Midterm Fantasy - ตอนที่ 147
วิทวัสเดินออกห้องเซฟเฮาส์ไปพร้อมกับกระดาษม้วนเวท ด้วยความที่รอนเหลือผลึกแกนมอนสเตอร์อย่างจำกัดทำให้ได้ม้วนเวทออกมาแค่ไม่กี่ชุด
ม้วนเวทระดับหนึ่ง Swift เพิ่มความเร็ว x 1
ม้วนเวทระดับสาม High heal เวทรักษา x 1
ม้วนเวทระดับสาม Might เพิ่มพลัง x 1
และที่สุดของม้วนเวทที่นำมา คือ
ม้วนเวทระดับห้า Hell Fire เวทเพลิงบรรลัยกัลป์ x 1
ก่อนออกมา รอนบ่นว่าเพราะข้อจำกัดเรื่องคุณภาพของแกนมอนสเตอร์ เลยทำให้กระดาษเวทHell Fire ต้องใช้กระดาษA4 ถึง16แผ่นมาประกอบกันซ้อนเป็นปึก
แต่สำหรับวิทวัสที่เคยใช้ชีวิตอยู่ที่โลกโน้นและเคยเห็นม้วนเวทมนตร์Hell Fireของแท้มาแล้ว เขามั่นใจว่าถ้าหากจอมเวทของโลกโน้นมาเห็นสิ่งประดิษฐ์นี้และคำพูดของรอน มีหวังได้เอาหัวโขกเต้าหู้ตายแน่ๆ
เพราะม้วนเวท Hell Fire ที่โน่น ขนาดเท่าห้องใหญ่ๆห้องนึง ใช้หนังวัวร่วม 10 กว่าตัวมาเย็บต่อกันและต้องใช้เวลาทำเป็นสัปดาห์กว่าจะเตรียมได้ ไม่ใช่แผ่นกระดาษปึกนึงที่ปริ้นท์แล้วทากาวกันสั้นๆแบบนี้
ยิ่งเข้าระเบิดมือสตันนี่ยิ่งแล้วใหญ่ เป็นสิ่งประดิษฐ์ที่เขาเคยเห็นพวกเอลฟ์กับคนแคระใช้ แต่เป็นเวอร์ชั่นที่ใหญ่เทอะทะกว่า ไม่ใช่ลูกบอลพลาสติกแบบนี้
วิทวัสยืนรอข้างถนนนานสองนาน ตี4แบบนี้หารถรับจ้างยากมาก และแล้วแสงไฟสีแดงบ่งบอกว่ารถว่างก็ผ่านมา
“แท็กซี่” วิทวัสโบกมือ แท็กซี่คันนั้นจอดเทียบ เปิดกระจกลงมา เขาบอกปลายทางอันเป็นชานเมืองห่างจากที่นี่ไป 20 กิโลเมตร
“ไม่ไป แก็สหมด”
“เหมาห้าพัน” วิทวัสชูแบงค์พัน 5 ใบ
“ขึ้นมาเลยคุณ ดึกแบบนี้หารถไม่ได้หรอก”
แท็กซี่ออกตัวไปอย่างรวดเร็ว วิทวัสนั่งตรวจสอบม้วนกระดาษเวทมนตร์อีกครั้งก่อนจะมองไปที่ถนน
“โชเฟอร์ นั่นปั้มแก็ส ไปเติมก่อนไหม”
“รถคันนี้ใช้น้ำมันครับ ไม่ต้องห่วง เต็มถังอยู่แล้ว”
แล้วแท็กซี่ก็ห้อตะบึงไปตามถนนเมืองกรุงยามราตรี
ที่เซฟเฮาส์ ผู้กองเฌอมาลย์กำลังรับมือกับชายในชุดสูทคนหนึ่งที่พยายามจะเข้าไปให้ได้
“ดิฉันให้ท่านทำแบบนั้นไม่ได้ค่ะ”
“ทำไมคุณต้องปกป้องคนร้ายด้วย อย่าลืมนะว่า เจ้าพวกนั้นมันเป็นฆาตกรที่ฆ่าคนตั้งมากมาย”
