Midterm Fantasy - ตอนที่ 150
“คุณวิทวัสครับ ผมทนายภาคภูมิเองครับ” เสียงจากปลายสายดังมา
“มีอะไรรึเปล่าครับ” วิทวัสถาม
“เกี่ยวกับคุณหลิวลี่จงแห่งสมาคมรุ่งโรจน์ครับ” ทนายภาคภูมิบอก
หลังจากที่วิทวัสติดต่อกับแก๊งค์รุ่งโรจน์ผ่านการแนะนำของรอน เขาก็ได้แนะนำหัวหน้าทีมทนายประจำกิจการของเขาให้รู้จักกับทางแก๊งค์ เผื่อว่าในอนาคตจะมีการประสานความร่วมมือกัน
“เมื่อครู่ผมเพิ่งคุยกับคุณหลิวลี่จง เขาปรึกษาผมเกี่ยวกับการตั้งบริษัทน่ะครับ” ทนายบอก “แต่สเกลของกิจการมันใหญ่เกินไป ผมคิดว่าทางสำนักงานของเราอาจจะรับไม่ไหวครับ”
“ใหญ่เกินไปงั้นรึ?”
“อ้าว คุณวิทวัสไม่ทราบหรอกเหรอครับ ผมคิดว่าเขาได้เงินทุนจากคุณเสียอีก”
“เปล่าครับ ผมไม่รู้เรื่องนี้ ว่าแต่ใหญ่ขนาดไหนเหรอคุณภาคภูมิ?”
“ทุนก่อตั้งบริษัท600ล้าน พนักงานเริ่มต้น500คนครับ”
“อืม คนที่ให้ทุนน่าจะเป็นเจ้าหนุ่มรอน” วิทวัสบอก “ไม่เป็นไร ทนายจัดการตามสมควรไปเลย ถ้าไม่ไหวก็ช่วยหาสำนักทนายที่ไว้ใจได้แล้วส่งต่อให้เขา ช่วยดูแลด้วย เพราะนายหลิวลี่จงน่าจะไม่เคยทำงานสเกลนี้”
หลังจากวางสายไปแล้วทนายภาคภูมิไม่รอช้า รีบโทรหาสำนักงานทนายความและนักบัญชีที่รู้จักกันให้มารับงานนี้
ขณะที่คุณวิทวัสเองก็ครุ่นคิด ใจหนึ่งเขาก็หวงและห่วงลูกสาว ถ้าหากไปใกล้ชิดกับเจ้ารอน ต่อไปในอนาคตก็ไม่รู้จะเจออะไรอีก แต่…
วิทวัสมองไปนอกหน้าต่างบ้านพักริมแม่น้ำ คนของหลิวลี่จงที่ส่งมาคุ้มกันนั้นนั่งอยู่ตามพื้นที่ต่างๆรอบนอกของตัวบ้าน
ถ้าสานสัมพันธ์ไว้ก็ไม่น่าจะเสียหายอะไร ทำดีกับเจ้ารอนไว้ แก๊งค์รุ่งโรจน์ก็จะดีกับเขา แถมตอนนี้เขาไม่มีแกนมอนสเตอร์เสริมพลังแล้ว ทางเดียวที่จะได้ก็ต้องมาจากเจ้ารอน
งั้นทำดีกับเจ้ารอนต่อไปก่อนแล้วกัน
“บัว”
“ครับนายท่าน”
“นายคิดว่าจะพอฝึกการต่อสู้ให้คนธรรมดาได้ไหม”
“ได้ครับ ว่าแต่นายท่านจะให้ผมฝึกใครเหรอครับ”
วิทวัสชี้ไปที่คนของแก๊งค์รุ่งโรจน์ที่นั่งๆนอนๆอยู่รอบบ้าน
“ไม่ต้องหนักมากนะ เอาแค่ช่วยเป็นลูกมือให้กับนายบัวได้ก็พอ”
“ได้ครับ”
