Midterm Fantasy - ตอนที่ 15
ท้องฟ้าเปลี่ยนสีเป็นสีแดงยามเย็น รอนค่อยๆเดินอยู่ภายในหมู่บ้าน ตอนนี้คนส่วนใหญ่พักผ่อนในบ้านของตน จะมีก็แต่คนที่มีหน้าที่อยู่เวรยามเดินรอบๆ
เด็กหนุ่มพบว่าหมู่บ้านมีทางเข้าออกสองทาง จุดแรกก็คือจุดที่เขาเดินเข้ามาซึ่งตอนนี้มีการนำรถลากเกวียนสองคันมาวางกั้นไว้เป็นเหมือนกำแพงชั่วคราวโดยมีคนเฝ้าอยู่4คน และอีกด้านหนึ่งเป็นทางเข้าที่ตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามของหมู่บ้าน แต่มีการนำไม้มาปิดกั้นจนเป็นเหมือนกำแพงไปแล้ว
“แต่ก่อนเราก็เคยเปิดทั้งสองฝั่งแหละค่ะ”โรล่าบอก”แต่ว่าหลังจากมอนสเตอร์โจมตีหลายครั้ง เราเลยช่วยกันปิดทางเข้าออกไปทางนึงเพื่อจะได้ป้องกันง่ายขึ้น”
“คุณหมายถึงบราวนี่มันรวมฝูงโจมตีหมู่บ้านเหรอ”เขาถาม
“มันไม่ได้มีแต่บราวนี่น่ะค่ะ … บางครั้งกอบลินก็โจมตีหมู่บ้านเราเหมือนกัน ที่ผ่านมาก็มีกลุ่มเล็กๆ5-10ตัวที่โจมตีหมู่บ้าน” เด็กสาวบอก “ความจริงที่เราขาดแคลนอาหารหลักๆก็มาจากที่กอบลินบุกเข้ามาแล้วฆ่าขโมยสัตว์เลี้ยงเราด้วย”
ทั้งคู่เดินไปจนไปหยุดที่ทางเข้าหมู่บ้าน
“แล้วทำไมไม่ปิดทางเข้าไว้ล่ะครับ รอให้มีคนมาถึงก่อนแล้วค่อยเปิด จะได้ไม่เกิดเหตุแบบตอนกลางวันนี้ “รอนถาม
“เพราะถ้ามีรถม้าหรือคนที่ขี่ม้าหลบมอนสเตอร์มา เค้าจะเข้ามาไม่ได้น่ะค่ะ” โรล่าตอบ “ถ้ารถม้าของพ่อค้าเร่เค้าเข้ามาไม่ได้หรือเห็นทางเข้าปิดอยู่ บางครั้งเค้าก็จะผ่านเลยไป เรายังจำเป็นต้องการสินค้าซื้อขายของจากพ่อค้าเร่ ดังนั้นเลยต้องเปิดช่องเอาไว้ตลอดค่ะ”
รอนเดินไปทักทายคนที่เฝ้าทางเข้าออกและมองข้ามไป ข้างนอกเขาเห็นบราวนี่สามสี่ตัวอยู่ที่ไกลๆลิบๆ ไม่มีตัวไหนเข้ามาใกล้ๆกำแพงเลย
“พวกมันน่าจะกลัวบ้างแหละ เพราะเมื่อกลางวัน พวกมันมาถูกฆ่าตายตรงนี้ฝูงใหญ่” คนที่อยู่ยามคนนึงพูด “ถ้าเป็นเมื่อก่อนนั้น พวกเราต้องคอยไล่และระวังจนถึงเช้าเลย”
“คุณโรล่ากลับไปพักก่อนเถอะครับ เดี๋ยวผมขอเดินแถวนี้อีกสักหน่อย ” รอนบอกโรล่า
“ถ้าเสร็จแล้ว คุณรอนกลับไปที่บ้านของหัวหน้าหมู่บ้านนะคะ ท่านให้จัดห้องพักไว้ให้แล้ว” เด็กสาวบอกก่อนจะเดินกลับไป รอนค่อยๆเดินสำรวจภายในหมู่บ้านต่อ บ้านส่วนมากเป็นบ้านไม้ประมาณ50-60หลัง ตรงจตุรัสใจกลางหมู่บ้านเป็นบ่อน้ำ โดยรอบๆคือโบสถ์ โรงเก็บผลผลิต โรงช่างไม้ และร้านอาหาร
