขาเห็น ก่อนหน้านี้เพียงครึ่งปี เมืองกาล่าประสบปัญหาโรคระบาดไปจนถึงการถูกโจมตีจากนักรบมังกรดราซัค หากแต่ท่านโซล่าและมีอาต้องต่อสู้เองเพียงลำพัง
ถ้าให้เดาล่ะก็ ในช่วงเวลานั้นเมืองอื่นๆก็กำลังต่อสู้กับปัญหาของตนจนไม่มีกำลังจะไปช่วยใคร
และเมืองหลวงเองก็ไม่ได้ส่งทหารมาช่วยอย่างทันท่วงที แปลว่าต้องมีปัญหาภายในอะไรบางอย่างอยู่ ซึ่งไม่ว่าจะเป็นปัญหาอะไรก็ตาม แต่อาณาจักรที่ไม่สามารถช่วยเมืองของตนได้แบบนี้ต้องมีปัญหาอะไรสักอย่างแน่ๆ
พระราชาอึ้งไป เขามองเด็กหนุ่มตรงหน้า ก่อนจะค่อยๆพูดออกมา