Midterm Fantasy - ตอนที่ 139
วิทวัสขับรถออกจากโรงแรมไปยังที่หมายสุดท้าย เขามาถึงที่โรงแรมตั้งแต่เย็นแล้ว และก็นั่งรอการติดต่อจากแก๊งค์เมษาอยู๋นาน จนกระทั่งตอนเกือบ4ทุ่มทางนั้นจึงส่งพิกัดสุดท้ายมาให้
จากแผนที่ดูแล้วเป็นพื้นที่ที่ห่างไกลจากผู้คน เป็นโกดังอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ที่ปัจจุบันไม่ได้ใช้งานแล้ว
เขาขับรถเข้าไปเรื่อยๆจนกระทั่งถึงทางเข้าโกดัง ที่นั่นมีคนส่องไฟฉายเข้ามาที่รถ
“นั่นใคร”
“ผมมาตามนัดส่งมอบเงิน”
“ไหนดูหน้าซิ”
แสงไฟส่องหน้าวิทวัส ชายสองคนเดินเข้ามาใกล้ มองกระดาษในมือสลับกับใบหน้าของเขา
“หน้าตรงกัน โอเค เข้าไปได้ ตรงไปตามถนนนี่อีก 2 กิโลก็จะถึง”
วิทวัสพยักหน้ารับไม่พูดอะไร เขามองไปข้างในข้างทาง มีรถขับเคลื่อน4ล้อจอดอยู่หลังพงไม้นั่น 2 คัน มีคนอีกกลุ่มหนึ่งที่หลบซ่อนอยู่ แม้ว่าตอนนี้เขาจะไม่มีสกิลแผนที่รบจากศิลานักปราชญ์แล้วก็ตาม แต่ว่าประสบการณ์การต่อสู้ที่โชกโชนทำให้เขารับรู้ได้ถึงการหลบซ่อนตัวของคนเหล่านี้
รถจอดที่หน้าโกดัง วิทวัสขมวดคิ้วเล็กน้อย ภาพตรงหน้ามันผิดจากที่เขาคิดเอาไว้ เขาคิดว่าฐานทัพใหญ่ของแก๊งค์เมษาควรจะหรูหราอลังการมากกว่านี้ นี่ดูจากภายนอกยังไงก็เหมือนกับโกดังธรรมดา
และยิ่งเดินเข้าไปในโกดังแล้ว วิทวัสก็ยิ่งต้องแปลกใจ เพราะภายในโกดังก็ดูธรรมดาไม่ได้ตกแต่งหรูหรา คนไม่ได้จอแจที่จะทำให้นึกถึงการเป็นฐานใหญ่ที่หัวหน้าใหญ่อาศัยอยู่
หรือว่ามันจะอยู่ในชั้นใต้ดินกัน? เขาคิด
คนของแก๊งค์สองคนยืนเฝ้าตรงหน้าประตูชั้นใน ตรวจค้นร่างของวิทวัสว่ามีอาวุธหรือไม่ ใช้เครื่องมือตรวจโลหะไล่จับไปตามร่างกายแต่ก็ไม่พบอะไรนอกจากกำไล แหวนและสร้อยสีแดงที่วิทวัสใส่เอาไว้เต็มไปหมด
“เข้าไปได้”
“ไม่ยึดโทรศัพท์ผมรึ”
“ไม่ต้อง ยังไงก็ไม่มีสัญญาณอยู่แล้ว”
วิทวัสมองดูโทรศัพท์ของตน จากที่สัญญาณเต็มเมื่อครู่นี้ ตอนนี้กลายเป็นปราศจากสัญญาณไปแล้ว
แปลก! อาคารแบบนี้ไม่น่าจะอับสัญญาณขนาดนี้ และการที่เป็นฐานทัพใหญ่มันควรจะมีสัญญาณพร้อมติดต่อสิ
ผ่านประตูเข้าไป เป็นลานเก็บสินค้าที่ว่างเปล่า ภายในมีคนนั่งๆนอนๆกันร่วมร้อยคน ที่ทางเดินชั้นลอยด้านบน ร่างที่คุ้นเคยของพ่อบ้านจ็อบส์ยืนคุยโทรศัพท์อยู่
“จัดการตามแผนได้ พวกแกลงมือได้เลย เสร็จแล้วเอาตัวนังนั่นไปจุดนัดพบ โอเค แล้วเจอกัน”
พ่อบ้านจ็อบส์วางสายแล้วหันมาทางวิทวัส
“พ่อบ้านจ็อบส์ ผมมาตามสัญญาแล้ว นี่เงิน” วิทวัสวางกระเป๋าเงินลงด้านหน้า “แล้วพี่ใหญ่ปัญญ์อยู่ที่ไหน”
“พี่ใหญ่ปัญญ์? นี่แกคิดว่าพวกเราโง่มากใช่ไหมถึงคิดจะตบตาล่อพี่ใหญ่ออกมา” พ่อบ้านหัวเราะ “แกนี่มันกล้านักนะ กล้าร่วมมือกับศัตรูของแก๊งค์เมษาได้”