“แต่ท่านก็อย่าลืมสิคะ ว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่หน่วยงานภายในมีการตกลงกันเรียบร้อยแล้ว” ผู้กองเฌอมาลย์ค้าน “ที่สำคัญ ไม่มีพยานหลักฐานว่าคนกลุ่มนี้คือคนฆ่านะคะ ถ้าไม่ใช่เพราะว่าพวกเขาให้ข้อมูล ตำรวจก็ไม่มีหลักฐานที่จะไปเอาผิดพวกเขาเลยด้วยซ้ำ”
“ข้อตกลงของหน่วยงานจะมาอยู่เหนือกฎหมายได้ยังไง ผู้กองถอยออกไป ผมจะต้องเข้าไป”
“ไม่ได้ค่ะ” เฌอมาลย์บอก “ท่านก็รู้ว่าถ้าปราศจากหลักฐานและพยานล่ะก็ คำสารภาพของผู้ต้องหาเพียงอย่างเดียวมันใช้อะไรแทบไม่ได้เลย”
เมื่อเห็นว่าผู้กองไม่ยอมแน่ๆ ชายคนนั้นมีท่าทีชะงักไป
“เอาล่ะ งั้นผมจะรออยู่ข้างนอก จะรอจนกว่าพวกคุณจะยอม”
เขาเดินกลับออกไปนอกห้องด้วยท่าทีไม่พอใจ ขณะที่ผู้กองเฌอมาลย์ขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ
ที่จริงท่านสุทินน่าจะรู้นี่นาว่าสถานะของรอนในตอนนี้เป็นแบบไหน …เหตุที่เกิดขึ้นหน่วยเหนือก็มีการพูดคุยชัดเจนแล้ว
เหตุการณ์ชัดเจนว่าแก๊งค์อันธพาลโจมตีบ้านคนธรรมดาไม่สำเร็จ
ชัดเจนว่ามีการใช้อาวุธสงครามขนานใหญ่ ด้วยกำลังคนครึ่งกองพัน
แถมฝ่ายแก๊งค์เมษาในทางระบายน้ำนั่นก็ตายกันทั้งหมด ไม่หลงเหลือพยานที่จะมาชี้ตัว ข้อมูลทั้งหมดมาจากปากคำของคนทั้ง 5
ทุกฝ่ายเห็นตรงกันว่าหากเปิดเผยความจริงออกไป นอกจากคนจะตั้งข้อสงสัยว่าคนแก่ 3 คนกับวัยรุ่น 2 คน จะฆ่าคนเป็นร้อยๆได้ยังไง ความเชื่อมั่นของประเทศมีหวังได้พังทลาย เพราะเหตุเกิดกลางเมืองหลวง มีการใช้อาวุธสงครามและยุทธภัณฑ์หลายชนิด
“แปลก ท่านสุทินดูผิดปกติ” ผู้กองสาวรำพึงขณะที่ตำรวจที่อยู่ด้านนอกเปิดประตูเข้ามา
“ผู้กองครับ มีทนายมาขอเข้าพบครับ บอกว่าเป็นทนายของสมาคมสื่อซือ (เดือนสี่/เมษา) ครับ” ตำรวจนายนั้นบอก
“เดี๋ยวชั้นไปจัดการเอง วันนี้มันอะไรกันนะ”
เฌอมาลย์เดินออกจากห้องตรงไปที่ด้านนอก ที่นั่นมีชายในชุดสูทสีม่วงยืนอยู่ ขณะที่ท่านสุทินนั่งอ่านมือถืออยู่
ตำรวจสาวทักทนายคนนั้น ทั้งสองโต้เถียงกันเสียงดัง ท่านสุทินเหลือบมอง สบตากับทนายของแก๊งค์เมษาก่อนจะลุกขึ้นอย่างเงียบเชียบแล้วเปิดประตูเข้าไป เขาเดินอ้อมหลังจ่าที่ครอบหูฟังกำลังง่วนกับการมองจอคอมพิวเตอร์และเปิดประตูเซฟเฮาส์เข้าไป
“อยู่ไหนกัน อยู่ไหนกัน” ท่านสุทินเดินเข้าไปตามทางเดิน