หมู่บ้านนี้ไม่มีโรงแรม แต่มีบ้านหลังที่ทำเป็นร้านอาหาร มีห้องให้คนต่างถิ่นเช่าพักได้
บรรยากาศรอบๆมืดลงแล้ว พระอาทิตย์เริ่มลับขอบฟ้า บ้านบางหลังมีแสงไฟลอดออกมา … บางหลังยังคงมืดสนิทเพราะปราศจากผู้อาศัยภายในบ้าน ที่ทางเข้าหมู่บ้านมีการจุดกองไฟเอาไว้ เมื่อบรรยากาศรอบๆมืดลงจนมองอะไรได้ไม่ชัด รอนจึงเดินกลับไปที่บ้านพ่อเฒ่าหัวหน้าหมู่บ้าน
บ้านของพ่อเฒ่าเบรเซอร์ตั้งที่ใจกลางหมู่บ้านข้างๆโบสถ์ เป็นบ้านไม้ที่หลังใหญ่กว่าหลังอื่นๆเล็กน้อย … แต่แม้จะใหญ่ แต่เมื่อเข้าไปแล้วรอนก็พบว่าภายในมีเตียงตั้งเรียงรายอยู่หลายเตียง
ชายชรานั่งอ่านนิทานภายใต้แสงตะเกียงโดยมีเด็กเล็ก3คนนั่งฟังอยู่ โรล่ากำลังเก็บเตรียมที่นอน ส่วนมาเรียนวดขาให้ชายชรา
“ท่านนักเดินทาง … เชิญๆ ” พ่อเฒ่าเงยหน้าละสายตาจากหนังสือทักทาย “มาเรีย เดี๋ยววานฝากเล่านิทานต่อที”
มาเรียรับหนังสือนิทานพาเด็กๆไปนอนที่เตียง โรล่าดึงม่านกันแสงให้ก่อนจะเข้าไปนอนฟังนิทานด้วย รอนมองตามอย่างสงสัยว่ามืดเช่นนั้นจะเล่านิทานได้อย่างไร
” ไม่ต้องสงสัยหรอกท่าน นิทานเล่มนั้นข้าอ่านให้ทั้งคู่ฟังมาเป็นร้อยๆรอบแล้ว ต่อให้ไม่มีหนังสือ ทั้งคู่ก็เล่าได้”
รอนมองหน้าเฒ่าเบรเซอร์ เขาเห็นความเศร้าเสียใจแวบหนึ่งในแววตาขณะคำว่า’ทั้งคู่’ถูกเอ่ยขึ้นมา…แล้วระลึกได้ว่ามีคนเล่าให้ฟังว่าก่อนหน้านี้มีเด็กกำพร้า6คนที่นี่ ไม่น่าแปลกใจหากพ่อเฒ่าที่เลี้ยงเด็กมา6คน จะเสียใจหากต้องสูญเสียสมาชิกในบ้านไปถึง4คน
“เด็ก3คนนั้น พ่อและแม่ตายไปจนหมดจากโรคระบาด” เบรเซอร์เล่าต่อ “และถ้าไม่ได้ท่านที่มอบสิ่งของให้แก่พวกเรา ทุกคนในที่นี้ก็คงต้องแย่แน่ๆ”
พ่อเฒ่าก้มหัวแสดงความขอบคุณ … เด็กหนุ่มก้มศีรษะรับ
“ตอนที่ท่านเดินทางมาจากทางทิศนั้นได้พบเจอมอนสเตอร์มากไหม” ชายชราถาม
“ก่อนจะเดินทางมาเจอกับโรล่า ผมเจอบราวนี่ประมาณ10-20ตัวครับ” รอนตอบเท่าที่ทราบ เพราะเขาไม่ทราบว่าเส้นทางก่อนจะถึงตรงนั้นเป็นอย่างไร และจะให้อธิบายว่าเขาโผล่มาอยู่ในถ้ำเลยคงแปลกๆแน่ …แต่ดูเหมือนเบรเซอร์จะไม่ได้สงสัยอะไร
” ถ้าอย่างนั้นคงมีทางเดียว …. เห็นทีพวกเราคงต้องอพยพเข้าไปที่ตัวเมือง” พ่อเฒ่าถอนหายใจ
