Midterm Fantasy - ตอนที่ 122
“เดินเร็วๆเว้ยไอ้หมอ” พวกนักเลงใช้ดุ้นไม้จิ้มหลังดันให้หมอหนุ่มเดินไปตามทางเดิน
“พวกแกทำแบบนี้คิดว่าจะรอดเงื้อมมือกฎหมายเหรอ”
“เออสิวะ พวกกูเจ็บหนักกันตั้งหลายคน”
“แต่แกไปทำร้ายคนในโรงพยาบาล พยานตั้งแยะ”
“แต่พยานทุกคนก็พวกคนในโรงพยาบาล พวกเดียวกันทั้งนั้น แกคิดว่าใครจะเชื่อแกเรอะ ไอ้โง่ เดินไปอย่าปากมาก”
นักเลงคนนั้นเตะบั้นท้ายหมอเคจนหน้าคะมำเซไปชนนักเลงพวกที่บาดเจ็บ เจ้าคนที่พันหน้าตาปิดมิดใช้แขนพยุงร่างหมอหนุ่มแล้วจับดันให้เดินไปด้านหน้า
“หมอ นี่ผมเอง รอนครับ ฟังเฉยๆไม่ต้องหันมา”
หมอเคเดินต่อไปโดยไม่ได้ทำหน้าอะไรผิดปกติ รอนจับไหล่อันเปล่าเปลือยของหมอและเดินติดไปทางด้านหลัง
“หมอครับ ให้หมอสังเกตสถานการณ์ไว้นะครับ ถ้าหากมีความวุ่นวายเกิดขึ้นในนี้ให้หมอหาที่ปลอดภัยหลบไว้นะครับ” รอนบอก “แล้วถ้ามันถามอะไรหมอก็บอกไปตามตรงไม่ต้องปิดบังไม่ต้องห่วงผมเดี๋ยวผมจัดการที่เหลือเอง”
ทั้งหมดเดินไปตามทางเดิน รอนมองไปรอบๆทางเดินนั้น ถ้าหากเขาบุกมาที่นี่เองแล้วเข้ามาในทางนี้คงลำบากแน่ๆ เพราะว่าเป็นช่องทางที่โล่งไม่มีที่หลบ แถมที่ปลายทางก่อนจะเข้าไปในตัวอาคารได้ก็มีถังเหล็กสองร้อยลิตรถูกตั้งเรียงกันไว้
ที่น่าตกใจคือคนที่หลบอยู่หลังถังน้ำมันนั้นต่างมีปืนอยู่ในมือ
ปืนในมือของแต่ละคนนั้นแม้จะเป็นปืนไทยประดิษฐ์ แต่ว่ากระสุนที่ใช้ก็เป็นกระสุนลูกซอง ถ้าหากพวกนี้ยิงออกมาพร้อมๆกันล่ะก็เขาคงหลบลำบากแน่ๆ
รอนเดินผ่านแนวป้องกันไปช้าๆ
“ไอ้เจ้าหน้ากากดำนั่นมันจะมาไหม”
“มาก็ดีสิ จะได้จัดการมันให้พรุนไปเลย” นักเลงคนนึงบอก “เฮียโต้งให้เรารวมเอาคนที่มีปืนทั้งหมดมาตั้งแนวป้องกันที่ทางเข้าทางเดียวของตึก นอกเสียจากว่ามันจะมีปีกบินเข้ามาแล้ว มันไม่มีทางเข้ามาได้แน่ๆ”
“เฮ้ย ตรงนั้นมีฝาท่อระบายน้ำอยู่ ใครก็ได้เอาอะไรมาปิดซะเซ่”
“ไม่ต้องหรอก ฝาเหล็กขนาด 1 เมตรแบบนี้หนัก 20-30 กิโล ต่อให้มันลงท่อน้ำมาได้ก็ยกไม่ขึ้นหรอก เอาถังสักถังวางไว้ก็พอ”
นักเลง 20 กว่าคนต่างช่วยกันจัดแนวป้องกันอย่างขยันขันแข็ง โดยไม่รู้เลยว่าคนที่พวกมันกำลังป้องกันอยู่เพิ่งเดินผ่านเข้าไปหยกๆ
“เฮ้ย พวกเราทุกคนฟังให้ดี ถ้ามันเข้ามาเมื่อไหร่ให้ใครก็ได้มากดปุ่มนี้ปล่อยประตูลงมา แค่ปิดประตูนี่ก็จะปิดทางเข้าออกเดียวของที่นี่ เจ้าหน้ากากดำนั่นก็ไม่มีทางหนีไปไหนได้ ฮ่าฮ่าฮ่า”
รอนมองดูอย่างสยิวกิ้ว ดูเหมือนอีกฝ่ายวางแผนจัดการเขาอย่างเต็มที่
