Midterm Fantasy - ตอนที่ 145
รอนค่อยๆลืมตาขึ้นช้าๆ ความเจ็บปวดและบาดแผลรอบๆตัวได้หายไปจนหมดแล้ว เขารู้สึกได้ว่ากำลังนอนอยู่บนเตียงนุ่มๆ ในห้องที่ไม่คุ้นตา
“ตื่นแล้วเหรอ” ผู้กองเฌอมาลย์ที่ยืนอยู่ใกล้ๆหันมาพอดี
“ผมมาอยู่นี่ได้ไงครับ แล้วคนอื่นๆ”
“ที่นี่เป็นเซฟเฮาส์ของตำรวจ เธอหมดสติไปน่ะ” ผู้กองเฌอฯบอก “ส่วนคนอื่นๆอยู่ข้างนอก รอเดี๋ยวนะ”
ผู้กองสาวเดินออกไปก่อนจะกลับเข้ามาพร้อมกับแพท
“แพท”
“รอน”
ทั้งสองคนเรียกชื่อกันและกัน เด็กสาวเดินมานั่งที่เตียง จับมือเด็กหนุ่มเอาไว้ก่อนที่ทั้งคู่จะหันไปมองหน้าตำรวจสาว
“…”
“…”
“…”
“เข้าใจละ เดี๋ยวพี่จะออกไปข้างนอกก่อน” ผู้กองกระแอมไอสองสามทีแล้วก็เดินออกจากห้องไปทิ้งให้ทั้งสองอยู่คุยด้วยกัน
“แพท ตอนนั้นที่เราเห็นเธอโดนแทงที่หัวใจ” รอนถามขึ้น
“อ๋อ ตอนนั้นเหรอ เธอลืมไปแล้วเหรอว่าเธอให้เราใส่เครื่องรางนี่ไว้” แพทชูสร้อยเครื่องรางที่แตกไปแล้วให้ดู “พอพลังชีวิตตกถึงศูนย์ เวทรักษาระดับ 5 ก็ทำงาน เราก็เลยค่อยๆฟื้นไง”
“อย่างนี้นี่เอง” เด็กหนุ่มถอนหายใจอย่างโล่งอก
“รอน”
“หือ?”
“ครั้งหน้าไม่ทำแบบนี้แล้วนะ” แพทบอก “เธอในตอนนั้นน่ากลัวมาก เรากลัว”
รอนฟังแล้วก็นิ่งเงียบไป เขาเรียกสเตตัส Rage ขึ้นมาดู
[Rage Lv 3]
Progress 54/100
ถ้าหากมันเป็นเกม ตัวเลข 54/100 นี้จะดูดึงดูดมากทำให้อยากเพิ่มเลเวลต่อไปอีก
แต่ในตัวเลขที่ว่านี้ มันบ่งบอกว่าวันนี้เขาคร่าชีวิตของคนไปถึง 54 คน
รอนนึกกลัวตัวเองขึ้นมา
เขาฆ่าคนไป 54 คนแท้ๆ แต่ทำไมเขากลับไม่มีความรู้สึกผิด เขาควรจะกลัวสิถึงจะถูก
เมื่อนึกถึงตรงนี้แล้วเขาก็ยิ่งกลัวตัวเองขึ้นไปอีก ถ้าหากเขาไม่รู้สึกผิดกลัวเมื่อฆ่าคน เขาจะเผลอไปทำร้ายคนรอบๆตัวที่เขารักหรือเปล่า
ก๊อกๆๆ
ประตูเปิดออก คุณพ่อของแพทเดินเข้ามาพร้อมกับลุงบัว
“อืม แพท ลูกออกไปอยู่กับคุณตาคุณยายก่อน” คุณพ่อบอก “พ่อมีเรื่องจะคุยกับรอนหน่อย”
“ค่ะ” เด็กสาวลุกขึ้นอย่างว่าง่ายเดินออกจากห้องไป คุณวิทวัสเดินไปที่เก้าอี้ขณะที่ลุงบัวยืนอยู่ที่ข้างเตียง
“ลุงบัวดีขึ้นแล้วเหรอครับ” รอนถามอย่างแปลกใจ สภาพลุงบัวก่อนหน้านี้ยับเยิน พลังชีวิตเหลือกระจิ๊ดเดียวแท้ๆ
