Midterm Fantasy - ตอนที่ 146
อะไรกัน นักรบมังกรของทั้งสองฝ่ายที่เป็นปฏิปักษ์กัน รักกัน เลยแต่งเรื่องเพื่อหนีตามกันมาเนี่ยนะ
รอนเหงื่อตก ตกหลุมรักศัตรูเนี่ยนะ
“เธอก็อย่าทำหน้าแบบนั้น เรื่องมันซับซ้อนอยู่พอสมควร” วิทวัสบอก “ถ้าสรุปสั้นๆ เราสองคนรู้จักกันตั้งแต่เด็กก่อนที่จะแยกจากกันแล้วไปกลายเป็นนักรบมังกรของทั้งสองฝ่าย กว่าจะรู้ว่าใครเป็นใครก็ตอนที่มาต่อสู้กันที่โลกใบนี้”
“แล้วคุณตาคุณยายล่ะครับ” รอนนึกขึ้นได้ ถ้าเป็นคนของโลกโน้น ทำไมถึงมีคุณตาคุณยายได้
“ตอนที่อารย่าข้ามมาที่นี่ใหม่ๆได้รับความช่วยเหลือจากทั้งสองจนนับถือเป็นพ่อแม่บุญธรรม พอลุงแต่งกับอารย่า ลุงก็เลยรับสืบทอดกิจการร้านทองต่อ ขนทองจากซีแลนเดียมาขายที่นี่” วิทวัสเล่าต่อ “ชื่อวิทวัสนี่ก็เป็นคุณพ่อคุณแม่บุญธรรมช่วยตั้งให้ตามชื่อเท็นสไควร์”
“ครับ?” รอนงง เท็นสไควร์ วิทวัส ไม่เห็นจะเกี่ยวกันตรงไหนเลย
“เห็นว่าที่โลกนี้มีรายการทีวีชื่อ สี่ทุ่มสไควร์อะไรสักอย่าง ในรายการมีพิธีกรชื่อวิทวัส ก็เลยตั้งชื่อลุงตามนั้น”
รอนอ้าปากค้าง อย่างนี้ก็ได้เรอะ
หลังจากนอกเรื่องไปพักนึง ทั้งรอนและวิทวัสก็คลายความเครียดกับสถานการณ์ไปได้บ้าง ทั้งสองค่อยๆคิดหาทางต่อ
“ว่าแต่ถ้าเรามีวิธีจัดการกับแก๊งค์เมษาขึ้นมา ลุงรู้เหรอครับว่าเราจะไปหาหัวหน้าใหญ่ของมันยังไง” รอนถาม “เพราะตอนนี้ผมคิดว่าผมมีวิธีช่วยให้ลุงใช้เวทมนตร์ในการโจมตีได้แล้ว”
“จริงเรอะ! ถ้าอย่างนั้นก็เยี่ยมไปเลย ส่วนวิธีค้นหาฐานของพวกมันก็นี่ไง” วิทวัสหยิบโทรศัพท์มือถือเปื้อนเลือดขึ้นมา “โทรศัพท์ของพ่อบ้านแห่งแก็งค์เมษา ถ้าโทรย้อนไปแล้วเช็คว่าเบอร์ไหนคือเบอร์ของฐานทัพใหญ่ของมัน เราก็จะรู้ได้ ลุงคุยกับตำรวจแล้ว ตำรวจยอมช่วย”
พอได้ยินคำว่าตำรวจ หน้าของรอนก็เจื่อนลงไป แต่วิทวัสก็ยิ้มออกมาได้
“ความรู้สึกตอนนี้เป็นยังไง ยังไหวไหม”
“ค ครับ ไหวครับ”
ถึงตอนนี้รอนถึงค่อยนึกได้ ที่คุณพ่อของแพทชวนเขาคุยนอกเรื่องไปแบบนี้ก็เพราะอยากให้เขาคลายความกังวลลง
ทั้งความกังวลเรื่องที่เขาลงมือฆ่าคนครั้งแรกในชีวิต
ทั้งความกังวลเรื่องตำรวจ ว่าจะจับดำเนินคดีหรือไม่
