Midterm Fantasy - ตอนที่ 133
ร่างสีเขียวของออร์คหลบอยู่เบื้องหลังโล่ขนาดใหญ่ พวกมันกว่าสิบตัวกำลังเคลื่อนตัวมาเบื้องหน้าอย่างช้าๆ
“ทุกคนระวังให้ดี รอจังหวะสัญญาณจากคุณรอน” พอลร้องสั่งชาวบ้านคนอื่นๆ ทุกคนถืออาวุธหลบอยู่เบื้องหลังต้นไม้มองดูกลุ่มของออร์คที่เหลืออยู่ เจ้ามอนสเตอร์ที่ยุ่งยากเหล่านี้รวมกลุ่มกันสิบกว่าตัวหลบหลังโล่อยู่รวมกันไม่ยอมแยกแตกกลุ่ม การจะเข้าต่อสู้ประชิดนั้นเสี่ยงเกินไป
ถ้าไม่ใช่ว่าวันนี้คุณรอนต้องการจะลองอาวุธใหม่ คงไม่มีใครอยากสู้กับออร์คนี่แน่
“เอาเลยโรล่า” รอนร้อง
“ค่ะคุณรอน” เด็กสาวร้องขึ้น “Activate!”
เด็กสาวปล่อยมานาเข้าลูกบอลในมือก่อนจะขว้างออกไป ลูกกลมใสลอยโค้งไปในอากาศเรืองแสงสีชมพูออกมา มันตกลงสู่พื้นดินแล้วกลิ้งหลุนๆเข้าไปท่ามกลางกลุ่มออร์คที่เดินอยู่
“ 3.. 2.. 1..”
ตูม! โฮกกกก
โล่นับสิบปลิวกระจาย กลุ่มก้อนของออร์คที่เดินเข้ามาแตกแยกบานล้มออกจากกัน ศีรษะของออร์คแต่ละตัวเปื้อนไปด้วยเลือดที่ไหลออกจากหูและจมูก พวกมันกรีดร้องอย่างสับสนไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
“ทุกคนขว้างได้”
“Activate!”
“ตายซะเจ้ามอนสเตอร์”
แสงสีชมพูสว่างเรืองลอยข้ามไปในอากาศและตกลงไปบริเวณกลุ่มของออร์คอีกครั้ง พวกมันที่กำลังลุกขึ้นอย่างมึนงงมองไปที่สิ่งแปลกปลอมที่ตกลงมา ก่อนที่เสียงกึกก้องจะดังขึ้นอีก
ตูม! ตูม! ตูม!
“พวกเรา บุกได้”
“เฮฮฮฮ”
พอลนำชาวบ้านที่คุมเชิงอยู่บุกเข้าไปด้านหน้าตรงเข้าจัดการกับออร์คที่กำลังสับสนวุ่นวายอยู่ ออร์คที่เสียขวัญเหล่านี้ไม่ใช่คู่มือของชาวบ้านหมู่บ้านโอลเซ่นที่อาวุธครบมือเลยแม้แต่น้อย
“ดูท่าทางจะใช้ได้ผลอยู่นะ” รอนยิ้มอย่างพึงพอใจ
หลังจากที่เขาได้รับเครื่องพิมพ์3มิติมาจากหลิวลี่จงแล้ว เขาก็จัดการใช้ไฟล์ที่ได้จากสุธนพิมพ์ลูกระเบิดเวทมนตร์ออกมา ตัวเปลือกนอกใช้พลาสติกใส ส่วนแถบวงแหวนเวทเขาก็เอาผงแกนมอนสเตอร์บดผสมกับผงพลาสติกลงไป หาส่วนผสมจนกระทั่งทุกอย่างลงตัวพอดี
“โรล่าระวังตัวด้วย เจ้าตัวนั้นยังมีพลังชีวิตอยู่เต็ม” แพทร้องบอก หากแต่เด็กสาวชาวบ้านไม่สนใจ พุ่งตัวเข้าไปหาออร์คตัวหัวหน้าทันที
แคร้ง แคร้ง ฉึก
“อ๊ะ” โรล่าร้องออกมา เจ้าออร์คตัวนั้นเกร็งแขนที่ถูกแทงด้วยมีดเอาไว้จนกระทั่งเธอไม่อาจดึงมีดออกมาได้ ออร์คฟาดดาบลงใส่โล่ของเด็กสาว เสียงปังดังขึ้น โล่กระเด็นหลุดมือไป ร่างของโรล่าล้มลงที่พื้น ส่วนออร์คตัวนั้นชูดาบในมือยืนจังก้าเหนือร่างของเด็กสาวแล้วหวดดาบลงมา
เป๊ง! ฉัวะ!
