Midterm Fantasy - ตอนที่ 151
ประตูรั้วค่อยๆเลื่อนปิดลงช้าๆ มีหญิงสาวสามคนยืนอยู่ที่หน้าประตูอย่างไร้จุดหมาย
“เอาไงดีพี่เจนัส” เจนถาม
“หรือเราจะไปสมทบกับสาขาภาคเหนือดี” แจนถามอย่างลังเล
“ไม่ได้หรอก” เจนัสเอ่ยขึ้น
“ทำไมล่ะพี่” แจนถามงงๆ
“ประการแรก จากรายงานที่ผู้กองให้มา ปืนของพวกเราที่เจอเจ้าเด็กนั่นยึดไป มันดันเอาไปใช้แสดงฐานะมือปืนระดับม่วงแทรกซึมเข้าไปโจมตีทีมภาคใต้ เรื่องนี้ถ้าถูกรายงานขึ้นไป พวกผู้เฒ่าต้องไม่ไว้ใจพวกเรา อาจจะเก็บเราสามคนก็ได้”
เจนกับแจนอึ้งไปแต่ก็เห็นด้วยกับที่เจนัสว่า เธอเห็นชะตากรรมของเพื่อนร่วมแก๊งค์หลายต่อหลายคนที่ต้องถูกกำจัดเพราะความสงสัยเล็กน้อย
พวกเธอทำภารกิจล้มเหลว เจอตำรวจจับ แต่รอดมาได้ทั้งที่มือปืนคนอื่นๆเจอฆ่า ปืนก็ถูกคนเอาไปใช้แทรกซึม แบบนี้เป็นใครก็ต้องสงสัย
“ประการที่สอง สำคัญมาก” เจนัสบอกต่อ “เราสามคนเหลือเงินกันแค่สามร้อย เราเดินทางไปไม่ถึงไหนหรอก”
จริงสินะ ถ้าไม่มีเงินแล้วจะทำยังไงต่อดีล่ะ
สามคนก้มมองถุงพลาสติกที่ถืออยู่ ตอนนี้ทั้งเนื้อทั้งตัวมีเพียงบัตรประชาชนที่ผู้กองเฌอมาลย์ทำให้ใหม่ เงินคนละหนึ่งร้อย แล้วก็เสื้อผ้าชุดที่ใส่มาเท่านั้น
“เอางี้ เจ๊พอจะจำตำแหน่งบ่อนกับโต๊ะสนุ๊กในสังกัดของแก๊งค์เมษาได้ ถ้าเราไปที่นั่น อาจจะใช้ฐานะของพวกเราเอาเงินมาสักก้อนนึงเอาไปทำทุนได้” เจนัสบอก “เราไปหาอะไรกินก่อน แล้วค่อยเดินทางก็แล้วกัน”
ทั้งสามคนเดินออกจากสำนักงานตำรวจ เดินเลียบถนนไปยังบริเวณร้านค้า วันนี้คือวันอาทิตย์ วัยรุ่นจำนวนไม่น้อยต่างมาเดินเที่ยวเล่นกันที่นี่
“ตายล่ะพี่เจนัส” เจนนึกขึ้นได้ชี้ไปที่ป้ายราคาอาหารที่เหยียบร้อย แล้วเจนัสก็นึกได้ว่าที่นี่มันเป็นแหล่งเที่ยวของวัยรุ่น ราคาอาหารแพงมหาโหด เงินแค่สามร้อยนี่ไม่พอแน่ๆ
“งั้นพวกเราไปที่โต๊ะสนุ๊กก่อนแล้วกัน ไปเอาเงินก่อนแล้วค่อยว่ากัน”
ทั้งสามคนขึ้นรถไฟลอยฟ้า จ่ายค่าตั๋วไปคนละ40 จากนั้นก็จับรถขบวนถัดไปมุ่งหน้าไปยังจุดหมาย เจนัสมองไปเบื้องนอก มองเห็นตึกรูปหุ่นยนต์ที่กำลังหมุนส่วนศีรษะใกล้เข้ามา จากนั้นเธอก็พาน้องทั้งสองลงที่สถานีถัดไป