ซึ่งตอนนี้เขารู้สึกดีขึ้นกว่าเมื่อครู่เยอะ
“ลุงพอจะเข้าใจความรู้สึกของเธอ กับการที่ต้องทำลายชีวิตของคนอื่น” คุณวิทวัสบอก
“แต่ ผมฆ่าคนไป 54 คนนะครับ” รอนบอก
“งั้นให้ทาย เธอคิดว่าครั้งแรกที่ลุงฆ่าคน ลุงฆ่าคนไปกี่คน” วิทวัสถาม “แล้วครั้งแรกตอนอายุเท่าไหร่
“… ไม่ทราบครับ …” รอนเดาไม่ถูก
“สองร้อยกว่าคน คิดว่านะ เพราะลุงไม่ได้นับ” วิทวัสบอก “และครั้งแรกที่ลุงฆ่าคน คือเมื่อ 4 ทุ่มที่ผ่านมา”
“เอ๊ะ!” รอนงง เป็นถึงนักรบมังกรแต่เพิ่งเคยฆ่าคนงั้นรึ จริงสิ ดูเหมือนท่านโซล่าก็เคยพูดไว้เหมือนกันว่าในการต่อสู้กับเท็นสไควร์ไม่เคยมีใครตายยกเว้นแต่ท่านอารย่า
“ถ้าให้เดา เธอคงกำลังกลัว ว่าทำไมเธอถึงไม่รู้สึกกลัวตัวเองที่ฆ่าคนไปตั้งมากมายแต่กลับไม่รู้สึกผิด” พ่อของแพทถาม
“ครับ” เด็กหนุ่มพยักหน้า
“เธอไม่ได้ผิดปกติหรอก เพราะลุงก็ไม่รู้สึกผิดขนาดนั้นเหมือนกัน” วิทวัสอธิบาย “ลุงแค่รู้สึกไม่ดีที่ฆ่าคน แต่ถ้าให้ย้อนเวลากลับไป ลุงก็จะเลือกทำแบบนี้อยู่ดี เพราะมันคือการป้องกันชีวิตของตนเองและคนที่เรารัก ถ้าหากไม่ฆ่าอีกฝ่ายแล้วคนรอบๆตัวของเธอถูกฆ่า เธอจะรู้สึกแบบไหน”
“ดังนั้นไม่ต้องกังวลหรอกว่าเธอกำลังจะกลายเป็นฆาตกรเลือดเย็นหรือไม่ จะมาทำร้ายคนรอบตัวไหม เพราะความรู้สึกที่เกิดขึ้นเกิดจากความต้องการจะปกป้อง” วิทวัสบอกต่อ “หรือถ้าในกรณีของเธอ มันเกิดจากสกิล Rage นักรบคลั่ง เกิดจากความโกรธแค้น ระคนกับความรู้สึกผิดเสียใจเสียดายที่ไม่เด็ดขาดให้มากกว่านี้ เลยพยายามแก้ไขความผิดพลาดที่เกิดขึ้นไปแล้วด้วยการฆ่าอีกฝ่าย”
รอนค่อยๆนึกได้ จริงสินะ เพราะตอนนั้นเขาเกรงจะทำให้มือปืนคนนั้นตาย เลยพุ่งหอกไปปักขาหวังจะหยุด แต่ก็ไม่อาจหยุดยั้งได้จนทำให้แพทถูกแทง
“เพราะตอนนั้นเธอเข้าใจผิดว่าแพทตาย การฆ่าของเธอในตอนนั้นมันคือการล้างแค้น แต่มันก็เป็นการล้างแค้นที่มาจากความรู้สึกว่า หากเธอได้ทำมันลงไปอย่างเด็ดขาดก่อนหน้านี้ เธอก็จะไม่พบกับความสูญเสีย ดังนั้นมันไม่ใช่ความเลือดเย็นหรอก” วิทวัสอธิบาย
“เข้าใจแล้วครับ”
“ส่วนเรื่องตำรวจ ไม่ต้องกังวลไป ไม่น่าจะมีปัญหา”
“เอ๊ะ?”