“ครับ คุณหนูใช้เวทมนตร์ช่วยรักษาแล้ว” ลุงบัวตอบ “ต้องขอบคุณคุณรอนมากที่ช่วยพวกเราไว้ ถ้าไม่อย่างนั้นตอนนี้พวกเราทุกคนไม่รู้จะเป็นยังไงแล้วบ้าง”
รอนพยักหน้า วันนี้มีอะไรเกิดขึ้นหลายอย่างเหลือเกิน เรื่องที่ได้รับรู้ก็มากมาย จากที่โทรคุยกันวันนี้ เขาก็เพิ่งรับรู้ว่าลุงบัวรู้เรื่องของโลกฝั่งโน้น รู้เรื่องเวทมนตร์
ที่สำคัญที่สุดคือ ได้รู้จากลุงบัวว่าคุณพ่อของแพทก็เคยข้ามไปที่โลกโน้นด้วยเหมือนกัน
เขาหันไปมองคุณพ่อของแพทที่นั่งอยู่
“รอน เธอรู้ไหมว่าทำไมแก็งค์เมษาถึงบุกมาที่บ้านเพื่อจะจับตัวแพท” คุณวิทวัสถามขึ้น
“เอ๊ะ … ไม่ใช่เพราะคุณลุงกำลังไปถล่มฐานใหญ่ของแก็งค์เมษาเหรอครับ” รอนตอบอย่างงงๆ ก็ตอนนั้นลุงบัวมาแบบนี้ เขาเลยนึกว่าแก็งค์เมษากำลังล้างแค้นอยู่
“ไม่ใช่ ที่จริงเรื่องทั้งหมดมันเป็นเพราะการกระทำที่ไม่ระมัดระวังของเธอ” คุณวิทวัสบอก “ตอนที่เธอ ตำรวจ และแก็งค์รุ่งโรจน์ไปถล่มรังของโต้งมิวสิค เธอพาแพทไปด้วยแล้วปล่อยให้ลูกของลุงเจอแก็งค์เมษาถ่ายรูปเอาไว้ได้ พวกมันเลยคิดจะจับตัวแพทไปเพื่อถามหาข้อมูลของเท็นสไควร์ซึ่งเป็นศัตรูของพวกมัน”
“เท็นสไควร์?” รอนนึกขึ้น “นักรบมังกรฝ่ายความมืด? ทำไมพวกแก็งค์เมษารู้จักคนๆนี้ได้ล่ะครับ แล้วมันเกี่ยวอะไรกับแพท”
“ก็เมื่อ 30 ปีก่อน เท็นสไควร์มาที่โลกนี้และถล่มแก๊งค์อันธพาลไปหลายแก๊งค์ แก๊งค์เมษาก็เป็นหนึ่งในนั้น” คุณวิทวัสบอก “และหน้ากากดำ หมวกดำ ที่เธอใส่ก็เป็นหน้ากากของเท็นสไควร์”
“ชิท!” รอนสบถออกมา ทีแรกเขากลัวว่าถ้าใช้ของบนโลกอาจจะมีคนตามรอยได้ว่าไปซื้อจากไหนจนย้อนกลับมาเจอตัว … ก็เลยเลือกใช้หน้ากากตัวร้ายของโลกโน้น คิดไม่ถึงว่าจะกลายเป็นจุดให้แก๊งค์เมษาหันมาสนใจมากกว่าเดิม
“ตอนนี้แผนเลยพังไปหมด วันนี้ลุงเดินทางไปคิดว่าจะกวาดล้างแก๊งค์เมษาสาขาในประเทศนี้ถึงรังใหญ่ แต่เพราะพวกมันเห็นว่าแพทอยู่กับหน้ากากดำ มันเลยคิดว่าที่ลุงไปเป็นแผนการ ลุงเลยโดนตลบหลังถูกหลอกไปที่อื่นแทน ยังดีที่รอนมาได้”
“ผมขอโทษครับ”
รอนก้มหน้า ที่แท้ก็เป็นเพราะเขาที่ทำให้ทุกคนมาตกอยู่ในความเสี่ยงแบบนี้
แล้วฝ่ามือหนาๆก็มาตบบ่าเขาแปะๆ
“แต่ก็ต้องขอบใจเธอ ที่เสี่ยงชีวิตมาช่วยครอบครัวของลุงไว้”