วิทวัสมองดูลุงบัวที่เดินไป ลุงบัวอยู่กับเขามากว่า 30 ปี เป็นอดีตทหารช่างเจนศึกที่ผันตัวไปเป็นทหารรับจ้าง นักฆ่า เชี่ยวชาญศิลปะการต่อสู้หลากหลายชนิด แต่หลังจากที่เขาตั้งหลักปักฐานทำร้านทอง ลุงบัวก็ติดตามเขามาตลอด จาก Black Lotus นักฆ่าผู้เชี่ยวชาญทางทหารก็แปรเปลี่ยนมาเป็นลุงบัวพ่อบ้านใจดีคอยเลี้ยงดูลูกสาวของเขา
คนของแก๊งค์รุ่งโรจน์ล้วนแล้วแต่เป็นคนธรรมดาที่ต่อสู้แทบไม่เป็น เขาเลยอยากให้ลุงบัวสอนอะไรเล็กๆน้อยๆให้บ้าง จะได้คอยแบ่งเบาภาระให้ลุงบัวผู้ภักดี
บัวเดินไปที่ข้างบ้าน กวักมือเรียกคนของหลิวลี่จงด้วยภาษาจีนแมนดาริน
“ทุกคนมานี่”
ภาษาที่คุ้นเคยทำให้ชาย 8 คนตรงหน้าบ้านหันมามองและรีบวิ่งมาหา แม้จะไม่รู้อะไรมากนัก แต่ทุกคนก็พอจะรู้ว่าพ่อบ้านวัย 50กว่าตรงหน้านี้ คือคนที่เมื่อคืนเพิ่งลุยกับมือปืนนับร้อยและรอดมาได้ ฝีมือไม่ธรรมดา
“พี่ชายต้องการอะไรเหรอครับ”
“ทุกคนที่นี่ มีใครเป็นมวยต่อสู้เป็นบ้าง”
ทุกคนยกมือ มาเป็นนักเลงลูกกระจ๊อกก็ต้องต่อยตีเป็นบ้าง
“งั้นต่อยมาที่นี่” ลุงบัวบอก “เดี๋ยวนี้”
แต่ละคนมองหน้ากัน จากนั้นชายทั้ง 8 ก็กระจายออกแล้วพุ่งกระโจนเข้าหาลุงบัวจาก 8 ทิศทาง
ลุงบัวย่อตัวเตะตัดขา ตุ๊ยท้อง บิดแขน เหวี่ยงร่างให้ชนกัน จบท้ายด้วยจับนักเลงคนสุดท้ายทุ่มขว้างอัดลงกับพื้นสนามหญ้า
“น้องสาวแกเถอะ! นี่เรอะเป็นมวย! กระบวนท่าแมวสามขาแบบนี้เอาไปใช้อะไรได้” ลุงบัวตะคอกด้วยสำเนียงปักกิ่ง “เอาเถอะ วันนี้พวกแกทั้งหมดโชคดี นายท่านสั่งให้ข้าสอนวิชาให้เพื่อจะให้เป็นลูกมือกับข้า”
“สอนวิชา สอนวิชาอะไรเหรอครับพี่ชาย” ชายชาวจีนคนนึงถาม ลุงบัวชะงักไป เออ จริง นายท่านไม่ได้บอกว่าให้สอนอะไร
“ข้าเคยเป็น ทหารช่าง นักฆ่า พ่อบ้าน ทหารรับจ้าง นักศิลปะการต่อสู้ พวกแกอยากเรียนอะไรหรือถนัดอะไรบ้าง” ลุงบัวถาม ชาย 8 คนมองหน้ากันแล้วหันไปตอบอย่างจริงใจ
“ไม่รู้เหมือนกันครับ”
“มารดามันเถอะ! ไม่รู้ว่าจะเรียนอะไรงั้นเรอะ” ลุงบัวร้องอย่างหัวเสีย
“งั้นเรียนมันหมดทุกอย่างเลย มา พวกแกไปหลังบ้าน วันนี้เราจะฝึกพื้นฐานต่อต้านก่อการร้ายก่อน!”
“ครับ!”