แม้เขาจะมีตำแหน่งหน้าที่ทางกฎหมายของภาครัฐที่สูงพอสมควร แต่น้อยคนนักที่จะรู้ว่าเขานั้นมีสายสัมพันธ์กับแก๊งค์เมษา เขาได้รับเงินอย่างลับๆจากพวกมันมานานปี คอยเอื้อประโยชน์และเป็นหูเป็นตาในวงการกฎหมาย
และเนื่องจากแก๊งค์เองก็ไม่ค่อยใช้งานเขาหากไม่ใช่งานที่สำคัญจริงๆ ทำให้เมื่อครู่ที่เขาเจอพี่ใหญ่ปัญญ์โทรเรียกกลางดึกนั้นเขาถึงกับผวาหวาดว่าจะเป็นงานที่เสี่ยงอันตราย
ไม่นึกว่างานที่ขอให้ทำนี้กลับเป็นงานง่ายๆ นั่นคือไปถ่ายรูปคนที่เซฟเฮาส์ของตำรวจ เป็นเด็กหนุ่มอายุประมาณ 15-20 ปี ใส่หน้ากากดำและหมวกสีดำ
“เสียงมาจากห้องนั้น” สุทินเดินตรงเข้าไปที่ห้อง เหลือบตามองไปที่เงาสะท้อนจากประตู ข้างในมีเด็กหนุ่มสาวสองคนกำลังนั่งอยู่
สุทินเปิดกล้องมือถือ กดถ่ายคลิป จากนั้นค่อยๆเลื่อนกล้องให้พ้นขอบประตู เขามองหน้าจอที่จับภาพของรอนและแพทไว้ได้ บนโต๊ะมีหน้ากากสีดำและหมวกดำวางไว้
“น่าจะคนนี้แหละ” สุทินปิดโทรศัพท์และเก็บเข้ากระเป๋า
“ขอโทษนะครับ คุณเป็นใคร มาทำอะไรตรงนี้ครับ” สุทินสะดุ้งเบาๆ เขาหันไปมองหน้าชายวัยห้าสิบที่ยืนอยู่เบื้องหลัง
“สวัสดีครับ ผมสุทิน……” เขาแนะนำหน่วยงานที่ทำงานอยู่และยื่นนามบัตรให้อย่างปราศจากพิรุธ “คุณคือ…”
“ผมเป็นพ่อบ้านของตระกูลแม่ทองหยดย้อยครับ” ลุงบัวแนะนำตัวอย่างสุภาพเมื่อทราบว่าคนตรงหน้านี้เป็นเจ้าหน้าที่ภาครัฐด้านกฎหมายอันทรงเกียรติ
“ทีแรกผมก็กังวลว่าเด็กๆจะยังตกใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น แต่เห็นพวกเขาหัวเราะได้แบบนี้ก็เบาใจ” สุทินบอก “เรื่องคดีไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ ทางหน่วยเหนือขึ้นไปจะจัดการให้ ผมขอตัวก่อนนะครับ”
“ครับ”ลุงบัวยิ้มอย่างยินดี
ท่านสุทินเดินกลับไปตามทางเดินเตรียมจะออกจากห้องไป ขณะที่แพทและรอนที่ได้ยินเสียงลุงบัวคุยกับคนที่หน้าห้องก็เดินมาดู
“คุยกับใครเหรอคะลุงบัว”แพทถาม
“อ๋อ คุณคนนั้นน่ะครับ” เขาชี้ไปทางสุทินที่กำลังจะออกจากห้อง “จากกระทรวงยุติธรรม เขามาดูว่าคุณรอนคุณแพทยังตกใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นไหม”
“รอน!เธอเห็นไหม” แพทร้องขึ้น
“เห็น!” รอนตอบทันควันจนลุงบัวงง
ทั้งคู่เห็นแถบพลังชีวิตบนหัวชายคนนั้น บ่งบอกว่าคนๆนั้นไม่ใช่มิตรแต่เป็นศัตรู!