แม้ส่วนหนึ่งจะเป็นความผิดของรอนที่ไม่ระมัดระวัง แต่ว่าวิทวัสก็แยกแยะได้ ความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวที่เด็กหนุ่มคนนี้มีถือว่าไม่ใช่เรื่องธรรมดา
“ต่อจากนี้ก็อาจจะลำบากสักหน่อย เพราะตอนนี้หัวหน้าใหญ่แก๊งค์เมษาในประเทศยังอยู่ ถ้ามันส่งข่าวให้สำนักงานใหญ่ที่สหรัฐไปล่ะก็คงแย่แน่” วิทวัสบอก “ถ้าสำนักงานใหญ่รู้เรื่อง เหตุการณ์นี้ก็ต้องเกิดขึ้นซ้ำอีก”
“ให้ตำรวจช่วยได้ไหมครับ”
“ตำรวจเรอะ เธอก็เห็น วันนี้กว่าที่ตำรวจจะมาก็ปาเข้าไปเที่ยงคืนครึ่ง และที่ตำรวจมาเป็นเพราะคนของแก๊งค์รุ่งโรจน์ติดต่อไป”
“จริงสิครับ พวกมันเข้าใจผิดว่าผมคือเท็นสไควร์ที่เป็นศัตรูของมัน ถ้าเราติดต่อเท็นสไควร์ได้ล่ะก็เขาอาจจะช่วยเราได้ก็ได้นะครับ” รอนบอก “คุณลุงเคยข้ามไปที่โลกโน้น ลุงพอจะรู้ไหมครับว่าเท็นสไควร์คือใคร”
“รู้”
“ห๊ะจริงเหรอครับ งั้นตอนนี้ลุงติดต่อเขาได้ไหมครับ”
คุณวิทวัสชี้หน้าตัวเอง
“ลุงคือเท็นสไควร์”
“ห๊าาาาาาาาาาาาา!”
รอนร้องออกมาอย่างตกใจ แล้วก็ค่อยๆคิดได้ จริงสินะ พ่อของแพทบอกว่าไปถล่มรังของแก๊งค์เมษา แต่กลับถูกตลบหลังแต่ก็ยังรอดมาได้ แค่นี้ก็บ่งบอกได้แล้วว่าฝีมือขนาดไหน
“แบบนี้คุณลุงก็ไปถล่มรังใหญ่ของมันได้สิครับ”
“ไม่ได้แล้วล่ะ เพราะตอนนี้ลุงไม่มีพลังเวทแล้ว พลังทั้งหมดถูกใช้ไปกับการต่อสู้เมื่อกี้หมดแล้ว” วิทวัสบอก “และตอนนี้ในร่างของลุงไม่มีศิลานักปราชญ์แล้ว ไม่อาจใช้พลังได้อีกแล้ว”
“เอ๊ะ”
“โลกใบนี้น่ะเป็นโลกที่ไม่มีพลังเวทเป็นของตนเอง ถ้าใช้มานาในร่างหมดไปก็จะไม่สามารถเพิ่มใหม่ได้อีก” วิทวัสบอก “ที่ลุงซื้อแกนมอนสเตอร์จากเธอมา ก็เพื่อใช้ดูดซับพลังให้เต็มจะได้ใช้เวทมนตร์ได้ และนี่แกนมอนสเตอร์ก็ใช้ไปหมดแล้ว”
“งั้นเดี๋ยวพอผมไปที่โน่นผมจะเอาแกนมอนสเตอร์มาเพิ่มเองครับ”
“กว่าจะพอก็คงเป็นเดือนๆ ถึงตอนนั้นศูนย์บัญชาการใหญ่ของแก๊งค์เมษามันคงส่งคนมาถล่มเรียบร้อยแล้วล่ะ” คุณวิทวัสบอก “ว่าแต่เธอไม่มีแกนมอนสเตอร์เก็บไว้เลยเหรอ ในเมื่อเธอให้ลูกแพทชาร์จพลังเวทจากแกนมอนสเตอร์ได้ขนาดนั้นเธอก็น่าจะมีสำรองเก็บไว้บ้างจริงไหม”
“เรื่องนั้น …คือตอนนี้ผมเหลือสำรองไว้ที่บ้านอีก 10 กว่าอันครับ”
“ถ้าแค่นั้นก็ไม่น่าพอ”