ทั้งสามคนเดินออกจากสถานี เจนัสเลี่ยงการเดินริมถนนใหญ่ เธอนำทุกคนเดินตัดเข้าโรงพยาบาลทะลุออกตรอกด้านข้างจากนั้นตัดเข้าโรงเรียนพาณิชย์แห่งนึง แล้วไปทะลุโรงเรียนประถมอีกแห่ง ออกจากโรงเรียนนั้นไป เธอก็ข้ามถนนเดินเข้าตรอก
“เอาล่ะ โต๊ะสนุ๊กนั่นอยู่นี่แล้วแหละ” เจนัสเดินไปที่ห้องแถวสีเขียวนั่นเตรียมผลักประตู “ห๊ะ ไม่จริงน่า”
ประตูรั้วแขวนป้ายว่า ปิดกิจการ
“แม่หนูมาหาใครเหรอ” ป้าที่อยู่บ้านติดกันถาม
“คือพวกหนูมาหาเพื่อนค่ะ เห็นบอกว่าทำงานที่นี่ค่ะ” เจนัสตอบ
“อ๋อ งั้นคงมาเสียเที่ยวแล้วล่ะจ๊ะ ร้านนี้ปิดมาสักอาทิตย์นึงแล้ว เห็นว่านักเลงที่เป็นเจ้าของร้านหนีไปแล้ว พวกคนงานลูกจ้างก็เลยแยกย้ายกันไปหมด”
“ขอบคุณค่ะ” หญิงสาวตอบก่อนจะเดินถอยกลับมา ทั้งสามมองหน้ากันอย่างชั่งใจ
“ดูท่าพวกเราจะหวังพึ่งบ่อนกับโต๊ะสนุ๊กพวกนี้ไม่ได้แล้ว” เจนัสบอก “ถ้าขนาดที่นี่ที่ห่างจากแหล่งอิทธิพลของแกีงค์อื่นยังเป็นแบบนี้ ที่อื่นๆคงปิดหรือเปลี่ยนมือหมดแล้ว”
หญิงสาวมองหน้ารุ่นน้องทั้งสอง ริมฝีปากของเจนและแจนแห้งผาก ตั้งแต่เช้ามาทั้งสามยังไม่ได้กินอะไรกันเลย
“หาอะไรกินกันก่อนก็แล้วกัน” เจนัสบอกก่อนจะพารุ่นน้องเดินออกจากตรอกนั้น เดินไปตามถนนจนเจอร้านขายของชำ หญิงสาวเปิดตู้แช่ หยิบเก๊กฮวยออกมาสามแก้ว เก๊กฮวยหวานๆแก้วละสามบาทได้ทั้งดับกระหายและคลายหิวไปได้สักพักนึง
“เอาไงต่อดีพี่เจนัส” แจนถาม “หรือว่าพวกเราจะ…”
เจนัสและเจนมองตามสายตาของแจนซึ่งมองไปที่รถที่จอดข้างทางและก็เข้าใจความหมาย
พวกเธอถูกฝึกมาให้เชี่ยวชาญในหลายด้าน การขโมยรถสักคันไม่ใช่เรื่องยาก
แต่ถ้าขโมยแล้วจะเอาไงต่อล่ะ จะให้ไปไหนต่อ
ตอนนี้พวกเธอได้รับโอกาสใหม่ในชีวิตแล้ว ถ้าพวกเธอลงมือขโมย ก็จะกลายเป็นอาชญากรที่จะต้องหนีไปตลอดชีวิต
จะกลับไปแก๊งค์ ก็อาจจะโดนฆ่า
แต่ถ้าเป็นแบบนี้เธอก็ไม่มีเงินแม้แต่จะดำรงชีวิต
จะทำยังไงต่อดี พวกเธอคิดไม่ออก
เจนัสเดินไปจ่ายเงินค่าน้ำให้คุณยายเจ้าของร้านก่อนจะเลือกซื้ออาหาร หญิงสาวเลือกซื้อบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปสามห่อ จ่ายเงินไป แล้วก็เอ่ยปากลองถามยายเจ้าของร้านขอยืมชามช้อนและน้ำร้อน