แพทรีบเปิดแผนที่รบ จุดสีแดงจุดนึงเดินออกจากเซฟเฮาส์เดินผ่านจุดสีแดงอีกจุดที่ยืนอยู่ด้านนอก
“ศัตรู แถมมีสองคน” แพทร้อง “เร็วเข้ารอน”
เด็กสาววิ่งนำออกไป เธอเปิดประตูออกไปเจอจ่าที่ยังนั่งจ้องจอคอมฯ แผนที่รบบอกว่าจุดสีแดงที่ยืนคุยกับจุดสีน้ำเงินที่ข้างนอกกลับไปแล้ว
จุดสีน้ำเงินเดินกลับเข้ามาที่ห้อง แล้วประตูก็เปิดออก ผู้กองเฌอฯเดินเข้ามา
“ผู้กองคะ เมื่อกี้มีคนของแก๊งค์เมษาเข้ามาค่ะ” แพทรีบบอก
“เอ๊ะ”
“เมื่อกี้ผู้กองกำลังคุยกับใครคะ”
“อ๋อ นั่นน่ะเหรอ ทนายของแก๊งค์เมษามาขู่เรื่องข้อมูลคดีน่ะ เธอเห็นจากสกิลแผนที่น่ะเหรอ” ผู้กองสาวถาม เพราะจำได้จากการร่วมงานก่อนนี้ว่าแพทมีสกิลพิเศษนี้
“ไม่ใช่คนนั้นค่ะ มีอีกคนเพิ่งเดินเข้าไปข้างใน แล้วออกไปข้างนอกตะกี้”
“เอ๊ะ จริงเหรอ จ่า จ่าจ่าเห็นใครเข้าไปไหม อ้าว จ่า”
“อะไรเหรอครับผู้กอง” จ่าถอดหูฟังที่ครอบอยู่หันมาถามงงๆ เห็นได้ชัดว่าจ่าไม่ได้ยินอะไรเลย ไม่รู้ว่ามีใครเพิ่งผ่านไป
“เห็นว่าชื่อสุทินครับ พอดีผมไปเจอตัวเข้า เขาแนะนำตัวว่ามาจากกระทรวงยุติธรรม” ลุงบัวบอก
“เดี๋ยวนะ ท่านสุทินเนี่ยนะเป็นฝ่ายศัตรู” ผู้กองเฌอฯพูดอย่างไม่อยากเชื่อ แต่แล้วจ่าก็สะดุ้งโหยง
“ผู้กองครับ มีคนติดต่อเบอร์มือถือของหัวหน้าแก๊งค์เมษาครับ” จ่าบอก “มีการส่งไฟล์ภาพไปให้ครับ”
“ตรวจสอบได้ไหมว่าใครส่ง ส่งจากไหน” ผู้กองร้องถาม ตอนนี้เธอมีเบอร์ส่วนตัวของหัวหน้าแก๊งค์เมษาในมือ เป็นโอกาสแล้วที่จะรู้เครือข่ายของพวกมัน
“จุดที่ส่ง … หน้าเซฟเฮาส์นี่เองครับ!!!” จ่าร้องขึ้นเมื่อเห็นข้อมูลบนจอ “เบอร์โทร 08x-xxx-xxxx ตรวจสอบรายชื่อ เบอร์ของท่านสุทินครับ!”
ผู้กองเฌอฯอ้าปากค้าง เข้าไปด้านใน ส่งไฟล์ภาพ หรือว่าจะเป็นภาพของรอน!
ท่านสุทินเป็นสายให้มันงั้นรึ!!!
ปิ๊บๆ
พี่ใหญ่ปัญญ์กดดูกล่องข้อความ บนโต๊ะนั่นคือหน้ากากสีดำ หมวกสีดำ และมีเด็กหนุ่มสาวสองคนที่นั่งอยู่
เด็กผู้หญิงนั่นลูกของไอ้วิทวัสไม่ผิดแน่
ถ้าเช่นนั้น
ไอ้หนุ่มนี่ก็ต้องเป็นหน้ากากดำ
พี่ใหญ่ปัญญ์กำหมัดสั่นระริก ในที่สุดก็ได้ภาพที่แท้จริงของหน้ากากดำมา แม้จะต้องแลกมาด้วยซุ้มมือปืนภาคกลางและภาคใต้ก็ตามที
ไม่สิ ยังมีซุ้มตะวันออกและพ่อบ้านจ็อบส์
เพราะที่ท่านสุทินบอกข่าวมา มือปืน400คนที่ส่งไปถล่มบ้าน ถูกฆ่าหรือไม่ก็จับเกือบหมด ขณะที่ซุ้มภาคตะวันออกก็เจอล้อมเอาไว้ ตำรวจปิดข้อมูลเป็นความลับ
ถ้าไม่ใช่เพราะมีท่านสุทินให้ข่าวทางลับกว่าเขาจะรู้ก็คงตอนเช้าแน่ๆ
ต้องส่งข้อมูล ต้องส่งข้อมูลให้ตั่วเจ๊เมษา!