“หน่วยของผู้กองเฌอมาลย์คุยกับหน่วยเหนือขึ้นไปแล้ว จะทำเรื่องทั้งหมดให้เป็นเรื่องการต่อสู้ระหว่างกลุ่มมือปืนสองกลุ่ม”
“จะไม่มีปัญหาเหรอครับ”
“ก็คงมีอยู่แหละ แต่ทางนั้นก็ต้องเลือกเอา เพราะในอุโมงค์ทางระบายน้ำนั่นเธอเล่นฆ่าทุกคนจนไม่เหลือพยาน แถมเป็นการฆ่าแบบด้วยมือเปล่า ถ้าหากอัยการจะเอาผิดพวกเรา ก็ต้องอธิบายให้ได้ว่าคน 5 คน ที่มีแต่เด็กและคนแก่จะเอาแรงที่ไหนไปฆ่าคน 50 กว่าคนได้”
วิทวัสบอก “และถ้าทำเป็นคดีขึ้นศาล ประเด็นที่พวกมันใช้อาวุธปืนสงคราม ใช้โล่และเสื้อเกราะกันกระสุนก็ต้องหลุดออกไป นอกจากคนจะไม่มีทางเชื่อว่าพวกเราจะเป็นคนฆ่าแล้ว คงเกิดวิกฤตศรัทธาขึ้นแน่นอนว่าทำไมถึงมีคนร้ายเอาอาวุธร้ายแรงเข้าเมืองหลวงมาได้”
รอนขอให้ตำรวจพาตนไปที่โกดัง ระหว่างที่วิทวัสและลุงบัวอยู่ที่เซฟเฮาส์เพื่อให้ตำรวจค้นหาที่ตั้งของแก๊งค์เมษา
พี่ใหญ่ปัญญ์กำลังนั่งดูโทรทัศน์อยู่ ข่าวจากทุกช่องกำลังนำเสนอข่าวด่วนที่มีการยิงกันที่ย่านริมแม่น้ำใจกลางเมืองหลวง
ข่าวนำเสนอมาประมาณ 2 ชั่วโมงแล้วโดยที่ไม่มีอะไรคืบหน้า ตำรวจแจ้งเพียงแค่ว่าเป็นแก๊งค์อันธพาลที่ทำการต่อสู้กัน และยังไม่สามารถเคลียร์พื้นที่ได้
พี่ใหญ่ปัญญ์นั่งอย่างตึงเครียด หลัง 4 ทุ่มที่มีการสั่งการลงไป มันก็ขาดการติดต่อจากทุกด้าน พ่อบ้านจ็อบส์ที่หายไปตั้งแต่ 4 ทุ่ม ไปจนถึงกลุ่มมือปืนที่ส่งไปกวาดล้างบ้านของวิทวัส
ข่าวร้ายเพิ่งมาถึงเมื่อครู่ เมื่อมือปืนที่หลบหนีออกมาได้บางส่วนติดต่อกลับมาว่ามีการตอบโต้อย่างรุนแรง และหัวหน้าทีมของทั้งสองทีมตายอยู่ในทางระบายน้ำ
“ทางตำรวจได้ตรวจสอบเบื้องต้นแล้ว พบว่าคนเหล่านี้เป็นคนของแก๊งค์เมษาที่ยกกำลังมาถล่มแก๊งค์ในพื้นที่ หากแต่ว่าเกิดความผิดพลาด สองกลุ่มนี้ลอบเข้าไปในท่อแล้วไปเจอกันระหว่างทางจนเข้าใจผิดยิงกันเองจนตายกันทั้งสองฝ่าย” นายตำรวจแถลงเบื้องต้น จนเฮียปัญญ์อ้าปากค้าง
เดี๋ยวนะ อ้างกันอย่างนี้เลยเรอะ นี่มันเห็นคนของแก๊งค์เมษาโง่ขนาดนั้นเลยเรอะ
ตื้ดๆ ตื้ดๆ
เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น พี่ใหญ่ปัญญ์กดหรี่เสียงโทรทัศน์แล้วดูหน้าจอ
“ว่าไงพ่อบ้านจ๊อบส์”
“ครืดดด คราดดด ครืดดดด คราดดดดดด พี่ใหญ่”
เสียงสัญญาณรบกวนดังลั่นยังกับใครเอาลูกโป่งมาถูกันดังมาจากอีกด้านหนึ่ง
“ว่าไงจ็อบส์ เกิดอะไรขึ้น”
“ตอนนี้ที่นี่… ครืดดด คราดดดด พวกเรา ครืดดด คราดดดดด”
พี่ใหญ่แห่งแก๊งค์เมษาพยายามพูดเข้าไปในโทรศัพท์ แต่สัญญาณรบกวนดังมากจนคุยกันไม่รู้เรื่อง แล้วสายก็ตัดไป
“เกิดอะไรขึ้นกันแน่นะ” พี่ใหญ่แก๊งค์รำพึงกับตัวเอง
ในเวลาเดียวกัน