หลังจากกินบะหมี่เสร็จ ล้างชามคืนและขอบคุณเจ้าของร้าน ทั้งสามคนก็เดินเข้าซอยไป ใกล้ๆนั้นมีที่ว่างที่มีต้นตะขบขึ้นแผ่กิ่งก้านร่มเงา เจนัสพารุ่นน้องไปนั่งใต้นั้น เก็บผลตะขบเท่าที่มีมาแบ่งกันกิน คิดถึงอนาคตต่อไปอย่างหนักใจ
พวกเธอสามคนไม่ได้มีความผูกพันกับแก๊งค์สักเท่าไหร่ พ่อแม่ของพวกเธอทั้งสาม เป็นคนที่ลักลอบไปทำงานต่างประเทศแบบผิดกฎหมายก่อนที่จะตกไปอยู่ในอาณัติของแก๊งค์เมษาสำนักงานใหญ่ จากนั้นด้วยอะไรบางอย่างทำให้พ่อแม่ของพวกเธอตาย
ทั้งสามสาวไม่ใช่พี่น้องกันจริงๆ หากแต่พวกเธอที่ไร้ญาติขาดมิตรถูกคนของแก๊งเมษาพาไปรวมกัน เด็กๆได้รับการศึกษาและการฝึกฝน คนที่ไม่ขยัน ไม่ตั้งใจ หรือหัวไม่ไวพอก็จะถูกส่งไปทำงานระดับล่าง คนที่เก่งมีแววก็จะถูกส่งไปฝึกในสาขาที่เหมาะสม
สำหรับพวกเธอทั้งสาม ด้วยอายุที่ใกล้เคียงกันและถูกพาตัวมาพร้อมๆกันจึงสนิทสนมกันและเลือกเส้นทางมือปืน และฝึกฝนการประสานรู้ใจจนสามารถต่อสู้เป็นทีมได้อย่างโดดเด่น จนครูฝึกของแก๊งค์ตัดสินใจที่จะให้พวกเธอทำงานเป็นทีมสามคนแทนที่จะแยกเป็นคนเดียว
และเมื่อพวกเธอถูกส่งมาช่วยงานที่สาขาอุษาคเนย์ พวกเธอทั้งสามก็แอบดีใจกัน เพราะประเทศนี้ก็คือประเทศเกิดของพ่อแม่พวกเธอ อย่างน้อยพวกเธอก็ได้กลับแผ่นดินเกิดของพ่อแม่ ที่ซึ่งอาจจะมีญาติที่เธอไม่รุ้จักเหลืออยู่
แต่พวกเธอทั้งสามก็ไม่มีอิสระ พวกเธอไปไหนไม่ได้ บัตรประชาชนและประวัติในระบบนั้นมีก็จริง แต่เธอก็รู้จากครูฝึกว่ามันคือการสวมทะเบียนซึ่งก็เสี่ยงอยู่หากบังเอิญไปเจอคนที่รู้จักกับตัวจริงของคนในบัตร
ชีวิตที่ผ่านมาของทั้งสามจึงไม่ต่างอะไรกับสุนัขที่ถูกล่ามไว้
ตอนนี้พวกเธอได้อิสระแล้ว
แต่มันช่างเป็นอิสระที่แสนสั้น ถ้าหากพวกเธอไม่รีบหาเงินให้ได้ พวกเธอคงต้องย้อนเข้าสู่วังวนของวงการใต้ดินอีกครั้งหนึ่ง
แต่คนที่ไม่มีเงิน ไม่มีวุฒิการศึกษา จะทำอะไรได้เล่า
ตะวันเคลื่อนคล้อย ทั้งสามยังคิดหาทางออกไม่ได้ เจนัสกำเงินชุดสุดท้ายเดินพาน้องๆกลับไปที่ร้านยายใจดีคนนั้น เธอใช้เงินที่เหลือซื้อบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปทั้งหมด และขอน้ำร้อนเหมือนเคย
“เอ้านี่ แถมให้ กินแต่บะหมี่อย่างเดียวไม่ไหวหรอก”
เจนัสรับไข่ไก่สามฟองมา กล่าวขอบคุณ และเอาไข่ไปตอกใส่ชามที่ต้มบะหมี่
“อ๊ะ!”