“ว่าแต่ผมก็สงสัยว่าทำไมไม่ย้ายไปที่ตัวเมืองตั้งแต่แรกกันล่ะครับ ที่นั่นน่าจะปลอดภัยกว่าที่นี่”
พ่อเฒ่าเทน่ำในเหยือกดื่มแล้วถอนหายใจ
“เราตั้งรกรากที่นี่ทั้งที่เสี่ยงต่อมอนสเตอร์ ก็เพราะ”ความอิสระ” เรามีอิสระในชีวิต อยากจะใช้ชีวิตอย่างที่เราเป็นได้ ”
“แต่หากเราย้ายไปที่ในเมือง เราจะไม่มีที่อยู่ ต้องไปอาศัยในแหล่งชุมชนแออัด จะต้องแก่งแย่งทำงานแลกเงินจำนวนน้อยนิดไปเรื่อยๆ ลูกหลานของเราจะต้องอยู่อย่างยากลำบาก … ”
รอนคิดตามแล้วก็เข้าใจได้ “แล้วทำไมถึงไม่อยู่ต่อล่ะครับ”
“เราไม่มีอาหารแล้ว” พ่อเฒ่าบอก “ถ้าเป็นสภาวะปกติเราคงจัดกลุ่มไปหาอาหารในป่า แต่ในช่วงที่มอนสเตอร์ออกมามากแบบนี้ การเข้าไปในป่าก็เสี่ยงเกินไปเว้นแต่จะไปเป็นกลุ่มใหญ่ แถมเราไม่รู้ว่าจะมีมอนสเตอร์บุกหมู่บ้านอีกไหม ถ้าเราแบ่งคนไปหาอาหารมาก หากมีอะไรพยายามบุกหมู่บ้านอีกเราก็คงสู้ไม่ได้”
“ผมเห็นที่ว่างใกล้ๆนี้ เหมือนเคยเป็นไร่มาก่อน ถ้าหากเพาะปลูกใกล้ๆนี้เวลามีอะไรขึ้นมาก็ยังพอจะกลับมาที่หมู่บ้านได้ทัน”
“คุณรอนน่าจะมีพื้นเพจากครอบครัวที่ไม่เคยเพาะปลูก … กว่าเราจะปลูกอะไรสักอย่างได้ผลผลิตก็ต้องใช้เวลาหลายเดือน” พ่อเฒ่าพูดยิ้มๆจนรอนนึกได้ว่าเผลอปล่อยไก่พูดอะไรประหลาดๆไปไม่ทันคิด
“ถึงแม้ว่าภายนอกคุณรอนจะพยายามใช้อาวุธที่ดูธรรมดา ใช้เพียงท่อนไม้เป็นอาวุธ และใช้กระทะทำอาหารเป็นโล่ ไม่ได้ใส่ชุดเกราะใดๆ ….. แต่ท่านพกมีดสั้นที่คุณภาพสูงซึ่งเห็นได้ชัดว่าต้องเป็นฝีมือช่างอาวุธคนแคระ … เสื้อผ้าแม้จะดูธรรมดาแต่ตัดเย็บปราณีตมากไม่ใช่ฝีมือคนธรรมดา”
“และข้าลองเอามีดที่ท่านยกให้โรล่ามาดู … แม้ว่าทั้งด้ามจะทำจากโลหะ แต่ข้าไม่สามารถหารอยสนิมได้เลยแม้แต่จุดเดียว … โลหะที่ไม่มีสนิมได้ขนาดนี้เท่าที่ข้ารู้จักมีแค่สามชนิด … สองชนิดแรกคือเงินและทองคำ แต่ทั้งสองแบบนี้อ่อนไม่สามารถทำอาวุธได้ ดังนั้นก็เหลือเพียงชนิดเดียวคือ อะดาแมนเทียม ซึ่งราคาสูงค่าของมันนั้นคนธรรมดาไม่สามารถหาได้แน่นอน ยิ่งท่านมอบให้คนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนแบบนี้ ข้อยิ่งมั่นใจว่าท่านมีที่มาที่ไม่ธรรมดาแน่นอน”
รอนหยิบมีดทำครัวขึ้นมาดู … อะดาแมนเทียมล้ำค่าราคาแพงเหรอ ทั้งหมดนี่เป็นมีดสแตนเลสราคาเล่มละ10บาทเองนะ … แต่รอนคิดว่าเค้าไม่บอกความจริงจะดีกว่า