“นี่มันอะไรกันพ่อบ้านจ็อบส์ ผมงงไปหมดแล้ว” วิทวัสร้องถาม ดูเหมือนที่นี่จะไม่ใช่รังใหญ่ของพวกมันหากแต่เป็นพื้นที่ลับทั่วไป
“แกไม่รู้ตัวอีกรึ ว่าการที่แกและลูกสาวไปร่วมมือกับเจ้าหน้ากากดำเท็นสไควร์น่ะไม่ใช่ความลับอีกแล้ว” พ่อบ้านจ็อบส์บอก
“หน้ากากดำเท็นสไควร์?” วิทวัสชักงง เดี๋ยวสิ ตรูคือเท็นสไควร์นี่นา แล้วลูกสาวของเขาไปเกี่ยวอะไรด้วย
“ไม่ต้องมาทำไขสือ แกน่ะอ้างว่าเพราะจ่ายค่าคุ้มครองให้พวกเราแล้ว แล้วหมู่ตึกของพวกเราเจอถล่มต้องจ่ายใหม่ เป็นเหตุให้ขอพบพี่ใหญ่ปัญญ์โดยตรง” จ็อบส์ถอดหมวกออกเผยให้เห็นศีรษะที่โล่งเตียน “แต่แกคงไม่รู้สินะ ว่าตอนที่หน้ากากดำถล่มรังของโต้งมิวสิคน่ะ คนของเราถ่ายภาพพื้นที่ไว้ได้ และลูกสาวของแกน่ะ ยืนอยู่กับรองหัวหน้าแก๊งค์รุ่งโรจน์ ความบังเอิญขนาดนี้มันจะยังมีอีกรึ”
“ห๊ะ!” วิทวัสตกใจ
“ฮ่าๆ ประหลาดใจสินะที่ความลับถูกเปิดโปง แค่นี้ก็แสดงให้เห็นแล้วว่า พวกแกสองพ่อลูกน่ะร่วมมือกับหน้ากากดำเท็นสไควร์” พ่อบ้านจ็อบส์หัวเราะร่า
ขณะที่คุณวิทวัสกลุ้มใจปวดหัวตุบไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี ดูเหมือนว่าเจ้าพวกแก๊งค์นี่จะเข้าใจว่ารอนคือเท็นสไควร์ตัวจริง และเขาเป็นแค่เพียงคนที่ร่วมมือด้วยเท่านั้น
“จับตัวมันไว้ซะ เราจะรอให้เท็นสไควร์มาช่วย จะรอให้มันเข้ามาสู่กับดักด้วยตัวเอง”
“ถึงแกจับตัวชั้นไว้ เท็นสไควร์อะไรนั่นก็ไม่มาช่วยชั้นหรอก มันเปล่าประโยชน์” วิทวัสบอกออกไป จะรอให้่เขาช่วยตัวเองงั้นเรอะ น่าขันสิ้นดี
“โอ้ โอ้ โอ้ ยังจะปากแข็ง แต่ไม่ต้องห่วง เพราะเมื่อกี้ข้าสั่งให้คนของเราอีกชุดบุกบ้านแกให้จับลูกสาวของแกไว้ ถ้าลูกสาวแกเจอจับอีกคนนึง ไอ้เท็นสไควร์คงไม่อยู่เฉยๆแน่”
“แกว่าไงนะ”
“รู้ตัวตอนนี้ก็สายไปแล้ว คำสั่งออกมาแล้วว่าให้จับเป็นลูกสาวแกแค่คนเดียว ป่านนี้ไอ้อีแกสามคนที่อยู่ในบ้านแกคงกลายเป็นศพหมกบ้านไปหมดแล้ว” พ่อบ้านจ็อบส์หัวเราะอีกครั้ง “จับมันไว้ พวกเราไม่ต้องกลัวไป ต่อให้เจ้าเท็นสไควร์มันจะเก่งแค่ไหนแต่ก็ไม่กล้าฆ่าคน ทุกคนสู้ได้เต็มที่ไม่ต้องกลัว”
“…..” วิทวัสหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดู จากนั้นโยนทิ้งลงไปในถังขยะ
“ฮ่าๆ สิ้นหวังแล้วสินะ เราใช้เครื่องตัดสัญญาณโทรศัพท์ทั้งหมดแล้ว ไม่ว่าใครก็ติดต่อออกจากที่นี่ไม่ได้” พ่อบ้านจ็อบส์ร้องขึ้นและส่งสัญญาณให่้ลูกน้องเข้าจับตัวชายตรงหน้า พวกมือปืนค่อยๆลุกขึ้นกัน หลายคนเดินเข้ามาจับวิทวัสมือไพล่หลังและใช้สายล็อคพลาสติกรูดพันธนาการ
“มีเรื่องสองเรื่องที่แกเข้าใจผิด” วิทวัสบอก
“หืม?”