กลิ่นเหม็นโชยมาจากชามของเจนัส ไข่ไก่ลูกนึงดันเน่า! หญิงสาวรีบยกชามไปเทไข่เน่าออก เปิดน้ำก๊อกล้างเส้นจนเหลือกลิ่นเหม็นเน่าเพียงจางๆ
“พี่เจนัส มากินกับพวกเราก่อน”
“ใช่ มากินกันสองชามนี้ก่อน เสร็จแล้วเราสามคนค่อยไปแบ่งกันกินชามนั้น”
เจนแจนดึงแขนเจนัสมาที่ชามของพวกตน หญิงสาวน้ำตาซึมเดินไปนั่งกับน้องๆ
แก๊กแก๊ก
จานข้าวสามจานถูกวางลงที่โต๊ะ ตามด้วยโถหมูรวนเค็ม
“ชามนั้นเปื้อนไข่เน่าแล้วทิ้งไปเถอะ มากินข้าวกินกับดีๆก่อนแล้วกัน”
สามคนทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ รับจานจากยายเจ้าของร้านมานั่งกินกัน แม้จะมีแค่หมูรวนเค็ม แต่ทั้งสามก็รู้สึกว่าเป็นอาหารมื้อที่อร่อยที่สุด
“ทั้งสามคนน่ะ ไม่มีที่ไปกันใช่ไหม”ยายถาม
“คุณยายรู้ด้วยเหรอคะ” เจนัสตอบถามกลับ หากแต่ยายชี้ไปที่ใบผมของทั้งสาม
“ใบตะขบติดตัวมาแบบนี้แปลว่าทั้งสามคนไปนั่งที่ดงตะขบนั่นมา ควจะเด็ดลูกตะขบกินแก้หิวกันล่ะสิ” ยายหัวเราะ ขณะที่สามสาวพยักหน้ารับ
“เอางี้ ทั้งสามคนไม่ได้มีคดีอะไรติดตัวหรือหนีตำรวจมาใช่ไหม” ยายถามดู สามสาวมองหน้ากัน
เจนัสตอบโดยเลี่ยงไม่บอกว่าเธอสามคนคือมือปืน ก็ไม่ได้โกหกจริงๆนี่ ตอนนี้ตำรวจบอกว่าพวกเธอไม่มีคดีติดตัวใดๆ
“ไม่มีค่ะ”
“ดีแล้ว ถ้ายังงั้นก็อยู่ที่นี่ไปก่อน ช่วยงานในร้านเล็กๆน้อยๆ ไว้หาทางได้เมื่อไหร่ก็ค่อยไปต่อ”
ทั้งสามคนน้ำตาซึมกลั้นร้องไห้ขอบคุณคุณยายเจ้าของร้าน
…
“เจอชุดแล้วใช่ไหม”
“ค่ะ”
“ใส่พอได้ใช่ไม๊”
“พอได้ค่ะ”
“กลิ่นอับนิดนึงนะ ชุดพวกนี้ไม่ได้เอามาซักหลายปีแล้ว” คุณยายบอกพลางยื่นบัตรประชาชนของทั้งสามคืนให้ … หลังจากเช็คไปแล้วไม่มีประวัติหรือข่าวอาชญากรรมใดๆ
“ของลูกสาวคุณยายเหรอคะ”
“เปล่าหรอก ของแม่หนูคนนึงที่เคยมาอาศัยที่นี่น่ะ” คุณยายบอก “ตอนนั้นเค้าก็มาแบบนี้เหมือนกัน ไม่มีที่ไป เลยมาอยู่ที่นี่ได้สักสองสามปี”
“อ้อ แล้วตอนนี้เธอไปไหนแล้วล่ะคะ” เจนัสถาม
“แต่งงานไปแล้วแหละ” ยายตอบ “ผู้ชายนี่รู้สึกตอนแรกจะเป็นศัตรูกันเลยทีเดียว เคยแค้นเคืองโกรธแบบเอาเป็นเอาตาย ไม่รู้ยังไงตอนหลังมารักกันได้ ไหนดูซิ ของเราสองคนใส่ได้พอดีเลยนี่นะ ส่วนของเธอ…. ไม่เป็นไร เดี๋ยวว่างๆพรุ่งนี้ขยายให้”
“ขอบคุณค่ะ” เจนัสก้มหน้าอายๆ ดูเหมือนเจ้าของชุดคนเก่าจะมีสัดส่วนเล็กกว่าเธอสองคัพสินะ
แต่จะว่าไปที่เมื่อครู่ยายบอกว่าเด็กสาวเจ้าของชุดคนเดิมแต่งออกไปกับคู่แค้นคู่กัด
ประโยคนั้นทำให้เธอรู้สึกแปลกๆ
เจนัสไพล่นึกไปถึงใบหน้าของเด็กหนุ่มคนนั้น คนที่จับกุมเธอส่งตำรวจ เด็กหนุ่มที่ยื่นใบหน้าจนใกล้ชิดก่อนจะโขกหัวใส่จนเธอสลบ เด็กหนุ่มคนนั้นที่ชื่อรอน คนที่เป็นเหมือนคู่แค้นของเธอ
ทำไมนะ พอคิดถึงใบหน้านั้นแล้วใจถึงเต้นเร็วรัวได้แบบนี้
“อาม่าครับ เดี๋ยวขอซื้อน้ำตาลกระสอบนึงครับ”
เอ๊ะ!
เจนัสร่างแข็ง เสียงนี้มัน!