“เฮ้ย พวกที่บาดเจ็บไปพักกันก่อน” นักเลงระดับหัวหน้าคนนึงร้องบอก จากนั้นพวกที่บาดเจ็บก็แยกไปอีกด้านหนึ่ง รอนเหลือบมองหมอเคที่เจอดึงไปที่บันได ขณะที่เขาเดินตามคนอื่นๆไป ตลอดทางเดินนี้เด็กหนุ่มเห็นเครื่องจักรที่กำลังเดินเครื่องอยู่ มีแผ่นซีดีที่ไหลออกมาและมีคนคอยบรรจุแผ่นผีเข้าถุง บางห้องมีเครื่องคอมพิวเตอร์ตั้งอยู่หลายสิบเครื่อง ถ้าหากมองไปที่หน้าจอก็จะเห็นว่าเป็นพวกที่สร้างเพจและเว็บโหลดเพลง/การ์ตูน/หนังโหลดเถื่อน
“มา มา มาพักก่อน”
“เชี่ย ทำไมเจ็บหนักยับเยินแบบนี้ นี่ยามโรงพยาบาลมันโหดขนาดนี้เลยเหรอวะ” หมอที่อยู่ประจำห้องพักฟื้นบอก
“หมอ พวกมันมากัน 20 กว่าคน พวกเรา 8 คนลุยกันสุดแรงแต่มันทั้งใช้ไม้ ทั้งใช้อาวุธ”
“ใช่ใช่ พวกเราสู้กันเต็มที่ แต่พวกมันใช้ทั้งอาวุธแถมใช้ผู้หญิงกำบัง พวกเราไม่ทำร้ายผู้หญิงเลยพลาดท่า ไม่งั้นไอ้พวกยามนั่นไม่ได้กินเราหรอก”
รอนนั่งกลอกตาฟังบทสนทนาต่อไปอย่างเงียบๆไม่ออกความเห็น แล้วก็ค่อยๆมองไปรอบๆเพื่อหาโอกาส
หมอเคเจอผลักเจอดันขึ้นบันไดไปจนถึงชั้นสาม เขาโดนผลักเข้าไปในห้องทำงานของเฮียโต้งลงไปนั่งที่โซฟา นักเลงคนนึงใช้มีดตัดเชือกที่มัดหมอเคอยู่
“เดี๋ยวเฮียโต้งเข้ามา มึงรออยู่นี่อย่าไปไหน” นักเลงคนนั้นบอกแล้วเดินออกไป หมอเคค่อยๆนั่งบนโซฟา เอามือลูบกล้ามเนื้อและผิวหนังท่อนบนอันเปลือยเปล่าอันแดงไปด้วยรอยเชือกและมองไปรอบๆห้อง
“กัปตันเฌอมาลย์ครับ ในห้องของโต้งมีความเคลื่อนไหวครับ มีเสียงคนในห้อง”
“เปิดเครื่องดักฟัง ส่งสัญญาณเข้ามา”
ร้อยตำรวจเอกหญิงสั่งลูกน้อง และปรับเครื่องรับเสียง เธอตั้งใจฟังความเคลื่อนไหวในนั้นอย่างจดจ่อ
เสียงฝีเท้าเดินตรงมาที่หน้าประตูก่อนที่จะเปิดเข้ามา โต้งมิวสิค นายใหญ่แห่งแหล่งซ่องสุมแห่งนี้ก้าวเข้ามาพร้อมกับลูกน้องคนสนิทอีกสี่คน เขาเดินไปนั่งที่โซฟาตรงข้ามหมอเค
“ซ้อมมัน อย่าให้ถึงตาย”
“ครับนาย”
ชายทั้งสี่คนเดินตรงไปหาหมอเคและไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น เหวี่ยงหมัดเข้าใส่หมอหนุ่มที่นั่งบนโซฟา
“โอ๊คคค อุ๊บ อั่ค โอ๊ยยย”
ตุบ ตุ่บ ตุบ ตุ่บ
“พอ จับมันนั่งไว้” โต้งมิวสิคสั่ง “คุณหมอ ผมจะไม่พูดอะไรมาก ขอเพียงแต่หมอบอกมาตรงๆว่าเจ้าเด็กนั่นอยู่ไหนแล้วผมจะปล่อยหมอไป”
หมอเคเลื่อนตัวขึ้นมาจากพื้น ใช้มือปาดเลือดที่มุมปาก คิดถึงคำที่รอนพูดไว้ก่อนหน้านี้ว่าไม่ต้องปิดบัง
“เด็กคนนั้น มาที่นี่แล้ว” เขาตอบออกไป
ปัง!