“เรื่องแรก ที่เท็นสไควร์ไม่เคยฆ่าใครไม่ใช่เพราะเขาไม่กล้า แต่เป็นเพราะเขาจะไม่ฆ่าถ้าไม่มีใครล้ำเส้น และตอนนี้แกได้ล้ำเส้นนั้นไปแล้ว”
“อะไรของแก”
“เรื่องที่สอง หน้ากากดำที่ว่านั่นเป็นแค่เด็กหนุ่มคนนึง แกไม่คิดมั่งหรือไงว่าผ่านมา 30 ปีแล้วเท็นสไควร์มันควรจะโตขึ้นบ้างไหม”
สีหน้าของพ่อบ้านจ็อบส์เปลี่ยนไปทันที มันนึกอะไรบางอย่างได้
“เดี๋ยวนะ อายุแบบนั้น เท็นสไควร์ วิทวัส หรือว่าแกก็คือ…”
วงแหวนเวทสีฟ้าก่อตัวขึ้นที่ใต้เท้าของวิทวัส ปากของเขาร่ายเวทที่เคยใช้อย่างขึ้นใจในอดีต เวทไม้ตายที่ไร้ผู้ต่อต้าน
“<Power…..”
“ฆ่ามัน ฆ่ามันเดี๋ยวนี้ ยิงมันเลย” จ็อบส์ตะโกนพลางยกปืนในมือขึ้นชี้ไปด้านหน้า
“….Overwhelming>”
ประกายพลังงานสีฟ้าก่อตัวขึ้นทั่วร่างบังเกิดเป็นเสมือนบาเรียทรงกลมล้อมตัวของเขาไว้ วิทวัสดึงข้อมือแยกจากกันฉีกแถบพลาสติกเหนียวนั้นขาดอย่างง่ายดาย แล้วพุ่งมือทั้งสองไปที่มือปืนสองคนที่อยู่ใกล้ที่สุด
“เฮ้ย!”
ปัง ปัง ปัง ปัง ปัง ปัง
ปืนสองกระบอกในมือสาดกระสุนไปยังทิศประตูทางออก มือปืนที่อยู่ที่ประตูไม่ล้มลงก็กระโดดหาที่หลบ แล้ววิทวัสก็ก้มลงไปที่พื้น ยกคานเหล็กอันใหญ่ขึ้นมา ขว้างลอยไปในอากาศ
ตูม! แผละ!
คานเหล็กอัดเข้ากับกำแพง กระแทกร่างมือปืนโชคร้ายเข้ากับประตู เสียงดังจากภายนอกบอกให้รู้ว่าคนที่อยู่ภายนอกนั้นเข้ามาข้างในไม่ได้
ปังๆๆๆๆ แททๆๆๆๆ
เสียงปืนยิงรัวเป็นตับ หากแต่คนที่ยิงต่างมองแทบไม่เห็นเป้าหมาย ทุกคนเห็นแต่แนวแสงสีฟ้าที่หลงเหลือเมื่อร่างนั้นวิ่งผ่านไปมา แต่ละครั้งที่ร่างนั้นเข้าถึงมือปืนคนใดคนหนึ่ง คนๆนั้นจะกระเด็นลอยออกไปพร้อมกับร่างที่หักพังเหมือนตุ๊กตาถูกทุบ
“พวกเราอย่ากลัว มันมีคนเดียว พวกเรามีเป็นร้อย อย่าไปกลัวมัน” พ่อบ้านจ็อบส์สาดกระสุนไปด้านหน้าจากชั้นลอย
อะไรบางอย่างลอยพุ่งจากชั้นล่างขึ้นมาจนพ่อบ้านจ็อบส์ต้องพุ่งตัวหลบ มองไปก็เห็นเป็นร่างของมือปืนคนหนึ่ง หากแต่เป็นร่างที่คอหัก ขาหัก ใบหน้าก่อนตายเต็มไปด้วยความเจ็บปวด
“ตะ ตะ ต้องบอกพี่ใหญ่ ไอ้วิทวัสคือเท็นสไควร์” จ็อบส์ล้วงมือถือขึ้นมาเลื่อนไปเบอร์พี่ใหญ่ปัญญ์ หากแต่ไม่ว่าจะกดยังไงก็กดไม่ติด
“ลืมไปแล้วรึว่าแกตัดสัญญาณโทรศัพท์หมดแล้ว” วิทวัสก้าวเท้าไปด้านหน้าช้าๆ
ปัง ปัง ปัง แกร็ก
กระสุน 3 นัดพุ่งเข้าที่โล่พลังงานก่อนที่จะบี้แบนตกลงสู่พื้น
“พวกเรา ช่วยกันฆ่ามัน ไอ้นี่มันพลาดทำคานเหล็กปิดทางเข้าออกแล้ว มันหนีไปไหนไม่ได้แล้ว จัดการมันซะ…”
ผัวะ!