หญิงสาวค่อยๆหันไปช้าๆก่อนจะอ้าปากเผยอค้างอย่างตกใจ เจนและแจนก็ลืมตาโตอย่างตกใจ รอนก็ยืนตกใจจ้องหน้าทั้งสามคน
“อ้าว อารอน เป็นอะไรไป” อาม่าหรือยายเจ้าของร้านเดินออกมา “ไม่มีอะไรๆ สามคนนี้มาพักบ้านอาม่าช่วยงานสักพักน่ะ ไม่มีอะไร ไม่มีอะไรหรอก อีอีทั้งสามก็บอกอาม่าแล้วว่าไม่มีปัญหาอะไรกับตำรวจไม่มีอะไรหรอก”
ทั้งสี่คนยังมองหน้ากันกระอักกระอ่วนจนอาม่าถามต่อ
“หรือว่าอารอนรู้จักสามคนนี้เหรอ”
รอนจ้องหน้าเจน แจน และหันมาจ้องตาเจนัสตรงหน้า สีหน้าของเขาค่อยๆสงบลง ยิ้มให้เจนัสก่อนจะหันกลับไปหาอาม่า
“ผมไม่รู้จักครับอาม่า”
คืนนั้นทั้งสามสาวนอนที่ห้องใต้ดินชั้นที่หนึ่ง ปูผ้านวมนอนเคียงข้างกันทั้งสามคน
ไม่ผิดแน่ เด็กหนุ่มคนเมื่อกี้คือรอน คนที่พวกเธอทั้งสามต่อสู้ด้วยที่โกดัง แม้ตอนนั้นจะมืดและเป็นการพบกันแค่ครั้งเดียวแต่ว่าด้วยการฝึกอันยาวนานทำให้ทั้งสามคนไม่ลืมใบหน้านั้น
นึกไม่ถึงเลยว่าจะบังเอิญขนาดนี้ ที่พวกเธอมาอาศัยบ้านอาม่าที่รู้จักกับรอนเป็นอย่างดี
“พี่เจนัส ทำไมเค้าไม่เปิดโปงฐานะของพวกเราล่ะ”เจนถาม
“ใช่ ตอนแรกแจนเห็นก็ตกใจสุดๆ ถ้าเขาบอกอาม่าไปว่าเราเป็นมือปืนมาก่อนเรามีหวังต้องออกจากที่นี่แน่ๆ” แจนถาม
เจนัสนอนนิ่งครุ่นคิด ทำไมกันนะ ทำไมเขาถึงไม่บอกออกไป
แล้วเธอก็นึกถึงสิ่งที่ผู้กองเฌอมาลย์พูดไว้
จริงสินะ ผู้กองบอกให้พวกเราใช้โอกาสที่รอนมอบให้
“เขา เขาให้โอกาสพวกเรา” เจนัสบอกเบาๆ
“เอ๊ะ?”/“เอ๊ะ”
“เขาจำพวกเราได้” เจนัสบอก นึกถึงใบหน้าที่สงบนิ่งของรอนที่ปฏิเสธว่าไม่รู้จักพวกเธอ “ เขาจำเราได้ แต่เขาให้โอกาสเราเริ่มต้นชีวิตใหม่”
“เจน แจน พี่ตัดสินใจแล้ว ชั่วชีวิตนี้ พี่จะไม่กลับไปที่แก๊งค์เมษาอีกแล้ว พี่จะใช้โอกาสที่ได้นี้เริ่มต้นชีวิตใหม่ เราทั้งสามคนมาเริ่มต้นชีวิตใหม่กันนะ”
แล้วสามสาวก็นอนกอดกันหลับไปอย่างเป็นสุข เป็นการนอนหลับที่สนิทที่สุดในชีวิตมือปืนที่ผ่านมาของพวกเธอ
และที่ไม่ใกล้ไม่ไกลห่างไปไม่กี่หลังคาเรือน
“ใครกันน้า นึกไม่ออก เหมือนเคยเห็นที่ไหน”
รอนนั่งคิดบนเตียง
“คุ้นมาก คุ้นจริงๆ เหมือนเคยเจอ แต่นึกยังไงก็นึกไม่ออก”
เด็กหนุ่มคิดไม่ออก เพราะเขาไม่เคยฝึกฝนการจำหน้าคน แถมตอนนั้นสู้กันมืดๆครั้งเดียวอีก
“นึกไม่ออกวุ้ย สงสัยคิดไปเองแน่ๆ ช่างมันๆ นอนเอาแรงก่อนดีกว่าเดี๋ยวเที่ยงคืนต้องไปต่ออีก”
แล้วรอนก็ปิดไฟเข้านอนไปโดยไม่รู้เลยว่าคืนนี้เขาทำให้ใครหลายคนใจเต้นจนแทบไม่ได้นอน