โต้งทุบมือลงบนโต๊ะเสียงดัง
“นี่หมอขู่ผมใช่ไหม นี่หมอกำลังจะบอกว่าเด็กนั่นจะมาที่นี่เพื่อมาจัดการพวกเราใช่ไหม”
“ไม่ใช่ที่ผมจะบอกคือเด็กนั่นมาที่นี่แล้ว”
“โอหัง คิดว่าเจ้าเด็กนั่นจะมาที่นี่แล้วจัดการพวกเราได้รึไง คิดว่าเป็นหมอกูจะไม่กล้ารึไง สัส พวกเรากระทืบมัน”
ตุบตรั่บตุบตรั่บตรั่บตรั่บตรั่บ
“อุ๊ค อุ๊ค อรั่ค” หมอเคร้องออกมาอย่างเจ็บปวดจากการที่ถูกชายทั้ง4คนรุมเตะต่อยอยู่ที่พื้น
“มึงไม่ต้องคิดเลยว่าจะปิดบังข้อมูลได้ ตอนนี้กูรู้แล้วว่ามันชื่อรอน รู้ชื่อ รู้โรงเรียน ต่อให้กูไม่ได้ข้อมูลจากมึงก็ไปเอาจากโรงเรียนได้ มึงบอกมาดีๆจะได้ไม่ต้องเจ็บตัว”
“อั่ค อั่ค ผม ผมบอกแล้วไงว่าเด็กคนนั้นมาที่นี่แล้ว เข้ามาข้างในนี้แล้ว”
“นี่มึงเห็นกูเป็นเพื่อนเล่นใช่ไหม ไอ้สัส กระทืบมัน กระทืบจนกว่ามันจะบอกความจริงออกมา”
“อ้ากกก พอ หยุดดด”
เสียงหมอเคร้องโหยหวนผ่านเข้าไปในเครื่องดักฟัง ผู้กองเฌอมาลย์ฟังแล้วขมวดคิ้ว ทำท่าจะขยับตัว
“ผู้กองครับอย่าเพิ่งครับ ถ้าเข้าไปแผนที่วางไว้จะพังหมดนะครับ”
“แต่ตอนนี้หมอคนนั้นเจอกระทืบอยู่นะ”
“แต่ว่าถ้าเราเข้าไปตอนนี้พวกมันก็จะรู้ว่าเราวางเครื่องดักฟังเอาไว้ แบบนี้ก็ไม่ดีแน่ๆ”
ตำรวจสาวครุ่นคิดในใจว่าจะทำอย่างไรดี แล้วโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น เป็นสายจากผู้การนัทริน
“ค่ะผู้การ”
“ผู้กองเฌอ เดี๋ยวจะมีกำลังเสริมไปหาผู้กองเพื่อช่วยจัดการรวบตัวโต้งมิวสิค ผู้กองรอรับเขาด้วย”
“ค่ะ แต่ผู้การคะ ตอนนี้โต้งมิวสิคมันจับหมอจากโรงพยาบาลไปข้างในและกำลังซ้อมหมออยู่”
“เรื่องนั้นทราบแล้ว ให้ผู้กองและตำรวจที่นั่นรอเอาไว้จนกระทั่งช่วยหมอออกมาได้ และคอยสนับสนุนกำลังเสริมอยู่ห่างๆ แต่จำไว้ว่าอย่าออกไปเปิดเผยตัวถ้าไม่จำเป็น”
“หืม ไม่ให้เปิดเผยตัว หรือว่ากำลังเสริมที่ส่งไปไม่ใช่ตำรวจเหรอคะ” ผู้กองเฌอมาลย์ถาม ก่อนที่จะเห็นรถตู้สีทองขับมาจอดที่หน้าตึกที่เธอหลบอยู่ ตามด้วยรถบัสนักท่องเที่ยวสองคัน มีคนลงจากรถและชูธงแดงเหมือนกับไกด์ทัวร์นำลูกทัวร์
ผิดแต่ว่านักท่องเที่ยวที่ว่า เป็นชายฉกรรจ์ทั้งหมด และคนที่ถือธงลงมานั่น
“นั่นมันหยางเทียน คนของนายหลิวลี่จง ผู้การจะบอกว่ากำลังเสริมคือคนพวกนี้เหรอคะ” ผู้กองเฌอมาลย์ถามกลับเข้าไปอย่างไม่อยากเชื่อ