“จริงสิครับ ลุงบอกว่าลุงเคยมีศิลานักปราชญ์ แล้วตอนนี้มันอยู่ไหนแล้วล่ะครับ ถ้าใช้ส่งร่างไปที่โลกโน้น ไปชาร์จพลังเวทสักวันนึงก็น่าจะได้พลังเหลือเฟือแล้ว”
“ลุงเก็บมันไว้ในบ้าน แต่มันไม่ง่ายแบบนั้นน่ะสิ เพราะจุดสุดท้ายที่ลุงอยู่ก่อนจะข้ามมาฝั่งนี้ มันเป็นจุดที่ยุ่งยากอยู่” วิทวัสบอก “และที่ลุงต้องเอาศิลานักปราชญ์ออกจากตัวก็เพราะจอมเวทฝ่ายตรงข้ามน่ะใช้เวทดึงตัวเอาไว้ ขอแค่ลุงรวมร่างเข้ากับศิลานักปราชญ์เมื่อไหร่มันก็จะดึงลุงกลับไปที่โลกโน้นทันทีโดยไม่ต้องรอตอนเที่ยงวันหรือเที่ยงคืน”
“งั้นถ้าให้ผมเอาศิลานักปราชญ์ออกจากร่างของผมเอาให้คุณลุง คุณลุงก็ไปโผล่ที่หมู่บ้านเล็กๆไม่มีใครรู้จัก แบบนั้นจะได้ไหมครับ” รอนเสนอ
“ไม่ได้หรอก เมื่อไหร่ที่ใช้ศิลานักปราชญ์อันไหนไปแล้วก็จะเปลี่ยนอันไม่ได้” วิทวัสอธิบาย
“หรือว่าให้แพท …” รอนคิดว่าจะให้แพทข้ามไปฝั่งโน้นไปช่วยกันเอาผลึกแกนมอนสเตอร์มาด้วย ไหนๆแพทก็ข้ามไปที่นั่นได้อยู่แล้ว
“หยุดเลย! ลุงไม่ยอมให้แพทข้ามไปโลกโน้นเด็ดขาด ถ้าเธอเอาศิลานักปราชญ์ของเธอให้เค้าไปโลกโน้นไปเสี่ยงอันตรายล่ะก็ลุงไม่ปล่อยเธอไว้แน่” วิทวัสพูดเสียงเขียว
รอนชะงักไปทันที จริงสิ พ่อของแพทเข้าใจผิดว่าที่แพทใช้เวทได้ก็เพราะเขาเอาแกนมอนสเตอร์ให้ ยังไม่รู้ว่าแพทน่ะข้ามไปโลกโน้นถึงไหนต่อไหนแล้ว
ถ้าหากให้รู้ว่าเขาเอาศิลานักปราชญ์จากร่างดราซัคมาให้ แถมยังข้ามไปที่นั่นกับแพทอยู่กันสองต่อสองทั้งวันทั้งคืนมาเป็นเดือนๆแล้วล่ะก็ มีหวังคุณพ่อกระทืบเขาเละแน่ๆ
แล้วรอนก็นึกอะไรบางอย่างได้
“จริงสิครับ ถ้าศิลานักปราชญ์ของคุณลุงยังอยู่กับตัว แล้วอันที่ผมใช้อยู่นี่เป็นของใครล่ะครับ” รอนถาม
“อันที่เธอใช้น่ะเป็นของอาร์ย่า” วิทวัสบอก
อาร์ย่า อ๋อ นักรบมังกรฝ่ายแสงสว่างคนนั้น ที่ท่านโซล่าบอกว่าเท็นสไควร์สังหารไป
“แม่ของแพทเค้าน่ะ” วิทวัสบอกต่อ
“ห๊ะ เดี๋ยวนะครับ อาร์ย่า ที่เป็นนักรบมังกรฝั่งแสงสว่าง”
“ใช่”
“แล้วคุณลุง คือเท็นสไควร์นักรบมังกรฝ่ายความมืด”
“ใช่”
“ห๊ะ! งั้นที่ท่านโซล่าบอกว่าคุณอาร์ย่าเจอเท็นสไควร์ลอบสังหาร”
“อ๋อ นั่นน่ะ เราสองคนวางแผน จะได้หนีตามกันมาที่โลกนี้โดยไม่มีใครสงสัยไง”
“ว้อทททททททททททททททททททท!”