ออร์คล้มลงสิ้นใจ มือทั้งสองพยายามดึงหอกที่แทงทะลุคอหอย ปล่อยให้ดาบที่ฟันติดโล่ของรอนหล่นลงพื้นไป
“โรล่าบาดเจ็บตรงไหนไหม” เด็กหนุ่มถาม
“ไม่ค่ะคุณรอน ขอบคุณนะคะ” เด็กสาวตอบ “ว่าแต่ตอนนี้ใครคุ้มกันคุณแพทล่ะคะ”
โฮกกกก
ทั้งสองหันกลับไปมอง ออร์คที่บาดเจ็บสองตัวอาศัยจังหวะที่รอนไปช่วยโรล่า พุ่งเข้าหาแพทที่ไม่มีคนคุ้มครอง พวกมันที่รู้ตัวว่าไม่รอดแน่ๆมุ่งเป้าไปที่ผู้หญิงที่ดูท่าทางอ่อนแอมากที่สุดในกลุ่ม
“อ๋อ ไม่ต้องห่วงหรอก”
“เอ๊ะ” โรล่าร้องขึ้น และก็เข้าใจเมื่อเห็นภาพตรงหน้า แพทยกดาบเล่มใหญ่ขึ้นจากพื้นด้วยมือทั้งสอง ยกเอียงองศาเล็กน้อยรับดาบที่ฟาดฟันลงมาของออร์คทั้งคู่
“ย่าห์!”
โอ๊คคค!
เสียงร้องดังออกจากร่างกายท่อนบนของมอนสเตอร์ทั้งสองที่ขาดลอยขึ้นไปในอากาศ ดาบที่ทั้งคมและหนักตัดผ่านกลางลำตัวของมอนสเตอร์ทั้งสองอย่างไม่ยากเย็น
“ขะ แข็งแกร่ง” โรล่าอ้าปากค้าง ขณะที่รอนยิ้มแหยๆ ที่เขาผละออกจากแพทมาได้ก็ไม่ใช่เพราะเขาไม่ห่วงแพท แต่เป็นเพราะในกลุ่มทั้งหมดนี้ แพทคือคนที่มีพลังสูงที่สุดในกลุ่ม
สูงแค่ไหนน่ะหรือ
รอนที่ตอนนี้เลเวลอัพมาเรื่อยๆตลอดหลายเดือนสามารถยกน้ำหนัก200กิโลกรัมได้อย่างไม่ยากเย็น
แต่เมื่อเทียบกับแพทแล้วยังห่างกันมาก เพราะแพทที่ดูร่างบอบบางคนนี้สามารถยกน้ำหนักได้ 300 กิโลกรัมแล้ว
ดังนั้นการจะฟันร่างของออร์คจนขาดสองท่อนจึงเป็นเรื่องชิลๆ
“เฮฮฮฮ”
“พวกเราชนะแล้ว”
“คุณแพทสุดยอดมาก จัดการออร์คสองตัวได้ในดาบเดียว”
“แพท แพท แพท แพท..”