ที่ผ่านมา เจ้าโต้งมิวสิค เป๋งโมบายล์ สามสาวมือปืน ต่างไม่ได้ส่งข้อมูลมาและเลือกประทะโดยตรง พอพ่ายแพ้ก็ไม่มีใครรู้ข้อมูล
เขาจะไม่ยอมพลาดแบบนั้นอีกเด็ดขาด
พี่ใหญ่ปัญญ์เซฟรูปใส่เครื่องมือถือ เอาตัวดูดข้อมูลมาดูดลงthumbdriveจิ๋วสำรอง จากนั้นเดินไปที่เครื่องคอมพิวเตอร์เพื่อเตรียมติดต่อสำนักงานใหญ่ที่สหรัฐฯผ่านเสาสัญญาณดาวเทียม
“มีผู้บุกรุก มีผู้บุกรุก”
ปังๆๆๆๆๆๆๆ บรึม อ้ากกกกก เสียงกรีดร้องของลูกน้องเบื้องนอกดังออกมา
ตึง ตึง ตึง
สายไปแล้วเรอะ
ครืดดดดดดก
บานโลหะไหลลงมาปิดหน้าต่างทั้งหมด สลักนิรภัยประตูทำงาน พี่ใหญ่ปัญญ์วิ่งไปที่คอมพิวเตอร์ หน้าจอสัญลักษณ์แก๊งค์ปรากฎขึ้น เขาพิมพ์รหัสลงไปรัวๆ จากนั้นเสียบแฟลชไดรฟ์เข้าไป
ตึง ตึง ตึง ประตูนิรภัยงอยุบเข้ามาเป็นรอยเท้า
เหมือนกับตอนนั้นไม่มีผิด เหมือนสามสิบปีก่อนที่เท็นสไควร์บุกแก๊งค์ตอนนั้นและฝากแผลเป็นไว้บนหน้าของเขา
เดี๋ยวนะ สามสิบปี
แล้วทำไมหน้ากากดำนั่นถึงเป็นแค่เด็กหนุ่มได้ล่ะ
ตึง ตึง ตูม!
ร่างของวิทวัสปรากฎขึ้นท่ามกลางกลุ่มฝุ่นควัน
และแล้วปัญญาก็นึกได้
“แกคือหน้ากากดำในตอนนั้นสินะ” มันถาม
แทนคำตอบ วิทวัสพยักหน้า
ไม่มีข้อสงสัยใดๆอีกแล้ว พละกำลังผิดมนุษย์เช่นนี้ อายุเท่านี้ ไม่ผิดแน่
ปัญญากดแป้นenterลงไป
“ภาพของลูกสาวแกและเด็กหนุ่มนั่นถูกส่งไปสำนักงานใหญ่แล้ว คราวนี้แหละ แกคอยรับความพิโรษของตั่วเจ๊ได้ ฮ่าๆๆ”
No Signal ข้อมูลไม่ถูกส่งออกไป
“เฮ้ย”พี่ใหญ่ปัญญ์ร้อง
“หานี่อยู่สินะ” วิทวัสชูเสาอากาศดาวเทียมที่ตนกระชากขาดมาโชว์ให้ดู “เอาคืนไป”
ฉึก อ้ากกกกกกกก
ร่างของหัวหน้าใหญ่แก๊งค์เมษาภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ถูกแทงท้องทะลุผนัง ตรึงร่างไว้ข้างคอมพิวเตอร์ วิทวัสหยิบปึกกระดาษเวทมนตร์ออกมา จากนั้นวางลงที่โต๊ะ ปล่อยพลังเวทที่เหลือเพียงเล็กน้อยเข้าไปกระตุ้น
“จงใช้เวลาที่เหลืออยู่สำนึกในบาปที่แกได้กระทำไว้ ไอ้คนชั่วช้า”
วิทวัสพุ่งไปที่หน้าต่าง ฉีกบานโลหะแล้วพุ่งทะลุออกไปยังสนามด้านนอกแล้วมองกลับเข้ามา
ด้วยร่างที่ถูกปักจนเท้าลอยจากพื้น พี่ใหญ่ปัญญ์เอื้อมมือไปพยายามจับปึกกระดาษที่กำลังเรืองแสงแต่ไม่ถึง มันดึงแฟลชไดรฟ์ออกมา พยายามใช้สายห้อยคอเหวี่ยงไปแต่ก็ไม่ถึง แสงสว่างเรืองขึ้นเรื่องๆพร้อมกับความหวังของมันที่ริบหรี่ลง มันหันไปมองวิทวัส หรือหน้ากากดำเท็นสไควร์ผู้น่าชิงชังซึ่งกำลังเดินหันหลังกลับไป
ปัญญากลืนน้ำลายเอื้อกใหญ่ ก่อนที่จะตะเบ็งเสียงร้องสุดท้ายของมันออกมา
“แก๊งค์เมษาจงเจริญ!”
บรึมมมมมมมมมมม
แล้วเปลวเพลิงแห่งเวท Hell Fire ก็พวยพุ่งทะลุหลังคา กวาดเอาทุกสิ่งในฐานใหญ่แห่งนั้นจนหมดสิ้นลง