“ใช่ เป็นคนของหลิวลี่จง เราจะไม่แสดงตัวออกไป แต่จะทำให้เหมือนกับเหตุการณ์นี้เป็นการโจมตีระหว่างแก๊งค์” ผู้การนัทรินบอก “หลิวลี่จงบอกว่าวันนี้หน้ากากดำจะจัดการกวาดล้างอาคารดนตรีของโต้งมิวสิค”
“ผู้กอง หน้าที่ของผู้กองคือสืบหาให้ได้ว่าหน้ากากดำคนนี้คือใคร มาจากไหนและมีจุดประสงค์อะไร แค่นี้แหละ”
ก๊อกๆๆ
ประตูห้องถูกเปิดออก ตำรวจที่เฝ้าด้านนอกเดินเข้ามาพร้อมกับชายชาวจีนคนนึง
“สวัสดีครับ ผมชื่อหยางเทียน นี่คงจะเป็นผู้กองเฌอมาลย์แห่งหน่วยสืบสวนคดีอิทธิพลใช่ไหมครับ”
“ใช่ค่ะ ดิฉันเห็นคุณพาคนมามากมาย แต่จะบุกเข้าไปตรงๆแบบนี้คงไม่เหมาะนะคะเพราะว่าตอนนี้คนของแก๊งค์เมษาเอาปืนมาตั้งป้องกันไว้ที่ทางเข้า”
“อ๋อ พวกเราไม่ได้มาเพื่อบุกเข้าไปครับ แต่หน้ากากดำจะเป็นคนจัดการครับ เรามีหน้าที่แค่ล้อมไม่ให้มีใครหลบหนีไปได้เท่านั้นครับ
“หน้ากากดำ?” ผู้กองสาวตาเป็นประกาย “แล้วตอนนี้เขาอยู่ไหนคะ ขอชั้นพบได้ไหม”
“ตอนนี้เขาเข้าไปข้างในแล้วครับ”
“เข้าไปแล้ว?!”
“ครับ เรากำลังเขาส่งสัญญาณ และตอนนั้นก็จะเริ่มล้อมอาคารหลังนี้ไว้”
ผู้กองเฌอมาลย์มองหน้าชายตรงหน้าอย่างไม่เข้าใจ เธอคิดได้ว่าเมื่อครู่โต้งมิวสิคพูดชื่อชื่อหนึ่งออกมาว่า ‘รอน’ แต่ครั้นจะถามออกไปตรงๆก็ยังไม่สะดวกเท่าไหร่
ก๊อกๆๆ
“คุณหยางเทียน คนของคุณที่อีกห้องนึงบอกว่าอีกไม่นานจะเริ่มแล้วครับ”
“ครับ เอาล่ะผู้กอง คนของผมจะเริ่มกระจายไปล้อมตามรอบๆตึก พวกเราจะใส่ชุดนักท่องเที่ยวกัน ขอให้พวกตำรวจอย่าเข้าใจผิดคิดว่าเราเป็นพวกนั้นก็แล้วกันนะครับ” หยางเทียนบอกก่อนจะเดินไปที่ประตู “อ้อ แล้วขอความกรุณาอย่าเข้าไปห้องข้างๆนะครับ ในนั้นมีแขกพิเศษของเราที่ไม่สะดวกใจจะปรากฎตัวต่อพวกคุณ”
ผู้กองสาวพยักหน้ารับและได้แต่สงสัยว่าใครกันที่อยู่ห้องข้างๆ
“ผู้กองครับ ประตูหน้าของอาคารดนตรีกำลังปิดลงครับ”
“อะไรนะ ประตูปิด แล้วมีใครเข้าไปข้างในรึเปล่า”
“ไม่มีครับ ประตูมันปิดลงเฉยๆไม่มีใครเข้าไปครับ”
นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ผู้กองเฌอได้แต่คิดขณะที่มองไปที่ประตูเหล็กที่ค่อยๆเคลื่อนตัวลงมา
ภายในตึกก่อนหน้านั้น 5 นาที
“เอาล่ะเรียบร้อยแล้ว คนต่อไป”
หมอประจำแก๊งค์เรียกคนเจ็บคนสุดท้ายมา คนๆนั้นกำลังคลายผ้าพันแผลออกจากใบหน้าและหันหลังให้ทุกคน
“เอาล่ะ หันมาได้ไม่ต้องกลัว จะได้ทำแผลที่หน้า” หมอบอก “อ้าว แล้วนั่นจะหยิบหมวกขึ้นมาใส่ทำไม เอ้า เฮ้ย เดี๋ยวๆๆ แกใส่หน้ากากทำไม อ้ากกกก”