เหล่าชาวบ้านยกดาบในมือขึ้น ร้องเรียกชื่อของเด็กสาวด้วยความเลื่อมใสนับถือ
***** ****** *****
“โฮ่ๆๆๆ ยังงั้นเองเรอะ ออร์คที่กะจะรุมคุณแพทกลับเจอจัดการในดาบเดียวเรอะ” มนุษย์หมีหัวเราะ
“เรียกได้ว่ามันโชคร้ายจริงๆ ถ้ามันเลือกเล่นงานคนอื่นล่ะก็อาจจะสำเร็จก็ได้ แต่นี่มันดันไปเลือกกระดูกชิ้นโตเข้าสินะ” มนุษย์แมวบอกก่อนจะหันไปที่เคาน์เตอร์ “เจ้าของร้าน ขอข้าวผัดกระเพราไข่ดาวอีกจาน”
“ได้เลย ใครเอาอะไรอีกไหม” ชายเจ้าของร้านตะโกนรับคำหันไปถามคนอื่นๆ
“ข้าเอาแกงเลียง”
“ข้าเอาต้มข่าไก่”
“ข้าเอาแอ๊บอ่องออที่นึง”
มือยกชูกันสลอนจนเจ้าของร้านต้องร้องบอก
“ได้ๆ ทีละคน ทีละคน ไม่ต้องแย่งกัน”
แพทและรอนมองไปที่ร้านอาหารฝั่งตรงข้าม ร้านที่ล้นไปด้วยนักเดินทางและนักผจญภัย เห็นได้ชัดว่าลูกค้าส่วนใหญ่ไม่ใช่เผ่ามนุษย์ หากแต่เป็นเผ่ามนุษย์ครึ่งสัตว์แทบทั้งนั้น
“จะว่าไปก็เป็นเพราะผักของคุณรอนแท้ๆที่ทำให้หมู่บ้านของเราเฟื่องฟูได้ขนาดนี้” พ่อเฒ่าเบรเซอร์บอก “พืชผักที่พวกเผ่าสัตว์ชอบกินกัน หาปลูกในทวีปนี้ไม่ได้ พอคุณรอนเอามาขายเลยทำให้พวกพ่อค้าและนักผจญภัยเผ่าสัตว์เดินทางมุ่งหน้ามาที่หมู่บ้านเรากัน”
“แถมมีเมล็ดพันธุ์มาให้ปลูกจำนวนมากแบบนี้ ต่อไปชาวบ้านหมู่บ้านโอลเซ่นก็ไม่ต้องกังวลเรื่องอาชีพอีกต่อไปแล้ว ขอแค่ปลูกต้นไม้พวกนี้ขายหรือทำอาหาร นักเดินทางชนเผ่าสัตว์ก็จะเดินทางมาเป็นลูกค้าของเราเอง” พอลเสริม
“ว่าแต่คุณเบรเซอร์กำชับเรื่องการเก็บรักษาแล้วใช่ไหมครับ”
“ไม่ต้องห่วงเรื่องนั้น ข้ากำชับแล้วว่าผลผลิตที่ยังสดอยู่ต้องแช่ในน้ำแข็งตลอดเวลา ส่วนผักแห้งนั่นก็ต้องใส่ถุงซิลิกาเจลดูดความชื้น ถุงนั่นต้องเอาออกมาใช้เวทไฟเผาไล่ความชื้นวันละครั้ง” คุณเบรเซอร์บอก
รอนพยักหน้าอย่างพอใจ หลังจากตอนนั้นที่เขารู้เรื่องว่ามีพ่อค้าเผ่าสัตว์ขอเหมาซื้อเครื่องเทศที่เขาเอาเมล็ดมาปลูกไว้ตอนที่มาหมู่บ้านใหม่ๆ เขาก็สืบค้นจนพบว่าเผ่าสัตว์นั้นกินอาหารคล้ายกับคนไทย ชอบอาหารรสจัดหนักเครื่องเทศและผักที่มีรสกลิ่นหลากหลาย และเมื่อตอนนั้นที่ไปร้านของอาม่าหน้าปากซอย ก็ไปเจอว่าอาม่ามีฟ้องใต้ดินที่มีตู้แช่ฟรีซเซอร์เก็บผักเอาไว้เป็นกระสอบจึงได้เหมามาและให้ชาวบ้านหมู่บ้านโอลเซ่นใช้ทำอาหารขาย
การสอนก็ไม่ยาก รอนดูดคลิปสอนทำอาหารจากอินเตอร์เนทมาใส่ไว้ในเครื่องแท็บเบล็ด จากนั้นเอามาที่โลกนี้ … คนที่นี่ฟังภาษาไทยไม่ออกก็ไม่เป็นไร รอนก็ใช้ความสามารถทางภาษาของศิลานักปราชญ์จัดการพากษ์ทับใหม่ไปให้