“อาหารที่ท่านรอนให้มา คงจะพอประทังคนในหมู่บ้านได้อีกสักสัปดาห์เดียว ถ้าหากล่าสัตว์หรือล่าบราวนี่เอามาทำอาหารก็อาจจะพอยืดไปได้อีกสักหน่อยและเสี่ยงต่อชีวิตของคนที่ออกไปล่า ดังนั้นสุดท้ายเราก็คงต้องย้ายถิ่นที่อยู่อยู่ดี”
รอนนั่งนิ่งฟังข้อมูลอย่างเงียบๆ ทีแรกเขาคิดว่าจะลงมือซื้อข้าวและเอาข้ามมาเพื่อเลี้ยงคนทางนี้ แต่ก็ต้องยกเลิกความคิดนี้ไปเนื่องจากรอนเองก็แทบไม่มีเงินติดตัวแล้ว อย่าว่าแต่ซื้อข้าวให้ชาวบ้านเลย เอาแค่ซื้อข้าวกินมื้อกลางวันที่โรงเรียน เขาเองยังไม่รู้ว่าเงินที่เหลือจะพอใช้ได้อีกกี่วัน ดีไม่ดีเขาอาจจะต้องขายเกมเพื่อเอาเงินไปซื้ออาหารกลางวันก็เป็นได้
“คุณรอนเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว วันนี้พักผ่อนก่อนเถิด … ข้าให้มาเรียตักน้ำจากบ่อมาเตรียมไว้แล้ว ท่านรีบอาบก่อนเถอะ เดี๋ยวอากาศจะเย็นไปกว่านี้ ….. และข้าจัดห้องไว้ให้ท่านแล้วคือห้องนั้น ” พ่อเฒ่าชี้ไปยังห้องแรกสุดทางขวามือ
รอนเอ่ยปากขอบคุณก่อนจะไปยังห้อง เปิดประตูเข้าไปเป็นห้องเล็กๆภายในมีเตียง มีผ้าสะอาดพับไว้ที่ปลายเตียงกับผ้าห่ม และมีหน้าต่างเล็กๆที่ตอนนี้ปิดอยู่ … เด็กหนุ่มหยิบผ้าเช็ดตัวแล้วเดินออกไปจากบ้านไปห้องน้ำที่อยู่ข้างตัวบ้าน ถอดชุดและอาบน้ำไป ประตูที่นี่ไม่มีตัวล็อค แต่เมื่อครู่ทุกคนอยู่ในบ้านครบคงไม่มีปัญหา
อาบน้ำเสร็จก็กลับเข้าไปจัดข้าวของอีกครั้งหนึ่ง. รอนวางสัมภาระทั้งหมดบนเตียง ตอนนี้เหลือมาม่า3ห่อ น้ำขวดนึง กระสุนเหล็ก20ลูก มีดทำครัวสามเล่ม กระทะ และท่อนไม้
สำหรับยาและมาม่าที่ขนมาเขามอบไว้ให้นักบวชรอคโค่เก็บไว้ที่โบสถ์แล้วโดยกำชับไม่ให้ใส่ผงชูรสมากเกินไป
หลังจากตรวจดูของใช้ทั้งหลายแล้วเขาก็เอนกายลงพัก … จะว่าไปรอนสังเกตว่าตั้งแต่ข้ามมาฝั่งนี้เขาไม่มีอาการง่วงหรือเพลียอยากพักเลยแม้แต่น้อย.. และตอนนี้เหลือเวลาอีก5ชั่วโมงก่อนจะถึงเที่ยงคืนที่เขาจะถูกส่งตัวกลับที่โลก
จะทำอะไรดีล่ะ …
เด็กหนุ่มเปิดโทรศัพท์มือถือจากนั้นกดเปิดคลิปการฝึกหัดใช้ดาบและไม้ในการต่อสู้ที่เขาเซฟไว้ในเครื่อง จากนั้นก็ค่อยๆหัดตามเบาๆอย่างตั้งใจและแผ่วเบาเพื่อไม่ให้เสียงออกไปรบกวนคนอื่นๆที่นอนอยู่ภายนอก