ร่างของจ็อบส์ลอยละลิ่วไปในอากาศก่อนจะตกลงสู่พื้นเบื้องล่าง คอของมันหักบิดหมุนรอบตั้งแต่ก่อนจะตกลงสู่พื้น
วิทวัสก้มลงเก็บโทรศัพท์มือถือของจ็อบส์ ก่อนจะเดินไปที่ขอบของชั้นลอย มือปืนที่เหลืออยู่เบื้องล่างต่างมองขึ้นมาอย่างประหวั่นพรั่นพรึง จนวิทวัสเอ่ยออกไป
“พวกแกคิดว่าชั้นขว้างคานเหล็กนั่นใส่ประตูทำไมกัน”
คุณพ่อของแพทบอกออกมา
“พวกแกนั่นแหละ ที่หนีไปไหนไม่ได้แล้ว”
“ว๊ากกกกก”
“ฆ่ามัน”
“ไอ้ปีศาจ”
แททๆๆๆๆๆๆๆ
ปังๆๆๆๆ
เสียงปืนที่ดังมาจากในโกดังดึงดูดให้พวกมือปืนที่ติดอยู่ข้างนอกรีบเข้ามารวมกลุ่มกัน พวกมันเอารถที่มีอยู่มาจอดเทียบ เอาโซ่ล่ามพ่วงเข้ากับประตูโกดังแล้วออกรถ
ปึง!
ประตูโกดังถูกกระชากเปิดออก เผยให้เห็นภาพอันสยดสยองภายในโกดัง
“เฮ้ยเกิดอะไรขึ้นอ๊ากกกก”
และสิ่งที่เกิดขึ้นในโกดังก็เกิดซ้ำอีกครั้งหนึ่ง
40 นาทีต่อมา
“แค้กๆ ถุด”
วิทวัสพิงกายเข้ากับซากรถที่พังยับ ร่างของหนุ่มใหญ่เต็มไปด้วยเลือดและชิ้นเนื้อของฝ่ายตรงข้าม ที่ใบหน้าและลำตัวมีหลายจุดที่มีรอยแผลอันเกิดจากกระสุนปืน แม้ว่าแผลส่วนใหญ่จะหายแล้ว แต่ก็มีบางแผลที่ยังปรากฎเป็นเลือดซึมๆอยู่
“ใช้เวลานานกว่าที่คิดจนได้” วิทวัสบ่นกับตนเอง
Power Overwhelming เป็นเวทไม้ตายที่เขาได้รับการสอนมาจากราชาอันเดท แต่ข้อเสียก็คือมันใช้พลังเวทมหาศาล 80% ของพลังทั้งหมดที่เขามีในตัวและอยู่ได้แค่ 15 นาที
ถ้าพวกมันมีมากกว่านี้อีกสักเท่านึง ตอนนี้เขาคงแย่ไปแล้ว
หนุ่มใหญ่เดินไปที่ถังขยะ หยิบมือถือของตนที่โยนเอาไว้ป้องกันความเสียหายขณะต่อสู้ออกมา
แผนพังพินาศไปหมดแล้ว ที่บ้านก็ถูกโจมตี จะกลับไปตอนนี้ก็ไม่มีทางทัน ได้แต่ฝากความหวังไว้กับลุงบัวแล้ว
เขารู้ฝีมือของลุงบัวดี Black Lotus คนนั้น แม้จะออกจากวงการมาหลายสิบปี แต่ฝีมือก็ไว้ใจได้ หากแต่อีกฝ่ายมีมากเกินไปนี่สิ
วิทวัสสลัดทิ้งความลังเลทั้งหมด หยิบโทรศัพท์ของตนกดไปที่เบอร์ของรอน ตอนนี้มีเพียงเจ้าหนุ่มนั่นที่จะช่วยเขาได้
“หืม อ้าว”
วิทวัสเงยหน้ามองโทรศัพท์อย่างเซ็งสุดขีด กดเบอร์ซ้ำอีกครั้ง
“บ้าเอ๊ย ไม่มีสัญญาณตอบรับจากหมายเลขที่ท่านเรียก!”