ในเวลาไม่นาน ชื่อเสียงของหมู่บ้านโอลเซ่นก็เลื่องลือไปในหมู่ชาวเผ่าสัตว์ ไม่ว่าจะนักผจญภัย พ่อค้า หรือนักเดินทางต่างก็จัดการเปลี่ยนแผนการเดินทางให้มาแวะเฉียดหมู่บ้านโอลเซ่นสักครั้ง แม้จะต้องเดินทางไกลขึ้นอีกหน่อยแต่ก็ได้กินอาหารที่รสชาติคล้ายรสชาติบ้านเกิดที่ทวีปเลมูเรีย
และการเดินทางที่เพิ่มขึ้นของคาราวานเผ่าสัตว์ก็สร้างผลพลอยอีกอย่างให้กับพื้นที่นี้ นั่นคือมอนสเตอร์ที่ลดลงอย่างฮวบฮาบจากการที่นักเดินทางที่มากขึ้นได้ช่วยกันจัดการสังหารมอนสเตอร์ไปทีละเล็กละน้อย
“แล้ววันนี้มีข่าวอะไรเพิ่มเติมไหมครับ” รอนถามพ่อเฒ่า
“วันนี้ตอนที่ทุกคนออกไปล่าออร์คกัน มีทูตจากทุ่งหญ้าเผ่าสัตว์มา พวกเขาต้องการซื้อเมล็ดพันธุ์เครื่องเทศจากพวกเรา”
“คุณเบรเซอร์ตอบไปแล้วใช่ไหมครับว่าพวกเราก็มีเมล็ดจำกัด”
“ข้าบอกไปแล้ว แต่พวกนั้นยังต่อรองขอซื้อบางส่วนอยู่”
“ถ้าอย่างนั้น” รอนครุ่นคิดก่อนจะบอกออกไป “ถ้างั้นขายเมล็ดพริกให้พวกเขาไปครับ พริกมันปลูกขึ้นง่ายต่อให้เราไม่ขายในอีก2-3ปีพวกนั้นก็คงเพาะแข่งกับเราได้ ส่วนเครื่องเทศอื่นๆขายให้ในปริมาณน้อยๆ รบกวนคุณเบรเซอร์กะแค่ให้พอปลูกสำหรับพวกชนชั้นหัวหน้าในเผ่าสัตว์ แต่อย่าให้เพียงพอสำหรับเอาไปปลูกเป็นไร่ๆ ไม่งั้นต่อไปพวกนี้อาจจะกลายเป็นคู่แข่งทางธุรกิจกับพวกเราได้”
ถ้าไม่ยอมเลยก็น่าเกลียดไป แต่ถ้ายอมขายเมล็ดให้มากๆจนเป็นคู่แข่งกัน ต่อไปนักเดินทางเผ่าสัตว์ก็ไม่เดินทางผ่านโอลเซ่นสิ
“รอน ว่าแต่เธอไปเอาเมล็ดมาจากไหนเยอะแยะ” แพทถามอย่างสนใจ
“เอามาจากร้านอาม่าน่ะ ที่จริงมันมีเยอะกว่านี้อีกนะ แต่ว่าอาม่าเค้าเก็บไว้นานเกินไป เก็บไว้เป็นกระสอบๆไว้ตั้ง20กว่าปีเลยเอามาใช้ไม่ได้” รอนตอบ “แต่อาม่าบอกว่าเคยมีเบอร์โทรร้านที่ขาย ก็เลยให้เบอร์มา”
“แล้วนี่เธอต้องขนกี่เที่ยวล่ะนี่ถึงจะได้ของมาขนาดนี้” แพทถาม เพราะรู้ข้อจำกัดดีว่าถ้าของไม่ได้อยู่รวมกัน 30 วัน จะขนมาได้แค่ทีละชิ้น
“เที่ยวเดียว ร้านที่โทรไปถามเค้าบอกว่ามีของที่จัดเอาไว้แบบนั้นอยู่แล้ว พอรู้ว่าเราโทรจากร้านอาม่าไปก็ถามใหญ่เลยว่าอาม่าเป็นไงมั่ง” รอนตอบ “เห็นบอกว่าแต่ก่อนอาม่าชอบสั่งให้ร้านจัดของใส่กล่องไว้เป็นเดือนๆก่อนจะไปรับ ทำแบบนี้หลายปีจนกระทั่งเจ้าของร้านติดนิสัยเตรียมของเผื่อเอาไว้ให้”
“โชคดีจริงๆที่อาม่ามีนิสัยแปลกๆเธอเลยขนของมาได้แบบสบายๆเที่ยวเดียว”แพทบอก
อืม จะว่าไปก็แปลกดี ทำไมอาม่าต้องทำแบบนั้นด้วย รอนคิด
แต่ช่างเหอะ