แล้วการฝึกหน่วยรบพิเศษของลุงบัวก็เริ่มต้นขึ้น ซึ่งกว่าลุงบัวจะรู้ว่าวิทวัสกะจะให้สอนแค่ทำหน้าที่ยาม บริษัทรุ่งโรจน์ก็มีหน่วยรบพิเศษไปแล้ว 3 กองร้อย
แก๊งๆๆ
เสียงไม้เคาะเข้าที่ลูกกรงห้องขัง ดึงสายตาของหญิงสาวสามคนที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ให้ขึ้นมามอง มิใช่ผู้คุม หากแต่เป็นตำรวจสาวนัยน์ตาคมคนนั้นที่ยืนถือแฟ้มอยู่ตรงนอกกรงขัง
“ผู้กองเฌอ มีธุระอะไรกับพวกเราเหรอคะ” เจนัส พี่สาวใหญ่ของกลุ่มมือปืนสามสาวเอ่ยถาม วางหนังสือในมือลงที่ข้างกาย
“ชั้นมาแจ้งข่าวให้พวกเธอ พวกเธอเป็นคนของแก๊งค์เมษา อาจจะสนใจข่าวนี้” ผู้กองสาวบอก “เมื่อวานนี้ รังของแก๊งค์เมษาถูกถล่ม”
เจน แจน เจนัส ขมวดคิ้วพร้อมๆกัน พวกเธออยากจะถามว่ารังไหน แต่ก็ยั้งปากเอาไว้เพราะไม่มั่นใจว่ากำลังถูกหลอกถามความลับอยู่หรือเปล่า
“ไม่ต้องห่วง วันนี้ชั้นไม่ได้มาสอบสวน เอ้า นี่ เอารูปไปดู เธอคงพอรู้ว่าในภาพคือที่ไหน”
ผู้กองเฌอเลื่อนภาพไปให้ ทั้งสามสาวตาโตขึ้นเมื่อเห็นว่าเป็นภาพคฤหาสน์ที่ถูกเพลิงไหม้ คฤหาสน์ฐานทัพใหญ่ของแก๊งค์เมษา สามสาวมองหน้ากันแต่ไม่พูดอะไร
“ไม่ต้องคิดมาก เอ้า ภาพนี้เอาไปดูซะ” ผู้กองเฌอฯร่อนรูปถ่ายที่สองไป เป็นร่างที่มีเสาอากาศวิทยุปักแทงลำตัวอันไหม้เกรียม มือทั้งสองหงิกงอเกาะกุมปิดใบหน้า หากแต่นาฬิกาและแหวนที่เหลืออยู่พอจะทำให้รู้ว่าเป็นใคร
“พ พี่ใหญ่ปัญญา!” เจนร้องออกมา รู้สึกเหมือนมีอะไรจุกขึ้นที่คอ หากแต่เจนัสส่ายหน้า
“คุณตำรวจคงรู้ดี พี่ใหญ่ปัญญ์แม้จะเป็นหัวหน้าแก๊งค์เมษา แต่นั่นคือเฉพาะในแถบอุษาคเนย์ 10กว่าประเทศนี้เท่านั้น” เจนัสบอก “หัวหน้าแก๊งค์ในประเทศนี้ ถูกคัดเลือกมาจากผู้เฒ่าทั้ง5และพ่อบ้าน ต่อให้พี่ใหญ่ปัญญ์ถูกฆ่า แก๊งค์เมษาก็จะผงาดขึ้นมาใหม่ได้”
ผู้กองเฌอมาลย์ยิ้ม และร่อนภาพถ่ายสองภาพเข้าไปให้ สามสาวมองภาพนั้นแล้วก็รู้สึกเย็นเยือกขึ้นมา เพราะในนั้นคือภาพของคนที่เธอทั้งสามรู้จัก หากแต่ในภาพนั้นเหลือเพียงแต่ศีรษะที่ถูกตัดขาดออกจากร่าง
“นายสุเทพ และนายไพบูลย์ มือปืนระดับด้ามม่วงแห่งแก๊งค์เมษา หัวหน้าซุ้มมือปืนภาคใต้และภาคกลาง ตายในการต่อสู้เมื่อคืนนี้” ผู้กองเฌอมาลย์ร่อนอีกสองรูปเข้าไปให้ “และนี่ ศพของจ็อบส์ และนายธนากร พ่อบ้านและหัวหน้าซุ้มมือปืนภาคตะวันออก ถูกพบในโกดังของแก๊งค์เมษา”
“ค ใครกัน” แจนร้องขึ้น “หรือว่าตำรวจ…”
“ไม่ใช่ตำรวจหรอก แต่เป็นนายรอน”
“นายรอนก็คือเด็กหนุ่มคนที่จับเธอทั้งสามคนส่งให้พวกเราน่ะ” ผู้กองเฌอมาลย์บอก “พวกเธอคงไม่รู้ตัวหรอกนะว่าโชคดีแค่ไหนที่ถูกจับมาที่นี่”