หมัดกระแทกเข้าที่พุงของหมอประจำแก๊งค์ ส่งร่างเล็กๆให้ลอยไปกระแทกตู้เก็บเครื่องมือ
“เฮ้ย อะไรวะ”
“เกิดอะไรขึ้น แล้วมึงเป็นใคร แล้วไอ้ตู่มันอยู่ไหน”
รอนหันไปมองนักเลงบาดเจ็บที่เพิ่งทำแผลเสร็จ หน้ากากสีดำปิดครึ่งหน้าถูกสวมใส่คู่กับหมวกดำเรียบร้อยแล้ว เขายิ้มให้กับทุกคน
เสียงดังโครมครามดังออกมาจากห้องพร้อมกับเสียงโหยหวนจากภายใน แต่ไม่นานทุกอย่างก็เงียบสงบลง รอนหยิบหูฟังบลูทูธมาเสียบรูหูแล้วกดโทรหาแพท
“เรียบร้อยแล้ว ข้างนอกเป็นยังไงบ้าง”
“ตอนนี้คุณหยางเทียนพาคนมาพร้อมแล้ว เราอยู่ที่ตึกฝั่งตรงข้ามแล้ว” แพทบอก
“ตรงนั้นปลอดภัยใช่ไหม”
“อือ คุณหยางเทียนพาเรามาอยู่ห้องติดกับคุณตำรวจ แต่ไม่ต้องห่วงนะ ไม่มีตำรวจเห็นหน้าเรา” แพทบอก “เอาล่ะ จะให้เริ่มบอกทางได้รึยัง”
“โอเค บอกได้เลยแพท” รอนบอก “บอกทางไปประตูทางเข้าให้เราหน่อย”
“ได้เลย”
ตู้ทๆๆๆๆ
เสียงสายเรียกซ้อนดังขึ้น รอนบอกแพทให้รอแป๊บก่อนที่จะดูหน้าจอ เป็นสายจากหมอเค เด็กหนุ่มกดรับสาย
“เอ็งคือไอ้หน้ากากดำใช่ไหม ตอนนี้หมอเคเพื่อนแกอยู่ในมือพวกเรา เพื่อนแกมันปากแข็งมาก พวกเราซ้อมมันอยู่20นาทีมันยังไม่ยอมบอกที่อยู่ของแก”
รอนขมวดคิ้วเล็กน้อย ก็ตะกี้เขาก็บอกให้หมอเคไม่ต้องปิดบังอะไรนี่นา เฮ้อ กลายเป็นเจอซ้อมโดยไม่จำเป็นไปสินะ
เสียงของโต้งมิวสิคกรอกเข้ามาต่อ
“ถ้าไม่อยากให้ไอ้หมอนี่ตาย เอ็งมาที่อาคารดนตรีของกูซะ รู้ใช่ไหมว่าอยู่ไหน”
“อือ รู้แล้ว นี่ก็มาถึงแล้ว เดี๋ยวไปหา แค่นี้แหละ” รอนตอบห้วนๆก่อนจะวางสาย “เอาล่ะแพท บอกทางได้เลย”
โต้งมิวสิควางสายลง มันดูเบอร์โทรในมือถือของหมอเคแล้วทีแรกคิดจะจดเอาไว้เพื่อใช้ค้นหาชื่อนามสกุลที่อยู่ของรอน แต่เมื่อฟังแล้วเจ้าหนุ่มหน้ากากดำนั่นบอกว่ามาถึงแล้วและกำลังจะมาหา
ไม่ต้องจดก็ได้มั้ง
เดี๋ยวก็จับตัวได้แล้ว
ครืนๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
เสียงหนักๆของประตูเหล็กดังสะเทือนขึ้น แรงสั่นแรงมาจนถึงห้องที่โต้งมิวสิคนั่งอยู่ จากนั้นตามด้วยเสียงที่คุ้นเคย
ปัง ปัง ปัง ปังๆๆๆๆ ปัง ปัง ปัง ปังๆๆๆๆ
“ฮ่าๆๆ ในที่สุด ข้าก็จะทำผลงานสำคัญกำจัดศัตรูตัวร้ายของแก๊งค์ได้”
“ไอ้หน้ากากดำ วันนี้ในอีกหนึ่งปีข้างหน้าคือวันครบรอบวันตายของมึง ฮ่าๆๆๆๆ”
เสียงหัวเราะของโต้งมิวสิคดังลั่นห้อง คลอไปกับเสียงปืนที่รัวมาจากหน้าทางเข้าอาคาร