“เอาล่ะจ่า พอได้แล้ว”
ครืดดดดดดด คราดดดดดดดด
“จ่า พอแล้ว”
ครืดดดดดด คราดดดดดดด ปังปัง
ผู้กองเฌอมาลย์เอาปากกาจิ้มลูกโป่งที่จ่ากำลังถือครูดกันแทนเสียงรบกวนให้แตกออก แล้วหันไปหาตำรวจที่ทำหน้าที่ตรวจสอบสัญญาณ
“นี่ครับ ทางศูนย์แจ้งว่านี่คือที่อยู่ของสายปลายทางครับ”
“ดีมาก เดี๋ยวเตรียมขอหมายศาล พอ 8 โมงเช้าพวกเราจะปิดล้อมพื้นที่ จับหัวหน้าใหญ่ของพวกมันให้ได้” ผู้กองเฌอมาลย์บอก “ขอบคุณมากเลยคุณวิทวัสที่ให้ข้อมูลกับพวกเรา”
“ไม่เป็นไรครับ ตอนแรกผมแค่ไม่พอใจเจ้าพ่อบ้านนั่นที่ปากเสีย เลยหยิบโทรศัพท์ที่โต๊ะกลับมาด้วย ไม่คิดว่าจะได้ประโยชน์แบบนี้” วิทวัสบอก “ส่วนที่อยู่ที่ผมไปส่งเงินก็ตามที่ให้ไว้ แต่ยังไงระวังด้วยนะครับ ผมเห็นพวกมันมีปืนกันทุกคนเลย”
“ค่ะ ตอนนี้พวกเราประสานกับหน่วยทหารในพื้นที่เตรียมล้อมจับแล้ว คนที่แจ้งมาบอกว่ามีการเปิดไฟในอาคาร แต่ไม่เห็นความเคลื่อนไหวใดๆ”
วิทวัสพยักหน้า แหงล่ะ ก็เขาฆ่าทุกคนในอาคารนั้นไปหมดแล้วนี่นา
เขาไม่กังวลว่าตำรวจจะสงสัยสักเท่าไหร่ สภาพในอาคารนั้นมีทั้งที่เขาฆ่าด้วยมือเปล่าสลับกับแย่งอาวุธของพวกมันมาใช้ฆ่า เงิน 60 ล้านที่เอาไป ก็ทิ้งไว้ที่นั่น
คงไม่มีใครสงสัยหรอกว่าผู้ชายคนเดียวจะฆ่าแก๊งค์200กว่าคนได้
และไม่มีเหตุผลอะไรที่เขาจะฆ่าคนหมดแล้วออกมาแสดงตัวกับตำรวจว่าได้เดินทางไปที่นั่น แถมยังทิ้งเงิน 60 ล้านเอาไว้ในที่เกิดเหตุไม่เก็บกลับมาอีก
วิทวัสเดินไปพ้นจากห้องแล้ว เฌอมาลย์หันไปมองตำรวจที่นั่งอยู่
“ตรวจสอบไปแล้ว นายวิทวัสออกเดินทางไปที่นั่นจริงครับ มีวงจรปิดที่โรงแรมที่ไปพักช่วงบ่าย และมีวงจรปิดตามถนนระบุว่าเขาเข้าไปที่โกดังร้างนั้นประมาณ 1ชั่วโมงก่อนจะขับรถออกมา” ตำรวจนายนั้นบอก
ผู้กองสาวพยักหน้าแล้วก็ไม่ได้คิดอะไรต่อ
วิทวัสเดินกลับไปที่ห้องที่นั่นรอนกลับมาแล้วและกำลังปริ้นท์กระดาษอะไรบางอย่าง โดยมีแพทกำลังใช้กาวทาลงไป
“ทำอะไรเหรอลูก อ๊ะ!”
วิทวัสมองไปที่แผ่นกระดาษแล้วทำหน้าตากระอักกระอ่วนอย่างบอกไม่ถูก
“ม้วนเวทย์เรอะ!”
“ครับคุณลุง”
วิทวัสกวาดสายตามองดูกระดาษที่วางอยู่ นั่นเวทเพิ่มพลัง นี่ เวทเพิ่มความเร็ว และโน่นเวทรักษาชั้นสูง
ม้วนเวทมันพิมพ์แบบนี้ได้ด้วยเรอะ!
“แล้วนั่นเธอกำลังพิมพ์อะไรอยู่เรอะ ทำไมพิมพ์หลายอันขนาดนั้น” วิทวัสถาม
“อันนี้เป็นวงแหวนเวทที่ใช้สำหรับเวทระเบิดขั้นสูงครับ เลยต้องใช้หลายอันมาซ้อนกัน” รอนตอบ “แต่ผมไม่มั่นใจว่าจะแรงพอถล่มอาคารของมันไหม”
วิทวัสพยักหน้าและค่อยๆอ่านชื่อเวทบนหน้าจอ ก่อนที่ตาทั้งสองจะค่อยๆเปิดกว้างขึ้น
<Hell Fire> เวทระดับ 5
“เกินพอ”