ทั้งแจน เจน เจนัสนิ้งอึ้งไป ก่อนที่ทั้งสามคนจะรู้สึกหนาวสันหลังขนลุกซู่ จริงสินะ ถ้าหากเธอทั้งสามคนไม่ถูกจับมาไว้ที่นี่ เมื่อคืนนี้เธอทั้งสามก็คงเป็นศพใดศพหนึ่งที่อยู่ในภาพพวกนี้ไปแล้ว
“แล้วคุณมาบอกพวกเราทำไม”เจนัสถาม “ไม่มีเหตุผลที่คุณต้องมาบอกเรื่องนี้กับนักโทษอย่างพวกเรา”
“มันมีปัญหานิดหน่อยทางกฎหมาย พวกเธอทั้งสามคนไม่มีประวัติอาชญากรรม และในหน่วยงานของชั้นมีหนอนบ่อนไส้” ผู้กองเฌอฯบอก “หลังจากเธอถูกจับมา มีเจ้าหน้าที่ทางกฎหมายของรัฐที่ช่วยสืบหาหลักฐานมายืนยันว่าเธอสามคนไม่มีประวัติอาชญากรรม และยื่นคำร้องให้พิจารณาปล่อยตัวพวกเธอ”
ผู้กองเฌอฯหมายถึงท่านสุทิน ปรากฎว่าหลังจากสามคนนี้ถูกจับมา ข่าวหลุดรอดไปถึงท่านสุทินจนมีการหาหลักฐานยืนยันได้ว่าทั้งสามสาวนี้ เป็นมือปืนระดับกลางของแก๊งค์เมษาที่มาจากสายการฝึกฝน ไม่ใช่สายปฏิบัติการ เป็นมือปืนที่ไม่เคยฆ่าคน ซึ่งงานที่ส่งมาทำจ็อบเล็กๆให้กับโต้งมิวสิคนั้นเป็นการฝึกฝนประสบการณ์ภาคสนาม
“ตอนนี้ เจ้าหน้าที่กฎหมายคนนั้นเจอจับไปแล้ว แต่ปัญหาก็คือ เราก็ไม่รู้ว่าใครเป็นคนให้ข้อมูลว่าพวกเธอสามคนถูกจับไว้ที่เรา แปลว่ายังมีคนทรยศอยู่ในหน่วยงานของชั้น” ผู้กองสาวบอกต่อไป “ถ้าเธออยู่ที่นี่ต่อไป ด้วยสถานะของพวกเธอสักวันพวกเธอก็จะถูกคนทรยศในหน่วยงานของชั้นฆ่าปิดปากไม่ให้บอกความลับของแก๊งค์ใหญ่ แต่ถ้าพวกเธอออกไปข้างนอกกลับไปหาแก๊งค์สาขาที่ยังเหลืออยู่ ก็ไม่แน่ว่าอาจจะต้องกลับมาสู้และลงเอยด้วยความตายแบบคนในภาพนั่นไหม”
“แล้วพวกเราควรทำยังไง” เจนถามอย่างเกรงๆ
“อันนี้ชั้นก็ไม่รู้เหมือนกัน” ผู้กองเฌอส่ายศีรษะ “ชั้นแค่มาบอกพวกเธอสามคน วันพรุ่งนี้พวกเธอจะถูกปล่อยตัว จะกลับไปร่วมกับแก๊งค์ หรือจะเฟดตัวไปใช้ชีวิตอย่างเงียบๆก็แล้วแต่เธอจะเลือก แต่ถ้าถามความเห็นชั้นล่ะก็ แค่เมื่อคืนนี้คืนเดียว ระดับหัวหน้าของแก๊งค์เมษาตายไป 5คนจาก7คน มือปืนตายไปเกือบสามร้อยคน ถูกจับหรือบาดเจ็บก็อีกสองร้อยกว่าคน”
“คงขึ้นกับเวลาเท่านั้น ที่อีก 2 สาขาที่เหลือจะถูกจัดการถอนรากถอนโคน”
“เอาล่ะ ชั้นบอกแค่นี้แหละ เตรียมตัวกลับสู่อิสรภาพในวันพรุ่งนี้แล้วกัน” ผู้กองเฌอมาลย์บอก “แต่ก็อย่าให้ความใจอ่อนของเจ้าหนุ่มคนนั้นสูญเปล่าล่ะ เขารักษาชีวิตของพวกเธอไว้แล้วหนนึง อย่าเอาชีวิตไปทิ้งเสียเปล่าก็แล้วกัน”
แล้วผู้กองเฌอมาลย์ก็โยนแฟ้มที่เหลือเข้าไปในห้องขัง เดินจากไป ปล่อยให้ทั้งสามคนนั่งจมกับห้วงคำนึง